รอยเล่ห์ลวงใจ บทนำ วิวาห์โศก
http://ppantip.com/topic/31052394
รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 1 ชายหนุ่มผู้เดียวดาย
http://ppantip.com/topic/31056457
รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 2 เด็กหญิงอัลิปรียา
http://ppantip.com/topic/31060942
ขอบคุณที่แวะมานะค้า >/////< ฝากหน้าเพจด้วยนะคะ ร้อย:เรียง:เพียง:คำ
http://www.facebook.com/ao.napaporn
๓
เด็กชายปณัย
ร่างผอมแห้งแทบจะเหลือแต่กระดูกของคนบนเตียง ดูจะทำให้ผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม ที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ น้ำตาไหลได้ไม่ยาก ด้วยความอาดูรและกริ่งเกรงต่อการสูญเสีย ซึ่งขณะนี้ท่วมท้นอยู่ในใจ
นิ่มนวลในวัยสี่สิบต้นๆถลาเข้าไปยืนข้างเตียงของพี่สาว ปณัยยืนอยู่อีกฝั่งกุมมือหญิงสูงวัยไว้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาได้แต่ยืนมองอดีตพี่เลี้ยงนิ่ง ส่วนแพทย์หญิงที่เดินนำหน้าหญิงวัยกลางคนเข้ามา เลี่ยงเข้าไปยืนเคียงข้างนายแพทย์ และทำได้เพียงแค่ถอนใจ
เมื่ออาการของน้อมจิตในตอนนี้ เรียกได้ว่าหมดหวังแล้วอย่างสิ้นเชิง กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับร่างกายที่เพิ่งตรวจพบมะเร็งปากมดลูก แต่เมื่อคนไข้ทอดอาลัย ไม่ไยดีต่อการมีชีวิตอยู่ หมอเองก็จนใจ ส่วนทางญาติคนไข้ก็มีแต่ต้องเตรียมทำใจเท่านั้น
การลุกลามของมะเร็งอยู่ในระยะสุดท้าย และคนไข้ไม่ยอมรับการรักษาใดๆทั้งสิ้น
“พี่น้อม โธ่...” นิ่มนวลเอ่ยเรียกเสียงสั่นเครือ เธอเพิ่งกลับมาจาก ไปจัดการเรื่องยุ่งๆของน้องชายต่างมารดาที่แม่ฮ่องสอน ยังไม่ทันหายเหนื่อย ปณัยก็โทรศัพท์ตามตัวเธอด่วน...เร่งให้เธอจับเครื่องบินตรงมาที่นี่เลย
แต่ก็นั่นแหละ แม้จะรับรู้ตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะเดินทางมาถึง มันก็เกือบจะเย็นย่ำแล้ว
“พี่ ฉันมาแล้ว”
เสียงของเธอสั่นเครือ ส่วนนายแพทย์และแพทย์หญิงเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง หลังปณัยหันไปมอง พร้อมกับสบตาร้องขอ
“ไอ้หมอ...บอกแล้วครับพี่นิ่ม แม่น้อม...คงอยู่กับเราได้อีกสักพัก”
ชายหนุ่มบอกเสียงแผ่ว นัยน์ตาคมแดงก่ำ ส่วนมือใหญ่ที่กุมมือน้อมจิตไม่ปล่อย สั่นระริก
“พี่น้อม โธ่พี่...” สาวใหญ่พูดไม่ออก เธอได้แต่กลืนก้อนสะอื้นเก็บไว้ในอก ส่วนปณัยทรุดลงนั่ง ซบหน้ากับฝ่ามือเหี่ยวย่น...ความเสียใจอัดอั้นเต็มอก เขากำลังจะเสียคนสำคัญที่เหมือนแม่ของเขาไปอีกคน คนที่ให้ความอบอุ่น และเปลี่ยนเด็กชายเกเรคนนั้นให้รู้จักกับคำว่า ‘ครอบครัว’
“พี่น้อม”
นิ่มนวลยังคงร้องเรียก ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างคนเจ็บแผ่วเบา โดยที่ปณัยไม่ได้สนใจเพราะตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ต่อเมื่อนานต่อมา แรงกระดิกจากปลายนิ้ว ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากน้อมจิตขยับพึมพำเรียกชื่ออัลิปรียา น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตาของคนป่วย เปลือกตาขยับยุกยิกราวกลับกำลังจะตื่นขึ้นมา
หากปฏิกิริยาคงมีเพียงเท่านั้น ปณัยซบหน้ากับฝ่ามือที่เคยโอบอุ้มอีกครั้ง และปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อรับรู้ถึงมือของนิ่มนวลที่ลูบเบาๆที่กลุ่มผม
“คุณณัย”
“ผมจะทำยังไงดีพี่นิ่ม...ตอนนี้ทั้งคุณปรียา แม่น้อม...ทุกคน ทุกๆคนกำลังจะทิ้งผมไว้แค่คนเดียว”
นิ่มนวลได้แต่ถอนใจ น้ำตาซึม เธอเองได้แต่โอบปณัยไว้แล้วลูบหลังเบาๆ ชายหนุ่มผู้มาดมั่นดูจะหายไป คงเหลือไว้เพียงแค่เด็กชายที่ดูราวกับกำลังหลงทาง ปณัยโอบเอวของเธอไว้แน่น กอดไว้ยึดไว้ราวกับเป็นหลักยึดสุดท้าย ที่เขากลัวว่าจะหายไป
และพอทอดสายตามองพี่สาวบนเตียง น้ำตาของนิ่มนวลก็ไหลออกมาเงียบๆ ช้าไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรจะฉุดรั้งพี่สาวของเธอไว้ในโลกนี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญแค่ไหน เมื่อน้อมจิตคงปรารถนาจะอยู่ในฝัน ไปตลอดกาล
“คุณปรียาขา คุณปรียาออกมาเถอะค่ะ ออกมาก่อน” คนเรียกได้แต่ถอนใจ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็กำลังร้องเรียกอยู่เช่นกัน น้อมจิตได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างเคียง มือข้างหนึ่งกำท่อนแขนไว้แน่น ริมฝีปากสีสดเม้มสนิท ส่วนดวงตาวาวโรจน์
ประจำ...กับการกลายเป็นคนกลาง คอยห้ามศึกระหว่างคุณหนูทั้งสอง
“โธ่! ทูนหัวจะโกรธอะไรพี่เขาอีกล่ะคะ ออกมาเถอะค่า คุณปรียา”
น้อมจิตตะโกนได้เท่านั้น ก่อนที่หนุ่มน้อยที่ยืนข้างๆ และกวาดตามองจะตะเบ็งเสียงตามทันที
“ออกมานะยายปิรันย่า อยู่ไหนน่ะออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย!”
ดวงตาสีอ่อนกวาดมองอย่างสำรวจตรวจตรา หลังก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าพี่เลี้ยง ตรงนั้น สนามหญ้ากว้างขวางสีเขียวขจี กั้นกลางขวางกันระหว่างตัวบ้านหลังใหญ่สองหลัง
บ้านหลังที่สองเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่กี่ปี มันเป็นคฤหาสน์อีกหลังที่ตกแต่งในลักษณะ Heritag สีครีมของตัวบ้าน ตัดกับหลังคากระเบื้องเลียนแบบสมัยเก่า สีน้ำตาลออกดำดูเหมาะเจาะลงตัว ซึ่งอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่เจ้าของบ้าน เป็นทั้งคู่ค้าทางธุรกิจ และมีความสนิทสนมจน ‘เหมือนพี่น้อง’ กัน
เด็กชายปณัยในวัยสิบสามขวบก้าวเท้า ไปตามทางเดินโรยกรวดที่ทอดยาวผ่านสนาม ตรงไปสู่บ้านอีกหลัง ที่มีบึงบัวน้ำใสแจ๋วติดกับรั้วหน้าบ้าน กึ่งกลางระหว่างบ้านสองหลัง ซึ่งขุดขึ้นมาตอนสร้างบ้านหลังที่สอง มีไม้ใหญ่อย่างพวกจำปีและปีบล้อมรอบ
“คิดว่าจะหนีพ้นหรือไงคุณปรียา”
เด็กชายดูหัวเสียอย่างหนัก หลังจากที่มีเหตุให้ต้องไปโรงเรียนสาย เพราะคนเอาแต่ใจแค่คนเดียว
“แม่น้อมไม่ต้องตามนะฮะ คุณปรียานิสัยเสีย ไม่ได้ดังใจก็เอาแต่บีบน้ำตา”
คนฟังถึงกับสะดุ้ง เพราะเหมือนกำลังโดนต่อว่ากลายๆ ได้แต่ยืนชะแง้มองตาปริบๆ ยามเดินตามห่างๆ ปล่อยให้ ‘พี่น้อง’ จัดการกันเอง ส่วนเด็กชายปณัยเดินดิ่งไปยัง พุ่มเทียนหยดซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ริมสนามหญ้าข้างรั้วบ้านด้านหน้า หลังจากมองเห็น...ชายเสื้อสีขาวแล้ว!
“คุณปรียาเป็นคนกัดคุณณัยเอง แล้วจะมานั่งร้องไห้ทำมั้ย!?”
ปณัยกล่าวโทษเมื่อไปหยุดยืน ฉุดให้เด็กหญิงวัยหกขวบร่างป้อม ที่นั่งหลบอยู่ลุกขึ้นยืน พลางยื่นแขนข้างที่โดนกัดจนเห็นเป็นรอยฟันจ่อไปจนชิดให้คนร้องไห้ดู หากโดนคุณปรียาตัวน้อยสะบัดมือออก
“ทำไมถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้ รู้มั้ยคนอื่นต้องเดือดร้อนมากเท่าไหร่ คุณปรียาน่ะหัดโตเสียบ้าง!”
คราวนี้น้อมจิตเริ่มยืนไม่ติด เพราะถ้อยคำของเด็กหนุ่มดูจะรุนแรง
“ก็...ก็...”
เด็กหญิงที่หน้ามอมเพราะร้องไห้กระอืดๆ เงยหน้าขึ้นมอง ‘คุณณัย’ เพียงนิด ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงย้อยจะเบะออก ทำท่าจะปล่อยโฮลั่น จนผู้แก่กว่าทำหน้าหน่าย ลดระดับเสียงลงมาให้ไม่แข็งจนเกินไป
“เอาล่ะๆ คุณณัยไม่ว่าคุณปรียาแล้วก็ได้ แต่ต้องบอกมาก่อน ว่าทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียน แล้วทำไมต้องมากัดคุณณัยด้วยเนี่ย หรือว่าคุณปรียาอยู่กับเจ้าแดงมากเกินไปน่ะ”
ประโยคท้ายบ่นกระปอดกระแปด เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้ ส่วนบรรดาพี่เลี้ยงที่ตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก ได้แต่ยืนมอง ไม่กล้าเข้าไปแทรกกลาง หลังเห็นเด็กชายเอื้อมมือไปลูบเบาๆที่ ศีรษะของเด็กหญิง พลางกระตุกผมเปียไหวๆ
“โดนแกล้งล่ะสิ” เด็กชายปณัยเดาและน่าจะถูก เพราะเด็กหญิงยิ่งกระซี้กระซิกหนักขึ้น
“มานี่มา หยุดร้องไห้นะ แล้วคุณณัยจะไม่ให้พวกนั้น มาทำอะไรคุณปรียาอีกตกลงไหม”
‘พี่’ ทำหน้าที่ปลอบ เสียงดุๆในตอนแรกเริ่มผ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เด็กชายที่เข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ดึงน้องเล็กที่พ่อแม่บอกว่าต้องคอยดูแล เพราะตนเป็นพี่มากอดไว้เหมือนเก่า พลางลูบหลังลูบไหล่ให้ ตราบจนเสียงสะอื้นเริ่มเบาลง จึงได้ตะล่อมถามอย่างเคยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“คุณปรียาบอกคุณณัยหน่อยสิคะ ทำไมถึงได้โดนแกล้ง?”
“เขา...เขาแกล้งคุณปรียาเพราะ...ฮึก”
เสียงของคนที่ซบอยู่กับอกสั่นเครือ
“เพราะเขา หาว่าคุณปรียาไม่ส่งจดหมายของเขาให้คุณณัยค่ะ”
“โธ่! ไอ้จดหมายพวกนั้นน่ะเหรอ”
คนเนื้อหอมครางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อนึกถึงซองจดหมายสีชมพูหวานจ๋อย ที่น้องสาวยื่นมาให้ในตอนเย็นของหลายวันก่อน แล้วตนก็แค่รับมาปัดความรำคาญ เพราะเบื่อคนเซ้าซี้ แต่ไม่ได้สนใจจะเปิดออกอ่านแม้แต่น้อย
“ทำไมคุณปรียาไม่บอกล่ะคะว่าให้คุณณัยแล้ว”
ว่าพลางปาดน้ำตาให้ออกจากแก้มมอมๆ อย่างเบามือ
“ฮึก...คุณปรียาบอกแล้ว...แต่แจนไม่ฟัง พิมพ์ก็ไม่ฟัง”
คนในข่าวที่เล่ามาคือ ‘เพื่อน’ ที่เห็นเด็กหญิงเป็นเพียงลูกไล่ พี่ชายเลยได้แต่ถอนหายใจอีกเฮือก ลูบเบาๆที่ศีรษะของคนในอ้อมแขน พลางกลอกตามองหน้าพี่เลี้ยงที่ยืนคอย พลางยิ้มแห้ง ด้วยน้อมจิตยืนทำตาเขียวส่งมา เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าใครคือต้นเหตุ เด็กชายย่นคอ ยิ้มประจบ ก่อนจะรู้ว่าวิธีเอาตัวรอดที่จะไม่ต้องโดนดุก็คือ ควรจะทำให้คนในอ้อมแขนนี่หยุดร้องไห้เสีย
“หยุดร้องนะคะคุณปรียา เอาเป็นว่าพี่ณัยจะไปบอกสองคนนั่นเองแล้วกัน ว่าได้จดหมายแล้ว”
ดวงหน้าชุ่มน้ำตาเงยขึ้นมอง สะอื้นฮัก ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ส่วนคนที่ ‘นานๆที’ จะเรียกตัวเองว่าพี่ ยิ้มให้แทนการทำหน้าบึ้งอย่างทุกครั้ง บอกเสียงอ่อนโยนว่า
“แล้วก็จำไว้นะ...ทีหลังมีปัญหาอะไร คุณปรียาต้องบอกพี่ณัยก่อน จะได้ช่วยกันแก้รู้มั้ย”
“ก็...คุ...คุณปรียาอยากมีเพื่อน...นี่คะ”
อัลิปรียาเพิ่งย้ายมาเรียนที่เดียวกับปณัย เด็กหญิงที่เพิ่งเลื่อนชั้น ดูจะยังปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้
“อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเพื่อน” พี่สอน “ถ้าคุณปรียาอยากได้เพื่อน แค่ยิ้มบ่อยๆ ‘มีน้ำใจ’ กับคนอื่น แต่ต้อง ‘ไม่เอาใจ’ เขา เข้าใจใช่มั้ย ที่คุณปรียาทำอยู่นี่ เขาเรียกว่าเอาใจ และมันจะทำให้คุณปรียาไม่มีเพื่อนจริงๆ”
ดวงตาโตมองเด็กชายละห้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ กอดคอพี่แน่นออดอ้อนว่า
“วันนี้คุณปรียาเจ็บขา ไม่ไปโรงเรียนได้มั้ยคะ นะคะ...ขอวันเดียว คุณณัยอยู่กับคุณปรียาด้วยนะ”
“มันไม่ดีนะ...แต่...” ว่าพลางถอนใจ
“ลองขออนุญาตแม่น้อมดูสิ”
เท่านั้นน้ำตาของเด็กหญิงก็เหมือนจะเหือดแห้งไปในพริบตา เด็กชายปณัยได้แต่ทำหน้าเบื่อๆ เท้ามือกับพื้นหญ้าแล้วเอนไปด้านหลัง ปล่อยให้น้องสาวหอมแก้มฟอดใหญ่ พลางขย่มตัวอยู่บนตัก
ตัวก็หนัก...แต่เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง กับใครในบ้านพอได้ดังใจ ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น!
และชั่วระยะเวลาที่ผ่าน อัลิปรียาก็กระทำดังที่เคยรับปากเขาไว้มาเสมอ แต่...เวลาต่อมา ที่ต่างเติบใหญ่ และได้ผูกพันกันด้วยความรัก แม้ว่าอัลิปรียาจะเพียรเฝ้าถาม และเฝ้าอธิบายมากเพียงใด ปณัยก็...ไม่เคยจะฟัง
ปณัยกะพริบตาเมื่อตื่นขึ้นมา ก่อนจะจ้องไปที่ประตูห้องฉุกเฉินที่มีน้อมจิตอยู่ด้านใน เขาและนิ่มนวลถูกไล่ให้ออกมานอกห้อง เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว เนื่องด้วยน้อมจิตอาการหนักขึ้น
นิ่มนวลยังคงเดินวนไปวนมาเช่นเดิมก่อนที่เขาจะเผลอหลับไป ชายหนุ่มถอนหายใจ ดวงตาแดงก่ำด้วยกำลังตระหนัก ถึงการสูญเสีย ที่กำลังจะมาเยือน ภายในวินาทีข้างหน้านี้ และแล้วประตูห้องก็เปิดออก นิ่มนวลถลาเข้าไปยืนแทบชิดคุณหมอ ส่วนปณัยไร้เรี่ยวแรง ยามที่ได้ยินว่า
“ณัย...คุณนิ่ม เชิญข้างในเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 3 เด็กชายปณัย
รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 1 ชายหนุ่มผู้เดียวดาย http://ppantip.com/topic/31056457
รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 2 เด็กหญิงอัลิปรียา http://ppantip.com/topic/31060942
ขอบคุณที่แวะมานะค้า >/////< ฝากหน้าเพจด้วยนะคะ ร้อย:เรียง:เพียง:คำ http://www.facebook.com/ao.napaporn
เด็กชายปณัย
ร่างผอมแห้งแทบจะเหลือแต่กระดูกของคนบนเตียง ดูจะทำให้ผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม ที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ น้ำตาไหลได้ไม่ยาก ด้วยความอาดูรและกริ่งเกรงต่อการสูญเสีย ซึ่งขณะนี้ท่วมท้นอยู่ในใจ
นิ่มนวลในวัยสี่สิบต้นๆถลาเข้าไปยืนข้างเตียงของพี่สาว ปณัยยืนอยู่อีกฝั่งกุมมือหญิงสูงวัยไว้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาได้แต่ยืนมองอดีตพี่เลี้ยงนิ่ง ส่วนแพทย์หญิงที่เดินนำหน้าหญิงวัยกลางคนเข้ามา เลี่ยงเข้าไปยืนเคียงข้างนายแพทย์ และทำได้เพียงแค่ถอนใจ
เมื่ออาการของน้อมจิตในตอนนี้ เรียกได้ว่าหมดหวังแล้วอย่างสิ้นเชิง กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับร่างกายที่เพิ่งตรวจพบมะเร็งปากมดลูก แต่เมื่อคนไข้ทอดอาลัย ไม่ไยดีต่อการมีชีวิตอยู่ หมอเองก็จนใจ ส่วนทางญาติคนไข้ก็มีแต่ต้องเตรียมทำใจเท่านั้น
การลุกลามของมะเร็งอยู่ในระยะสุดท้าย และคนไข้ไม่ยอมรับการรักษาใดๆทั้งสิ้น
“พี่น้อม โธ่...” นิ่มนวลเอ่ยเรียกเสียงสั่นเครือ เธอเพิ่งกลับมาจาก ไปจัดการเรื่องยุ่งๆของน้องชายต่างมารดาที่แม่ฮ่องสอน ยังไม่ทันหายเหนื่อย ปณัยก็โทรศัพท์ตามตัวเธอด่วน...เร่งให้เธอจับเครื่องบินตรงมาที่นี่เลย
แต่ก็นั่นแหละ แม้จะรับรู้ตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะเดินทางมาถึง มันก็เกือบจะเย็นย่ำแล้ว
“พี่ ฉันมาแล้ว”
เสียงของเธอสั่นเครือ ส่วนนายแพทย์และแพทย์หญิงเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง หลังปณัยหันไปมอง พร้อมกับสบตาร้องขอ
“ไอ้หมอ...บอกแล้วครับพี่นิ่ม แม่น้อม...คงอยู่กับเราได้อีกสักพัก”
ชายหนุ่มบอกเสียงแผ่ว นัยน์ตาคมแดงก่ำ ส่วนมือใหญ่ที่กุมมือน้อมจิตไม่ปล่อย สั่นระริก
“พี่น้อม โธ่พี่...” สาวใหญ่พูดไม่ออก เธอได้แต่กลืนก้อนสะอื้นเก็บไว้ในอก ส่วนปณัยทรุดลงนั่ง ซบหน้ากับฝ่ามือเหี่ยวย่น...ความเสียใจอัดอั้นเต็มอก เขากำลังจะเสียคนสำคัญที่เหมือนแม่ของเขาไปอีกคน คนที่ให้ความอบอุ่น และเปลี่ยนเด็กชายเกเรคนนั้นให้รู้จักกับคำว่า ‘ครอบครัว’
“พี่น้อม”
นิ่มนวลยังคงร้องเรียก ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างคนเจ็บแผ่วเบา โดยที่ปณัยไม่ได้สนใจเพราะตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ต่อเมื่อนานต่อมา แรงกระดิกจากปลายนิ้ว ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากน้อมจิตขยับพึมพำเรียกชื่ออัลิปรียา น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตาของคนป่วย เปลือกตาขยับยุกยิกราวกลับกำลังจะตื่นขึ้นมา
หากปฏิกิริยาคงมีเพียงเท่านั้น ปณัยซบหน้ากับฝ่ามือที่เคยโอบอุ้มอีกครั้ง และปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อรับรู้ถึงมือของนิ่มนวลที่ลูบเบาๆที่กลุ่มผม
“คุณณัย”
“ผมจะทำยังไงดีพี่นิ่ม...ตอนนี้ทั้งคุณปรียา แม่น้อม...ทุกคน ทุกๆคนกำลังจะทิ้งผมไว้แค่คนเดียว”
นิ่มนวลได้แต่ถอนใจ น้ำตาซึม เธอเองได้แต่โอบปณัยไว้แล้วลูบหลังเบาๆ ชายหนุ่มผู้มาดมั่นดูจะหายไป คงเหลือไว้เพียงแค่เด็กชายที่ดูราวกับกำลังหลงทาง ปณัยโอบเอวของเธอไว้แน่น กอดไว้ยึดไว้ราวกับเป็นหลักยึดสุดท้าย ที่เขากลัวว่าจะหายไป
และพอทอดสายตามองพี่สาวบนเตียง น้ำตาของนิ่มนวลก็ไหลออกมาเงียบๆ ช้าไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรจะฉุดรั้งพี่สาวของเธอไว้ในโลกนี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญแค่ไหน เมื่อน้อมจิตคงปรารถนาจะอยู่ในฝัน ไปตลอดกาล
“คุณปรียาขา คุณปรียาออกมาเถอะค่ะ ออกมาก่อน” คนเรียกได้แต่ถอนใจ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็กำลังร้องเรียกอยู่เช่นกัน น้อมจิตได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างเคียง มือข้างหนึ่งกำท่อนแขนไว้แน่น ริมฝีปากสีสดเม้มสนิท ส่วนดวงตาวาวโรจน์
ประจำ...กับการกลายเป็นคนกลาง คอยห้ามศึกระหว่างคุณหนูทั้งสอง
“โธ่! ทูนหัวจะโกรธอะไรพี่เขาอีกล่ะคะ ออกมาเถอะค่า คุณปรียา”
น้อมจิตตะโกนได้เท่านั้น ก่อนที่หนุ่มน้อยที่ยืนข้างๆ และกวาดตามองจะตะเบ็งเสียงตามทันที
“ออกมานะยายปิรันย่า อยู่ไหนน่ะออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย!”
ดวงตาสีอ่อนกวาดมองอย่างสำรวจตรวจตรา หลังก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าพี่เลี้ยง ตรงนั้น สนามหญ้ากว้างขวางสีเขียวขจี กั้นกลางขวางกันระหว่างตัวบ้านหลังใหญ่สองหลัง
บ้านหลังที่สองเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่กี่ปี มันเป็นคฤหาสน์อีกหลังที่ตกแต่งในลักษณะ Heritag สีครีมของตัวบ้าน ตัดกับหลังคากระเบื้องเลียนแบบสมัยเก่า สีน้ำตาลออกดำดูเหมาะเจาะลงตัว ซึ่งอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่เจ้าของบ้าน เป็นทั้งคู่ค้าทางธุรกิจ และมีความสนิทสนมจน ‘เหมือนพี่น้อง’ กัน
เด็กชายปณัยในวัยสิบสามขวบก้าวเท้า ไปตามทางเดินโรยกรวดที่ทอดยาวผ่านสนาม ตรงไปสู่บ้านอีกหลัง ที่มีบึงบัวน้ำใสแจ๋วติดกับรั้วหน้าบ้าน กึ่งกลางระหว่างบ้านสองหลัง ซึ่งขุดขึ้นมาตอนสร้างบ้านหลังที่สอง มีไม้ใหญ่อย่างพวกจำปีและปีบล้อมรอบ
“คิดว่าจะหนีพ้นหรือไงคุณปรียา”
เด็กชายดูหัวเสียอย่างหนัก หลังจากที่มีเหตุให้ต้องไปโรงเรียนสาย เพราะคนเอาแต่ใจแค่คนเดียว
“แม่น้อมไม่ต้องตามนะฮะ คุณปรียานิสัยเสีย ไม่ได้ดังใจก็เอาแต่บีบน้ำตา”
คนฟังถึงกับสะดุ้ง เพราะเหมือนกำลังโดนต่อว่ากลายๆ ได้แต่ยืนชะแง้มองตาปริบๆ ยามเดินตามห่างๆ ปล่อยให้ ‘พี่น้อง’ จัดการกันเอง ส่วนเด็กชายปณัยเดินดิ่งไปยัง พุ่มเทียนหยดซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ริมสนามหญ้าข้างรั้วบ้านด้านหน้า หลังจากมองเห็น...ชายเสื้อสีขาวแล้ว!
“คุณปรียาเป็นคนกัดคุณณัยเอง แล้วจะมานั่งร้องไห้ทำมั้ย!?”
ปณัยกล่าวโทษเมื่อไปหยุดยืน ฉุดให้เด็กหญิงวัยหกขวบร่างป้อม ที่นั่งหลบอยู่ลุกขึ้นยืน พลางยื่นแขนข้างที่โดนกัดจนเห็นเป็นรอยฟันจ่อไปจนชิดให้คนร้องไห้ดู หากโดนคุณปรียาตัวน้อยสะบัดมือออก
“ทำไมถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้ รู้มั้ยคนอื่นต้องเดือดร้อนมากเท่าไหร่ คุณปรียาน่ะหัดโตเสียบ้าง!”
คราวนี้น้อมจิตเริ่มยืนไม่ติด เพราะถ้อยคำของเด็กหนุ่มดูจะรุนแรง
“ก็...ก็...”
เด็กหญิงที่หน้ามอมเพราะร้องไห้กระอืดๆ เงยหน้าขึ้นมอง ‘คุณณัย’ เพียงนิด ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงย้อยจะเบะออก ทำท่าจะปล่อยโฮลั่น จนผู้แก่กว่าทำหน้าหน่าย ลดระดับเสียงลงมาให้ไม่แข็งจนเกินไป
“เอาล่ะๆ คุณณัยไม่ว่าคุณปรียาแล้วก็ได้ แต่ต้องบอกมาก่อน ว่าทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียน แล้วทำไมต้องมากัดคุณณัยด้วยเนี่ย หรือว่าคุณปรียาอยู่กับเจ้าแดงมากเกินไปน่ะ”
ประโยคท้ายบ่นกระปอดกระแปด เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้ ส่วนบรรดาพี่เลี้ยงที่ตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก ได้แต่ยืนมอง ไม่กล้าเข้าไปแทรกกลาง หลังเห็นเด็กชายเอื้อมมือไปลูบเบาๆที่ ศีรษะของเด็กหญิง พลางกระตุกผมเปียไหวๆ
“โดนแกล้งล่ะสิ” เด็กชายปณัยเดาและน่าจะถูก เพราะเด็กหญิงยิ่งกระซี้กระซิกหนักขึ้น
“มานี่มา หยุดร้องไห้นะ แล้วคุณณัยจะไม่ให้พวกนั้น มาทำอะไรคุณปรียาอีกตกลงไหม”
‘พี่’ ทำหน้าที่ปลอบ เสียงดุๆในตอนแรกเริ่มผ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เด็กชายที่เข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ดึงน้องเล็กที่พ่อแม่บอกว่าต้องคอยดูแล เพราะตนเป็นพี่มากอดไว้เหมือนเก่า พลางลูบหลังลูบไหล่ให้ ตราบจนเสียงสะอื้นเริ่มเบาลง จึงได้ตะล่อมถามอย่างเคยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“คุณปรียาบอกคุณณัยหน่อยสิคะ ทำไมถึงได้โดนแกล้ง?”
“เขา...เขาแกล้งคุณปรียาเพราะ...ฮึก”
เสียงของคนที่ซบอยู่กับอกสั่นเครือ
“เพราะเขา หาว่าคุณปรียาไม่ส่งจดหมายของเขาให้คุณณัยค่ะ”
“โธ่! ไอ้จดหมายพวกนั้นน่ะเหรอ”
คนเนื้อหอมครางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อนึกถึงซองจดหมายสีชมพูหวานจ๋อย ที่น้องสาวยื่นมาให้ในตอนเย็นของหลายวันก่อน แล้วตนก็แค่รับมาปัดความรำคาญ เพราะเบื่อคนเซ้าซี้ แต่ไม่ได้สนใจจะเปิดออกอ่านแม้แต่น้อย
“ทำไมคุณปรียาไม่บอกล่ะคะว่าให้คุณณัยแล้ว”
ว่าพลางปาดน้ำตาให้ออกจากแก้มมอมๆ อย่างเบามือ
“ฮึก...คุณปรียาบอกแล้ว...แต่แจนไม่ฟัง พิมพ์ก็ไม่ฟัง”
คนในข่าวที่เล่ามาคือ ‘เพื่อน’ ที่เห็นเด็กหญิงเป็นเพียงลูกไล่ พี่ชายเลยได้แต่ถอนหายใจอีกเฮือก ลูบเบาๆที่ศีรษะของคนในอ้อมแขน พลางกลอกตามองหน้าพี่เลี้ยงที่ยืนคอย พลางยิ้มแห้ง ด้วยน้อมจิตยืนทำตาเขียวส่งมา เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าใครคือต้นเหตุ เด็กชายย่นคอ ยิ้มประจบ ก่อนจะรู้ว่าวิธีเอาตัวรอดที่จะไม่ต้องโดนดุก็คือ ควรจะทำให้คนในอ้อมแขนนี่หยุดร้องไห้เสีย
“หยุดร้องนะคะคุณปรียา เอาเป็นว่าพี่ณัยจะไปบอกสองคนนั่นเองแล้วกัน ว่าได้จดหมายแล้ว”
ดวงหน้าชุ่มน้ำตาเงยขึ้นมอง สะอื้นฮัก ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ส่วนคนที่ ‘นานๆที’ จะเรียกตัวเองว่าพี่ ยิ้มให้แทนการทำหน้าบึ้งอย่างทุกครั้ง บอกเสียงอ่อนโยนว่า
“แล้วก็จำไว้นะ...ทีหลังมีปัญหาอะไร คุณปรียาต้องบอกพี่ณัยก่อน จะได้ช่วยกันแก้รู้มั้ย”
“ก็...คุ...คุณปรียาอยากมีเพื่อน...นี่คะ”
อัลิปรียาเพิ่งย้ายมาเรียนที่เดียวกับปณัย เด็กหญิงที่เพิ่งเลื่อนชั้น ดูจะยังปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้
“อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเพื่อน” พี่สอน “ถ้าคุณปรียาอยากได้เพื่อน แค่ยิ้มบ่อยๆ ‘มีน้ำใจ’ กับคนอื่น แต่ต้อง ‘ไม่เอาใจ’ เขา เข้าใจใช่มั้ย ที่คุณปรียาทำอยู่นี่ เขาเรียกว่าเอาใจ และมันจะทำให้คุณปรียาไม่มีเพื่อนจริงๆ”
ดวงตาโตมองเด็กชายละห้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ กอดคอพี่แน่นออดอ้อนว่า
“วันนี้คุณปรียาเจ็บขา ไม่ไปโรงเรียนได้มั้ยคะ นะคะ...ขอวันเดียว คุณณัยอยู่กับคุณปรียาด้วยนะ”
“มันไม่ดีนะ...แต่...” ว่าพลางถอนใจ
“ลองขออนุญาตแม่น้อมดูสิ”
เท่านั้นน้ำตาของเด็กหญิงก็เหมือนจะเหือดแห้งไปในพริบตา เด็กชายปณัยได้แต่ทำหน้าเบื่อๆ เท้ามือกับพื้นหญ้าแล้วเอนไปด้านหลัง ปล่อยให้น้องสาวหอมแก้มฟอดใหญ่ พลางขย่มตัวอยู่บนตัก
ตัวก็หนัก...แต่เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง กับใครในบ้านพอได้ดังใจ ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น!
และชั่วระยะเวลาที่ผ่าน อัลิปรียาก็กระทำดังที่เคยรับปากเขาไว้มาเสมอ แต่...เวลาต่อมา ที่ต่างเติบใหญ่ และได้ผูกพันกันด้วยความรัก แม้ว่าอัลิปรียาจะเพียรเฝ้าถาม และเฝ้าอธิบายมากเพียงใด ปณัยก็...ไม่เคยจะฟัง
ปณัยกะพริบตาเมื่อตื่นขึ้นมา ก่อนจะจ้องไปที่ประตูห้องฉุกเฉินที่มีน้อมจิตอยู่ด้านใน เขาและนิ่มนวลถูกไล่ให้ออกมานอกห้อง เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว เนื่องด้วยน้อมจิตอาการหนักขึ้น
นิ่มนวลยังคงเดินวนไปวนมาเช่นเดิมก่อนที่เขาจะเผลอหลับไป ชายหนุ่มถอนหายใจ ดวงตาแดงก่ำด้วยกำลังตระหนัก ถึงการสูญเสีย ที่กำลังจะมาเยือน ภายในวินาทีข้างหน้านี้ และแล้วประตูห้องก็เปิดออก นิ่มนวลถลาเข้าไปยืนแทบชิดคุณหมอ ส่วนปณัยไร้เรี่ยวแรง ยามที่ได้ยินว่า
“ณัย...คุณนิ่ม เชิญข้างในเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทัน”