ฝากคอมเมนท์ติชมเพื่อใช้ในการปรับปรุงงานเขียนด้วยคร้าบบ
ปฐมบท
นับเป็นช่วงเวลาที่แสนเลวร้ายสำหรับครอบครัวเลมเบอสท์ เมื่อปัญหาต่างๆที่เร้ารุมเข้ามาทำให้ไม่มีทางเลือกที่จะตัดสินใจให้เป็นอื่นได้ การถกเถียงที่รุนแรงมักนำมาซึ่งความแตกหัก หลายครั้งหลายคราแล้วที่พวกเขามีปากเสียงทะเลาะกันดังลั่นจนเพื่อนข้างบ้านต้องเดินออกมายืนตามรั้ว ส่งส่ายตาขุ่นขึ้งไม่พึงพอใจอยู่เสมอ
สองสามีภรรยาเลมเบอสท์มักมีความเห็นไม่ตรงกันทำให้หลายคนต่างเห็นอกเห็นใจต่อลูกชายคนเดียวของครอบครัวตระกูลนี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อยามใกล้ตะวันตกดิน เราจะได้ยินเสียงกระหึ่มของรถมินิคูเปอร์สีแดงจอดบริเวณหน้าบ้านหมายเลขสิบหกบนถนนชิพมาน แล้วอีกสองชั่วโมงหลังจากนั้นในช่วงอาหารมื้อค่ำก็เดาได้เลยว่าจะต้องมีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น
“ลูกชายคนเดียวของตระกูลเลมเบอสท์ไม่ค่อยออกมาเล่นกับเพื่อนบ้านอีกแล้ว”นั่นเป็นน้ำเสียงของยายแก่ป้าพัทเทิล “เด็กคงเหงาน่าดู”
“นั่นสินะ”
“เหงาเหรอ? ก็ปล่อยให้เหงาไปสิ ... พวกเธอไม่รู้อะไรหรอก” คุณยายอีกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น “เด็กคนนั้นน่ะอารมณ์ร้ายนัก เจฟ ... หลานชายของฉันเคยเล่นอยู่ที่สนามเด็กเล่นร่วมกับเด็กคนนี้ เจฟกลับเข้าบ้านทีไรก็ต้องทายาทำแผลเพราะไปตีต่อยกับเด็กคนนี้ทุกที”
“เพราะว่าครอบครัวของเขามีปัญหาน่ะสิ เขาจึงกลายเป็นเด็กเกเรแบบนี้”
บ่อยทีเดียวที่การทะเลาะรุนแรงจนกระทั่งลูกชายของครอบครัวเลมเบอสท์เดินหนีขึ้นไปบนห้องนอน แล้วแม่ของเขาก็ต้องตามไปเคาะประตูปลอบใจพร้อมทั้งหาคำพูดดีๆกลบความน่ารังเกียจจากการกระทำของสามีและตัวของเธอเอง
เด็กชายรู้ดีว่าเขาค่อนข้างจะปลีกตัว เปล่าเปลี่ยว ปล่อยให้จิตใจชองตนนั้นเงียบเหงา
และในเวลาไม่นานนักที่เขาพบว่าแม่ของตนเองต้องร้องไห้และไม่พอใจต่อข้อเรียกร้องซึ่งนานมาแล้วไม่เคยได้รับเลยแม้แต่น้อย แม่เคยบอกแก่เขาบ่อยๆว่าเธอควรจะแยกทางจากคุณเลมเบอสท์เสียที เธอได้เพียงแค่ตัดพ้อและพร่ำย้ำบ่อยๆจนเด็กชายเลิกใจอ่อนและคิดว่าเธอเพ้อเจ้อเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เพียงทว่าไม่ช้าไม่นาน เรื่องราวและคำพูดที่ฝังแน่นตราตรึงก็ปะทุออกเพราะขีดสุดของปัญหานั้นเต็มไปด้วยทางตัน
เด็กชายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขารักแม่มากในวันที่เขาต้องมองดูเธอเก็บผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง เธอบ่นพึมพำพร้อมรอยน้ำตาขณะที่เขายืนมองอยู่ห่างๆโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยร้องทักอะไรออกไปมากกว่าประโยคคำถามที่ว่า แม่กำลังทำอะไรอยู่ครับ?
พ่อของเขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้นขณะนั่งจิบกาแฟในห้องครัวเล็กของตัวบ้านที่เคยอบอุ่นหลังนี้
เด็กชายมองตาไม่กระพริบแม้เรือนร่างของผู้เป็นแม่หายลับไปแล้วพร้อมคำถามมากมายที่ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ แม่ไปไหน? แม่ไปทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ฉันผิดหรือเปล่า? ฉันทำให้แม่โกรธหรือ? อ๋อแน่ล่ะ ... บ่อยๆเลยน่ะสิ แต่ว่า ... แม่ไปทำไมนะ?
เด็กชายเดินตัวตรงช้าๆเข้ามาหาพ่อในห้องครัวก่อนจะถามในสิ่งที่พ่อก็ตอบไม่ได้
แม่ไปไหนก็ไม่รู้ฮะ พ่อจะตามแม่ไปหรือเปล่า? มีเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอตอบ คุณเลมเบอสท์ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์รายวันต่อไปพร้อมจิบกาแฟร้อนๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆว่า อยู่กับพ่อเถอะนะ ... แม่ก็อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น
นานแล้ว นานแล้วจริงๆที่แม่จากเขาไป
ไม่สิ ... เมื่อสามสี่ปีที่แล้วต่างหาก แต่เวลานั้นก็ยาวนานราวกับตลอดชั่วอายุของเขา
เขาเต็มใจโดดเรียนบ่อยขึ้นเพื่อนั่งรอแม่บริเวณหน้ารั้วโรงเรียนและก็โดนอาจารย์ดุให้กลับไปเข้าเรียนเสมอๆ จากวันนั้นจนตอนนี้เขาก็อายุสิบแปดปีแล้ว นิสัยยังไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิมแม้ว่าเขาจะไม่เคยชินสักเท่าใดนักเมื่อพบว่าทุกเย็นจำเป็นต้องทานอาหารในบ้านเงียบๆ นั่งดูโทรทัศน์และนอนเล่นในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง ทำอาหารเอง ทำความสะอาดห้องนอนด้วยตนเอง ... ส่วนเสียงทะเลาะที่เคยชินกลับเงียบงันหายไปและแม่ของเขาก็ไม่กลับเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกแล้ว
เอาล่ะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาต้องนั่งเรียนวิชาที่แสนน่าเบื่อและอีกไม่นานก็ต้องสอบเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จุดมุ่งหมายของชีวิตยังคงว่างเปล่า เขาเลือกที่จะนั่งตกปลาตลอดทั้งวันแถวๆสวนเมเดนพาร์คมากกว่านั่งเรียนศาสตร์ของจิตใจหรืออะไรทำนองนั้นทั้งหมดทั้งมวลภายในห้องสี่เหลี่ยมของโรงเรียนไฮสคูลเบลเฟอร์เรต์เกรดสิบสอง ในเมืองหลวงดรัมลิงตัน เซสเซ
การเรียนของเขาใช่ว่าจะเลวร้าย เด็กชายอาจจะไม่ชอบเรียนแต่เขาก็จำต้องเรียน
“ริคโทเฟ่น เลมเบอสท์ ” อาจารย์ขานชื่อ
เด็กหนุ่มนั่งงอตัว มือหนึ่งเท้าคางสายตามองโต๊ะเรียนของตัวเอง อีกมือหนึ่งยกขึ้นสูงๆให้อาจารย์เห็น แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยโดนตำหนิเรื่องที่ไม่ตระเบ็งเสียงตอบ แต่ในเวลานี้อาจารย์เองก็เฉยเมยและไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเขามีท่าทีอย่างไร
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ใช่คนสำคัญภายในห้องเรียนแต่เขาก็เป็นนักกีฬาตัวยง ริคเล่นกีฬาได้หลายชนิดและเมื่อเขามุ่งมั่นสนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นพิเศษมักจะถูกอาจารย์เรียกพบเพื่อจองตัวเข้าร่วมทีมเสมอ
หากเอ่ยถึงเรื่องศิลปะการต่อสู้นั้นริคไม่เป็นสองรองใครเนื่องจากคุณเลมเบอสท์ส่งเสริมให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนฝึกฝนตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กหนุ่มเคยเรียนวิชากังฟูในช่วงสั้นๆ พอที่จะสามารถร่ายวิทยายุทธ์ใส่อาจารย์ผู้สอนได้อย่างน่าทึ่งก่อนจะกลับมาฝึกยูโดสำหรับเตรียมแข่งขันนักกีฬารุ่นเยาว์
ภายในโรงเรียนนามว่าเบลเฟอร์เรต์แห่งนี้ ริคโทเฟ่นถือเป็นที่โจษจันในฐานะนักเรียนลือชื่อคนหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาดังกระฉ่อนไม่เพียงแต่ในโรงเรียนเท่านั้น บริเวณนอกรั้วเลยไปจนทั่วทั้งเขตเมืองหลวงต่างรู้จักอายุอานามและประวัติของเขาดี
เหตุผลสั้นๆคือเขาเคยเป็นนักเลงโต แม้ว่ากล้ามเนื้อของเขาไม่ได้โตตามสมชื่อแต่พละกำลังของเขานั้นใช่ย่อยเลยทีเดียว เด็กชายส่วนใหญ่ก็กลัวเขาและมักจะหลบหน้าทุกครั้งที่มองเห็นเสมอๆ
เพื่อนพ้องในกลุ่มเดียวกันอีกห้าคนก็ร้ายกาจพอๆกัน กลุ่มของเขาได้ชื่อในบัญชีดำของโรงเรียนเพื่อกักตัวทำโทษ เรียกผู้ปกครองหรือร้ายแรงกว่านั้นคือไล่ออก แม้ว่าการกระทำหลายอย่างจะโจ่งแจ้งแต่คำพูดคำจาและหลักฐานไม่สามารถมัดตัวให้พวกเขาถูกผูกกับข้อกล่าวหาได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ริคโทเฟ่นถูกใช้เป็นหัวข้อโต้เถียงกันระหว่างแม่กับพ่อจนทั้งสองต้องแยกทางกัน ... แม้ว่าพวกเขาไม่ได้หย่าแต่ความสัมพันธ์ที่เจือจางก็บอกให้รู้ว่าไม่มีวันหวนคืน
หลังจากที่พ่อแม่แยกทางไปตอนที่ริคอายุสิบห้าปี เขากลายเป็นอันธพาลเต็มตัวจนกระทั่งเมื่ออายุสิบเจ็ดปีที่เขาตระหนักดีว่าแม่ไม่กลับมาอีกแล้ว เมื่อนั้นริคก็เปลี่ยนเป็นคนละคนราวกับพลิกฝ่ามือ เขาตัดสินใจแยกตัวออกมาจากเพื่อนพ้องเหล่าอันธพาลห้าคนทันที ถึงอย่างนั้นก็ตามชื่อเสียงด้านลบของเขาก็ยังคงติดตัวของเขาต่อไปกลายเป็นรอยเปื้อนดำซึ่งเด็กหนุ่มไม่สามารถลบเลือนมันออกได้
(ต่อข้างล่าง)
DonGuard:ปริศนาดอนการ์ด-ตอนที่1
ปฐมบท
นับเป็นช่วงเวลาที่แสนเลวร้ายสำหรับครอบครัวเลมเบอสท์ เมื่อปัญหาต่างๆที่เร้ารุมเข้ามาทำให้ไม่มีทางเลือกที่จะตัดสินใจให้เป็นอื่นได้ การถกเถียงที่รุนแรงมักนำมาซึ่งความแตกหัก หลายครั้งหลายคราแล้วที่พวกเขามีปากเสียงทะเลาะกันดังลั่นจนเพื่อนข้างบ้านต้องเดินออกมายืนตามรั้ว ส่งส่ายตาขุ่นขึ้งไม่พึงพอใจอยู่เสมอ
สองสามีภรรยาเลมเบอสท์มักมีความเห็นไม่ตรงกันทำให้หลายคนต่างเห็นอกเห็นใจต่อลูกชายคนเดียวของครอบครัวตระกูลนี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อยามใกล้ตะวันตกดิน เราจะได้ยินเสียงกระหึ่มของรถมินิคูเปอร์สีแดงจอดบริเวณหน้าบ้านหมายเลขสิบหกบนถนนชิพมาน แล้วอีกสองชั่วโมงหลังจากนั้นในช่วงอาหารมื้อค่ำก็เดาได้เลยว่าจะต้องมีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น
“ลูกชายคนเดียวของตระกูลเลมเบอสท์ไม่ค่อยออกมาเล่นกับเพื่อนบ้านอีกแล้ว”นั่นเป็นน้ำเสียงของยายแก่ป้าพัทเทิล “เด็กคงเหงาน่าดู”
“นั่นสินะ”
“เหงาเหรอ? ก็ปล่อยให้เหงาไปสิ ... พวกเธอไม่รู้อะไรหรอก” คุณยายอีกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น “เด็กคนนั้นน่ะอารมณ์ร้ายนัก เจฟ ... หลานชายของฉันเคยเล่นอยู่ที่สนามเด็กเล่นร่วมกับเด็กคนนี้ เจฟกลับเข้าบ้านทีไรก็ต้องทายาทำแผลเพราะไปตีต่อยกับเด็กคนนี้ทุกที”
“เพราะว่าครอบครัวของเขามีปัญหาน่ะสิ เขาจึงกลายเป็นเด็กเกเรแบบนี้”
บ่อยทีเดียวที่การทะเลาะรุนแรงจนกระทั่งลูกชายของครอบครัวเลมเบอสท์เดินหนีขึ้นไปบนห้องนอน แล้วแม่ของเขาก็ต้องตามไปเคาะประตูปลอบใจพร้อมทั้งหาคำพูดดีๆกลบความน่ารังเกียจจากการกระทำของสามีและตัวของเธอเอง
เด็กชายรู้ดีว่าเขาค่อนข้างจะปลีกตัว เปล่าเปลี่ยว ปล่อยให้จิตใจชองตนนั้นเงียบเหงา
และในเวลาไม่นานนักที่เขาพบว่าแม่ของตนเองต้องร้องไห้และไม่พอใจต่อข้อเรียกร้องซึ่งนานมาแล้วไม่เคยได้รับเลยแม้แต่น้อย แม่เคยบอกแก่เขาบ่อยๆว่าเธอควรจะแยกทางจากคุณเลมเบอสท์เสียที เธอได้เพียงแค่ตัดพ้อและพร่ำย้ำบ่อยๆจนเด็กชายเลิกใจอ่อนและคิดว่าเธอเพ้อเจ้อเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เพียงทว่าไม่ช้าไม่นาน เรื่องราวและคำพูดที่ฝังแน่นตราตรึงก็ปะทุออกเพราะขีดสุดของปัญหานั้นเต็มไปด้วยทางตัน
เด็กชายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขารักแม่มากในวันที่เขาต้องมองดูเธอเก็บผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง เธอบ่นพึมพำพร้อมรอยน้ำตาขณะที่เขายืนมองอยู่ห่างๆโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยร้องทักอะไรออกไปมากกว่าประโยคคำถามที่ว่า แม่กำลังทำอะไรอยู่ครับ?
พ่อของเขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้นขณะนั่งจิบกาแฟในห้องครัวเล็กของตัวบ้านที่เคยอบอุ่นหลังนี้
เด็กชายมองตาไม่กระพริบแม้เรือนร่างของผู้เป็นแม่หายลับไปแล้วพร้อมคำถามมากมายที่ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ แม่ไปไหน? แม่ไปทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ฉันผิดหรือเปล่า? ฉันทำให้แม่โกรธหรือ? อ๋อแน่ล่ะ ... บ่อยๆเลยน่ะสิ แต่ว่า ... แม่ไปทำไมนะ?
เด็กชายเดินตัวตรงช้าๆเข้ามาหาพ่อในห้องครัวก่อนจะถามในสิ่งที่พ่อก็ตอบไม่ได้
แม่ไปไหนก็ไม่รู้ฮะ พ่อจะตามแม่ไปหรือเปล่า? มีเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอตอบ คุณเลมเบอสท์ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์รายวันต่อไปพร้อมจิบกาแฟร้อนๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆว่า อยู่กับพ่อเถอะนะ ... แม่ก็อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น
นานแล้ว นานแล้วจริงๆที่แม่จากเขาไป
ไม่สิ ... เมื่อสามสี่ปีที่แล้วต่างหาก แต่เวลานั้นก็ยาวนานราวกับตลอดชั่วอายุของเขา
เขาเต็มใจโดดเรียนบ่อยขึ้นเพื่อนั่งรอแม่บริเวณหน้ารั้วโรงเรียนและก็โดนอาจารย์ดุให้กลับไปเข้าเรียนเสมอๆ จากวันนั้นจนตอนนี้เขาก็อายุสิบแปดปีแล้ว นิสัยยังไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิมแม้ว่าเขาจะไม่เคยชินสักเท่าใดนักเมื่อพบว่าทุกเย็นจำเป็นต้องทานอาหารในบ้านเงียบๆ นั่งดูโทรทัศน์และนอนเล่นในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง ทำอาหารเอง ทำความสะอาดห้องนอนด้วยตนเอง ... ส่วนเสียงทะเลาะที่เคยชินกลับเงียบงันหายไปและแม่ของเขาก็ไม่กลับเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกแล้ว
เอาล่ะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาต้องนั่งเรียนวิชาที่แสนน่าเบื่อและอีกไม่นานก็ต้องสอบเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จุดมุ่งหมายของชีวิตยังคงว่างเปล่า เขาเลือกที่จะนั่งตกปลาตลอดทั้งวันแถวๆสวนเมเดนพาร์คมากกว่านั่งเรียนศาสตร์ของจิตใจหรืออะไรทำนองนั้นทั้งหมดทั้งมวลภายในห้องสี่เหลี่ยมของโรงเรียนไฮสคูลเบลเฟอร์เรต์เกรดสิบสอง ในเมืองหลวงดรัมลิงตัน เซสเซ
การเรียนของเขาใช่ว่าจะเลวร้าย เด็กชายอาจจะไม่ชอบเรียนแต่เขาก็จำต้องเรียน
“ริคโทเฟ่น เลมเบอสท์ ” อาจารย์ขานชื่อ
เด็กหนุ่มนั่งงอตัว มือหนึ่งเท้าคางสายตามองโต๊ะเรียนของตัวเอง อีกมือหนึ่งยกขึ้นสูงๆให้อาจารย์เห็น แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยโดนตำหนิเรื่องที่ไม่ตระเบ็งเสียงตอบ แต่ในเวลานี้อาจารย์เองก็เฉยเมยและไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเขามีท่าทีอย่างไร
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ใช่คนสำคัญภายในห้องเรียนแต่เขาก็เป็นนักกีฬาตัวยง ริคเล่นกีฬาได้หลายชนิดและเมื่อเขามุ่งมั่นสนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นพิเศษมักจะถูกอาจารย์เรียกพบเพื่อจองตัวเข้าร่วมทีมเสมอ
หากเอ่ยถึงเรื่องศิลปะการต่อสู้นั้นริคไม่เป็นสองรองใครเนื่องจากคุณเลมเบอสท์ส่งเสริมให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนฝึกฝนตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กหนุ่มเคยเรียนวิชากังฟูในช่วงสั้นๆ พอที่จะสามารถร่ายวิทยายุทธ์ใส่อาจารย์ผู้สอนได้อย่างน่าทึ่งก่อนจะกลับมาฝึกยูโดสำหรับเตรียมแข่งขันนักกีฬารุ่นเยาว์
ภายในโรงเรียนนามว่าเบลเฟอร์เรต์แห่งนี้ ริคโทเฟ่นถือเป็นที่โจษจันในฐานะนักเรียนลือชื่อคนหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาดังกระฉ่อนไม่เพียงแต่ในโรงเรียนเท่านั้น บริเวณนอกรั้วเลยไปจนทั่วทั้งเขตเมืองหลวงต่างรู้จักอายุอานามและประวัติของเขาดี
เหตุผลสั้นๆคือเขาเคยเป็นนักเลงโต แม้ว่ากล้ามเนื้อของเขาไม่ได้โตตามสมชื่อแต่พละกำลังของเขานั้นใช่ย่อยเลยทีเดียว เด็กชายส่วนใหญ่ก็กลัวเขาและมักจะหลบหน้าทุกครั้งที่มองเห็นเสมอๆ
เพื่อนพ้องในกลุ่มเดียวกันอีกห้าคนก็ร้ายกาจพอๆกัน กลุ่มของเขาได้ชื่อในบัญชีดำของโรงเรียนเพื่อกักตัวทำโทษ เรียกผู้ปกครองหรือร้ายแรงกว่านั้นคือไล่ออก แม้ว่าการกระทำหลายอย่างจะโจ่งแจ้งแต่คำพูดคำจาและหลักฐานไม่สามารถมัดตัวให้พวกเขาถูกผูกกับข้อกล่าวหาได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ริคโทเฟ่นถูกใช้เป็นหัวข้อโต้เถียงกันระหว่างแม่กับพ่อจนทั้งสองต้องแยกทางกัน ... แม้ว่าพวกเขาไม่ได้หย่าแต่ความสัมพันธ์ที่เจือจางก็บอกให้รู้ว่าไม่มีวันหวนคืน
หลังจากที่พ่อแม่แยกทางไปตอนที่ริคอายุสิบห้าปี เขากลายเป็นอันธพาลเต็มตัวจนกระทั่งเมื่ออายุสิบเจ็ดปีที่เขาตระหนักดีว่าแม่ไม่กลับมาอีกแล้ว เมื่อนั้นริคก็เปลี่ยนเป็นคนละคนราวกับพลิกฝ่ามือ เขาตัดสินใจแยกตัวออกมาจากเพื่อนพ้องเหล่าอันธพาลห้าคนทันที ถึงอย่างนั้นก็ตามชื่อเสียงด้านลบของเขาก็ยังคงติดตัวของเขาต่อไปกลายเป็นรอยเปื้อนดำซึ่งเด็กหนุ่มไม่สามารถลบเลือนมันออกได้
(ต่อข้างล่าง)