คำสัญญา (ด้ายแดง)
“กลับมาแล้วหรือคะ เหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่เหนื่อยเลยจ้า นี่ขนมเค้กของโปรดของเธอ พี่ซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนนะคะ แล้วเรามากินข้าวกัน มีกับข้าวหลายอย่างเลย นี่ไข่เจียว นี่ต้มยำกุ้ง ของโปรดของพี่ทั้งนั้นเลยนะ”
เด็กหญิงผายมือไปยังจานพลาสติกใบจิ๋วหลากสีที่วางเรียงรายเบื้องหน้า ในจานใบจิ๋วนั้นมีดินน้ำมันที่ปั้นเป็นรูปต่างๆ และดอกไม้หลากสีวางประดับอยู่
“ได้จ้า รอแป๊บนึงนะ อาบน้ำเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวพี่กลับมากิน”
พูดจบเด็กชายก็เดินเข้าไปยังพื้นที่ๆ สมมติว่าเป็นห้องน้ำ ทำท่าถอดเสื้อผ้า ผิวปากไปพลาดอาบน้ำในจินตนาการไปพลางอย่างสบายอารมณ์
“นี่เด็กๆ รายการเพลงโปรดมาแล้วนะ จะดูกันรึเปล่า”
“ดูค้าบ”
“ดูค่า”
เด็กทั้งสองตอบรับเสียงเชิญชวนเจื้อยแจ้วพร้อมเพรียงก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งแข่งกันกลับเข้าบ้าน เสียงใสจากนักร้องคนโปรดดังผ่านลำโพงโทรทัศน์มาแต่ไกล
เด็กทั้งสองทิ้งตัวลงหน้าทีวีแย่งกันจับจองที่นั่งที่คิดว่าดีกว่า ต่างเบียดต่างแย่งกันสนุกสนานเฮฮาตามประสาเด็กที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่แบเบาะ
“นี่ๆ นั่งกันดีๆ สิเด็กๆ แหย่กันไปมาอยู่นั่นแหละ จะดูกันมั้ยเนี่ยทีวีน่ะ”
“ก็แก้วมาแย่งที่นั่งประจำของเอก”
“นี่แก้วเค้าเป็นแขกนะตาเอก เค้าอุตส่าห์มาหามาเล่นกันเอก เอกเป็นเจ้าบ้านแล้วก็เป็นผู้ชายด้วย ต้องเสียสละให้ผู้หญิงสิ จริงมั้ย”
แม่เอ็ด เด็กชายก้มหน้าแกล้งทำเป็นสลด เด็กหญิงทำหน้าทะเล้นแอบแลบลิ้นใส่
“เอ้านี่ขนม ค่อยๆ กินกันนะ แล้วก็ไม่ต้องแย่งกันอีกล่ะ เออ แก้ว วันนี้อยู่กินข้าวเย็นที่นี่เลยก็แล้วกัน เดี๋ยวน้าโทรไปบอกให้แม่ของแก้วมาเร็วเย็นๆ หน่อย จะได้อยู่เล่นด้วยกันนานๆ”
“ค่า คุณน้า”
เด็กหญิงตอบเสียงใส ยื่นมือหยิบขนมในจานสังกะสีเคลือบโยนใส่ปาก เด็กชายเห็นดังนั้นก็ทำตาม แต่พยายามโยนให้สูงกว่าเด็กหญิง เมื่อขนมเข้าปากก็ทำหน้าล้อเลียนใส่ และก็กลายเป็นว่าเด็กทั้งสองแข่งกันโยนขนมเข้าปากให้สูงกว่าอีกคน
แม่ของเด็กชายถอนหายใจ ส่ายหน้าและยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้าครัวไป
เพลงที่เด็กทั้งสองชอบที่สุดกำลังถูกถ่ายทอดผ่านจอตู้ เด็กหญิงนั่งมองตาไม่กระพริบ แต่เด็กชายเหลียวมามองใบหน้าของเด็กหญิง ไม่ต้องสังเกตก็รู้ว่าเด็กชายกำลังรู้สึกเศร้า
“พรุ่งนี้จะไปกี่โมงเหรอ”
เด็กชายถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน แม่ยังไม่ได้บอกเลย”
เด็กหญิงตอบ ตายังจ้องอยู่ที่หน้าจอ มือเอื้อมหยิบขนมส่งเข้าปากอีกชิ้น
“ถ้าไม่ต้องไปตอนเช้าก็ดีสิ เช้าๆ หนาวจะตาย ง่วงก็ง่วง ขี้เกียจตื่น”
“แล้วทำไมต้องไปด้วย ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปสิ”
“ไม่รู้อีกนั่นล่ะ ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่แม่บอกว่ายังไงก็ต้องไป ไปให้คุณอาหมอที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เค้าดูอะไรก็ไม่รู้”
เด็กชายหันกลับไปที่โทรทัศน์ นักร้องคนโปรดกำลังเต้นด้วยท่าทางสุดเร้าใจ ผู้ชมด้านล่างเวทีกำลังส่งเสียงดังสนั่น แต่เด็กชายกลับไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับความบันเทิงที่นักร้องคนโปรดมอบให้
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่เหรอ”
“แหม ถามนั่นถามนี่อยู่นั่นแหละ รู้นะว่ากลัวเหงา แก้วไม่อยู่เอกก็ไม่รู้จะไปเล่นกับใครใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้ากลับมาถึงแล้วแก้วจะรีบให้แม่พามาหาเอกเป็นคนแรกเลย”
เด็กหญิงหัวเราะ พูดคล้ายแกล้งปลอบใจเด็กชาย
“จริงนะ”
น้ำเสียงเด็กชายจริงจัง
“อื้อ”
“อย่าโกหกนะ”
“อื้อ”
“สัญญานะ”
“เอ๊ะ เยอะจริง เอ้า สัญญาก็สัญญา”
เด็กชายคลี่ยิ้ม ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“ไม่เอาๆ แค่สัญญาไม่พอ รอแป๊บนึง เดี๋ยวมา”
พูดจบเด็กชายก็ลุกพรวดวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปปล่อยให้เด็กหญิงนั่งงงอยู่ที่เดิม เด็กหญิงส่ายหน้าก่อนที่จะกลับไปให้ความสนใจภาพในหน้าจอ เพียงชั่วครู่เด็กชายก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาทิ้งตัวลงที่เดิม
“นี่ ไปไหนมาน่ะ จะจบอยู่แล้วนะ”
“เอามือมานี่”
เด็กชายไม่ตอบ จับมือซ้ายของเด็กหญิงขึ้นมาก่อนจะหยิบสิ่งที่ถือมาด้วยบรรจงพันรอบๆ นิ้วก้อยของเด็กหญิง
“ทำอะไรน่ะ”
“นี่แหวนไง เราให้แก้ว แก้วต้องกลับมาเป็นเจ้าสาวของเอกนะ สัญญานะ”
เด็กชายพูดในขณะที่กำลังบรรจงพันเส้นด้ายบางรอบนิ้วก้อยของเด็กหญิง รอบแล้วรอบเล่าที่มันพันเกี่ยวกัน แนบแน่นราวกับต้องการจะบอกว่าผู้พันผูกนั้นผูกพันและเป็นห่วงมากขนาดไหน
เด็กหญิงมองการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“บ้าเหรอ แหวนที่ไหนเป็นสีแดง ไม่เห็นจะสวยเลย แหวนต้องเป็นสีทองสิถึงจะสวย”
“หาแล้ว แต่มันไม่มี ไม่เห็นเป็นไร สีแดงก็สวยดี ไม่รู้ล่ะ ใส่แหวนของเอกแล้วก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะรีบกลับมา”
“เอาด้ายมานี่ แหวนให้เจ้าสาวน่ะต้องเป็นสีทอง แล้วก็ต้องใส่นิ้วนางด้วย ไม่ใช่นิ้วก้อยอย่างนี้ เอกนี่ไม่รู้เรื่องเลย”
เด็กหญิงพูดพลางแย่งม้วนด้ายสีแดงในมือเด็กชายมาไว้กับตัวเอง ค่อยๆ บรรจงพันมันเข้ากับนิ้วก้อยซ้ายมือของเด็กชายเช่นเดียวกัน
“แต่ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นเรามาเกี่ยวก้อยสัญญากันแทนก็แล้วกัน”
เด็กหญิงมัดปมให้กับวงแหวนเส้นด้ายบนนิ้วของเด็กชาย
“อื้อ”
“แก้วจะรีบกลับมาเป็นเจ้าสาวของเอก เอกก็แต่งตัวหล่อๆ รอแก้วไว้เลยนะ”
“อื้อ เอกจะรอแก้ว รอจนกว่าแก้วจะกลับมา”
นิ้วก้อยเล็กๆ ที่พันผูกด้วยด้ายแดงทั้งสองเกี่ยวประสานเข้าด้วยกัน ถึงแม้ในเวลานี้เด็กทั้งสองยังคงเล็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องราวใดๆ มากกว่านี้ แต่คำสัญญาของทั้งคู่ก็ออกมาจากความจริงใจและบริสุทธิ์ใจอย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เด็กหญิงยืนเคียงข้างแม่ มือน้อยๆ เกาะกุมอยู่กับมือของนาง
“ขอให้หายไวๆ นะคะ แล้วจะได้กลับมาเล่นกับตาเอกไวๆ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เด็กหญิงและเด็กชายที่แม่ของทั้งคู่จูงอยู่ยิ้มให้กันอย่างสดใส แม่ของเด็กหญิงจูงเดินห่างออกไปช้าๆ ดวงอาทิตย์สีส้มคล้อยต่ำลงแลดูเศร้าสร้อย
ราวกับคู่แม่ลูกกำลังเดินเข้าไปหาความร้อนแรงของลูกไฟยักษ์ เงาดำทอดยาวตามพื้นมาจนถึงเด็กชายราวกับต้องการจะตอกย้ำว่าเด็กหญิงไม่ได้อยากจากไป
เด็กหญิงหันกลับมามองและโบกมือให้ เด็กชายทำตามก่อนที่น้ำตาจะรินไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เอก ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวแก้วเค้าก็กลับมา มา เข้าบ้าน อาบน้ำล้างหน้าล้างตาซะ”
หลังจากนั้นภาพเรื่องราวดูเหมือนกับจะถูกเรียงลำดับอย่างสับสน เด็กชายรอคอยวันแล้ววันเล่าที่จะได้พบหน้า แต่เด็กหญิงก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยนับจากวันนั้น
“เสียใจด้วยนะคะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ เลย”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
คนแล้วคนเล่าแวะเวียนพูดปลอบใจ
“ไม่น่ารีบจากไปเลย คิดเสียว่าแกหมดเคราะห์หมดโศกแล้วก็แล้วกันนะคะ”
แม่ของเด็กชายพูดแต่แม่ของเด็กหญิงยังคงร่ำไห้
เด็กชายยืนนิ่งมองภาพถ่ายของเด็กหญิงอย่างเหม่อลอย
ผู้คนที่เริ่มทยอยกันมาสมทบในงานล้วนสวมชุดดำและมีท่าทางเศร้าสร้อย บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเศร้าหมอง
เด็กชายเองก็สวมชุดดำ มือซ้ายยังคงกำสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ด้วยกัน
ใจหายอย่างน่าประหลาด น้ำตาไหลออกมาจากด้วงตาอาบใบหน้าเล็กๆ นั้น
ภาพติดๆ ดับๆ ราวกับโทรทัศน์สัญญาณไม่ดี ครู่หนึ่งภาพแหวนที่ทำจากได้สีแดงวางอยู่บนโต๊ะในห้องนอนก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น
มันเป็นแหวนวงเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่บัดนี้แหวนด้ายแดงวงนั้นกลับเก่าจนแทบไม่เหลือสีแดงสดดังเดิมอีกแล้ว
และเพียงชั่วครู่ถัดจากนั้นภาพทั้งหมดก็ดับหายไป
ชายหนุ่มลืมตาตื่นก่อนจะได้เห็นเรื่องราวในความฝันต่อจากนั้น เขายื่นมือถึงลูบไล้และพบน้ำตาเรื้ออยู่ที่ขอบตา
เด็กหญิงและเด็กชายที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแม้แต่หน้าตา แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวและเด็กทั้งสองอย่างประหลาด
เขาเคยฝันเห็นเรื่องราวแบบนี้ของเด็กทั้งคู่มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากทว่าครั้งนี้มันกลับชัดเจนจนเหมือนกับไม่ใช่ฝัน
เหมือนกับเขาได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวของเขาเอง
ชายหนุ่มยกนิ้วก้อยมือซ้ายขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แฝงลึกอยู่ในใจ มันเป็นความคิดถึง ความปวดร้าว ความห่วงหาอาทร และอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ไม่อาจแยกแยะออกมาได้
วันแรกของการทำงานหลังจากวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ ชายหนุ่มยืนหันรีหันขวางท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่ที่ป้ายรอรถโดยสารประจำทาง รู้สึกว่าตนเองกำลังหลงทางและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
สายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งน่าจะกำลังรอรถประจำทางอยู่เช่นเดียวกับเขา เขาลังเลหน่อยหนึ่งก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถามหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่คนเดียวนั้น
“เอ่อ ขอโทษครับ รู้จักที่นี่ไหมครับ”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองยังต้นเสียงทุ้มอันนุ่มนวลนั้น
“คือว่า สำนักงานใหญ่ส่งผมมาทำงานที่นี่ แล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมมา แล้วก็ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะไปไม่ถูกเสียแล้วล่ะครับ”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะยื่นแผนที่ซึ่งถูกเขียนอย่างลวกๆ บนกระดาษยับๆ ให้หญิงสาว รู้สึกได้ว่าตัวเขาเองพยายามจับต้นชนปลายและอธิบายเรื่องราวอย่างเกินความจำเป็น
หญิงสาวรับแผนที่จากมือชายหนุ่ม รอยยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรปรากฏที่มุมปาก
“ฉันทำงานอยู่ที่ๆ คุณกำลังจะไปนั่นล่ะค่ะ ถ้าไม่รังเกียจเดี๋ยวไปด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มและพูดขึ้นหลังจากใช้ความพยายามเล็กน้อยในการดูแผนที่แผ่นที่ถูกยื่นมาให้
“จริงหรือครับ โชคดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ค้อมตัวอย่างเรียบร้อยเกินเหตุอีกเช่นเคย ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ไหลล้นออกมาจากภายใน
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างประหลาด จังหวะหัวใจเต้นผิดปกติไปจากเดิม หากแต่นั่นกลับเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เขาเองก็บรรยายไม่ถูก
ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างขัดเขินอันเกิดจากความไม่คุ้นเคย แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสและจริงใจอย่างที่สุดในความคิดของคนทั้งสอง
หากแต่เพียงในเวลานี้ ถ้าชายหนุ่มจะมองเห็นเส้นด้ายสีแดงเส้นบางๆ ที่พันผูกอยู่ที่นิ้วก้อยดังเช่นที่เขาเคยเห็นมันในภาพฝัน เขาจะพบว่า บัดนี้ มันได้ทำหน้าที่ชักนำเจ้าของด้ายแดงทั้งสองคนซึ่งเคยจากกันไปแสนไกลกลับมาพบกันดังที่เคยสัญญาไว้อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว
คำสัญญา (ด้ายแดง)
“กลับมาแล้วหรือคะ เหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่เหนื่อยเลยจ้า นี่ขนมเค้กของโปรดของเธอ พี่ซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนนะคะ แล้วเรามากินข้าวกัน มีกับข้าวหลายอย่างเลย นี่ไข่เจียว นี่ต้มยำกุ้ง ของโปรดของพี่ทั้งนั้นเลยนะ”
เด็กหญิงผายมือไปยังจานพลาสติกใบจิ๋วหลากสีที่วางเรียงรายเบื้องหน้า ในจานใบจิ๋วนั้นมีดินน้ำมันที่ปั้นเป็นรูปต่างๆ และดอกไม้หลากสีวางประดับอยู่
“ได้จ้า รอแป๊บนึงนะ อาบน้ำเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวพี่กลับมากิน”
พูดจบเด็กชายก็เดินเข้าไปยังพื้นที่ๆ สมมติว่าเป็นห้องน้ำ ทำท่าถอดเสื้อผ้า ผิวปากไปพลาดอาบน้ำในจินตนาการไปพลางอย่างสบายอารมณ์
“นี่เด็กๆ รายการเพลงโปรดมาแล้วนะ จะดูกันรึเปล่า”
“ดูค้าบ”
“ดูค่า”
เด็กทั้งสองตอบรับเสียงเชิญชวนเจื้อยแจ้วพร้อมเพรียงก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งแข่งกันกลับเข้าบ้าน เสียงใสจากนักร้องคนโปรดดังผ่านลำโพงโทรทัศน์มาแต่ไกล
เด็กทั้งสองทิ้งตัวลงหน้าทีวีแย่งกันจับจองที่นั่งที่คิดว่าดีกว่า ต่างเบียดต่างแย่งกันสนุกสนานเฮฮาตามประสาเด็กที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่แบเบาะ
“นี่ๆ นั่งกันดีๆ สิเด็กๆ แหย่กันไปมาอยู่นั่นแหละ จะดูกันมั้ยเนี่ยทีวีน่ะ”
“ก็แก้วมาแย่งที่นั่งประจำของเอก”
“นี่แก้วเค้าเป็นแขกนะตาเอก เค้าอุตส่าห์มาหามาเล่นกันเอก เอกเป็นเจ้าบ้านแล้วก็เป็นผู้ชายด้วย ต้องเสียสละให้ผู้หญิงสิ จริงมั้ย”
แม่เอ็ด เด็กชายก้มหน้าแกล้งทำเป็นสลด เด็กหญิงทำหน้าทะเล้นแอบแลบลิ้นใส่
“เอ้านี่ขนม ค่อยๆ กินกันนะ แล้วก็ไม่ต้องแย่งกันอีกล่ะ เออ แก้ว วันนี้อยู่กินข้าวเย็นที่นี่เลยก็แล้วกัน เดี๋ยวน้าโทรไปบอกให้แม่ของแก้วมาเร็วเย็นๆ หน่อย จะได้อยู่เล่นด้วยกันนานๆ”
“ค่า คุณน้า”
เด็กหญิงตอบเสียงใส ยื่นมือหยิบขนมในจานสังกะสีเคลือบโยนใส่ปาก เด็กชายเห็นดังนั้นก็ทำตาม แต่พยายามโยนให้สูงกว่าเด็กหญิง เมื่อขนมเข้าปากก็ทำหน้าล้อเลียนใส่ และก็กลายเป็นว่าเด็กทั้งสองแข่งกันโยนขนมเข้าปากให้สูงกว่าอีกคน
แม่ของเด็กชายถอนหายใจ ส่ายหน้าและยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้าครัวไป
เพลงที่เด็กทั้งสองชอบที่สุดกำลังถูกถ่ายทอดผ่านจอตู้ เด็กหญิงนั่งมองตาไม่กระพริบ แต่เด็กชายเหลียวมามองใบหน้าของเด็กหญิง ไม่ต้องสังเกตก็รู้ว่าเด็กชายกำลังรู้สึกเศร้า
“พรุ่งนี้จะไปกี่โมงเหรอ”
เด็กชายถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน แม่ยังไม่ได้บอกเลย”
เด็กหญิงตอบ ตายังจ้องอยู่ที่หน้าจอ มือเอื้อมหยิบขนมส่งเข้าปากอีกชิ้น
“ถ้าไม่ต้องไปตอนเช้าก็ดีสิ เช้าๆ หนาวจะตาย ง่วงก็ง่วง ขี้เกียจตื่น”
“แล้วทำไมต้องไปด้วย ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปสิ”
“ไม่รู้อีกนั่นล่ะ ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่แม่บอกว่ายังไงก็ต้องไป ไปให้คุณอาหมอที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เค้าดูอะไรก็ไม่รู้”
เด็กชายหันกลับไปที่โทรทัศน์ นักร้องคนโปรดกำลังเต้นด้วยท่าทางสุดเร้าใจ ผู้ชมด้านล่างเวทีกำลังส่งเสียงดังสนั่น แต่เด็กชายกลับไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับความบันเทิงที่นักร้องคนโปรดมอบให้
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่เหรอ”
“แหม ถามนั่นถามนี่อยู่นั่นแหละ รู้นะว่ากลัวเหงา แก้วไม่อยู่เอกก็ไม่รู้จะไปเล่นกับใครใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้ากลับมาถึงแล้วแก้วจะรีบให้แม่พามาหาเอกเป็นคนแรกเลย”
เด็กหญิงหัวเราะ พูดคล้ายแกล้งปลอบใจเด็กชาย
“จริงนะ”
น้ำเสียงเด็กชายจริงจัง
“อื้อ”
“อย่าโกหกนะ”
“อื้อ”
“สัญญานะ”
“เอ๊ะ เยอะจริง เอ้า สัญญาก็สัญญา”
เด็กชายคลี่ยิ้ม ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“ไม่เอาๆ แค่สัญญาไม่พอ รอแป๊บนึง เดี๋ยวมา”
พูดจบเด็กชายก็ลุกพรวดวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปปล่อยให้เด็กหญิงนั่งงงอยู่ที่เดิม เด็กหญิงส่ายหน้าก่อนที่จะกลับไปให้ความสนใจภาพในหน้าจอ เพียงชั่วครู่เด็กชายก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาทิ้งตัวลงที่เดิม
“นี่ ไปไหนมาน่ะ จะจบอยู่แล้วนะ”
“เอามือมานี่”
เด็กชายไม่ตอบ จับมือซ้ายของเด็กหญิงขึ้นมาก่อนจะหยิบสิ่งที่ถือมาด้วยบรรจงพันรอบๆ นิ้วก้อยของเด็กหญิง
“ทำอะไรน่ะ”
“นี่แหวนไง เราให้แก้ว แก้วต้องกลับมาเป็นเจ้าสาวของเอกนะ สัญญานะ”
เด็กชายพูดในขณะที่กำลังบรรจงพันเส้นด้ายบางรอบนิ้วก้อยของเด็กหญิง รอบแล้วรอบเล่าที่มันพันเกี่ยวกัน แนบแน่นราวกับต้องการจะบอกว่าผู้พันผูกนั้นผูกพันและเป็นห่วงมากขนาดไหน
เด็กหญิงมองการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“บ้าเหรอ แหวนที่ไหนเป็นสีแดง ไม่เห็นจะสวยเลย แหวนต้องเป็นสีทองสิถึงจะสวย”
“หาแล้ว แต่มันไม่มี ไม่เห็นเป็นไร สีแดงก็สวยดี ไม่รู้ล่ะ ใส่แหวนของเอกแล้วก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะรีบกลับมา”
“เอาด้ายมานี่ แหวนให้เจ้าสาวน่ะต้องเป็นสีทอง แล้วก็ต้องใส่นิ้วนางด้วย ไม่ใช่นิ้วก้อยอย่างนี้ เอกนี่ไม่รู้เรื่องเลย”
เด็กหญิงพูดพลางแย่งม้วนด้ายสีแดงในมือเด็กชายมาไว้กับตัวเอง ค่อยๆ บรรจงพันมันเข้ากับนิ้วก้อยซ้ายมือของเด็กชายเช่นเดียวกัน
“แต่ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นเรามาเกี่ยวก้อยสัญญากันแทนก็แล้วกัน”
เด็กหญิงมัดปมให้กับวงแหวนเส้นด้ายบนนิ้วของเด็กชาย
“อื้อ”
“แก้วจะรีบกลับมาเป็นเจ้าสาวของเอก เอกก็แต่งตัวหล่อๆ รอแก้วไว้เลยนะ”
“อื้อ เอกจะรอแก้ว รอจนกว่าแก้วจะกลับมา”
นิ้วก้อยเล็กๆ ที่พันผูกด้วยด้ายแดงทั้งสองเกี่ยวประสานเข้าด้วยกัน ถึงแม้ในเวลานี้เด็กทั้งสองยังคงเล็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องราวใดๆ มากกว่านี้ แต่คำสัญญาของทั้งคู่ก็ออกมาจากความจริงใจและบริสุทธิ์ใจอย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เด็กหญิงยืนเคียงข้างแม่ มือน้อยๆ เกาะกุมอยู่กับมือของนาง
“ขอให้หายไวๆ นะคะ แล้วจะได้กลับมาเล่นกับตาเอกไวๆ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เด็กหญิงและเด็กชายที่แม่ของทั้งคู่จูงอยู่ยิ้มให้กันอย่างสดใส แม่ของเด็กหญิงจูงเดินห่างออกไปช้าๆ ดวงอาทิตย์สีส้มคล้อยต่ำลงแลดูเศร้าสร้อย
ราวกับคู่แม่ลูกกำลังเดินเข้าไปหาความร้อนแรงของลูกไฟยักษ์ เงาดำทอดยาวตามพื้นมาจนถึงเด็กชายราวกับต้องการจะตอกย้ำว่าเด็กหญิงไม่ได้อยากจากไป
เด็กหญิงหันกลับมามองและโบกมือให้ เด็กชายทำตามก่อนที่น้ำตาจะรินไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เอก ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวแก้วเค้าก็กลับมา มา เข้าบ้าน อาบน้ำล้างหน้าล้างตาซะ”
หลังจากนั้นภาพเรื่องราวดูเหมือนกับจะถูกเรียงลำดับอย่างสับสน เด็กชายรอคอยวันแล้ววันเล่าที่จะได้พบหน้า แต่เด็กหญิงก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยนับจากวันนั้น
“เสียใจด้วยนะคะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ เลย”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
คนแล้วคนเล่าแวะเวียนพูดปลอบใจ
“ไม่น่ารีบจากไปเลย คิดเสียว่าแกหมดเคราะห์หมดโศกแล้วก็แล้วกันนะคะ”
แม่ของเด็กชายพูดแต่แม่ของเด็กหญิงยังคงร่ำไห้
เด็กชายยืนนิ่งมองภาพถ่ายของเด็กหญิงอย่างเหม่อลอย
ผู้คนที่เริ่มทยอยกันมาสมทบในงานล้วนสวมชุดดำและมีท่าทางเศร้าสร้อย บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเศร้าหมอง
เด็กชายเองก็สวมชุดดำ มือซ้ายยังคงกำสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ด้วยกัน
ใจหายอย่างน่าประหลาด น้ำตาไหลออกมาจากด้วงตาอาบใบหน้าเล็กๆ นั้น
ภาพติดๆ ดับๆ ราวกับโทรทัศน์สัญญาณไม่ดี ครู่หนึ่งภาพแหวนที่ทำจากได้สีแดงวางอยู่บนโต๊ะในห้องนอนก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น
มันเป็นแหวนวงเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่บัดนี้แหวนด้ายแดงวงนั้นกลับเก่าจนแทบไม่เหลือสีแดงสดดังเดิมอีกแล้ว
และเพียงชั่วครู่ถัดจากนั้นภาพทั้งหมดก็ดับหายไป
ชายหนุ่มลืมตาตื่นก่อนจะได้เห็นเรื่องราวในความฝันต่อจากนั้น เขายื่นมือถึงลูบไล้และพบน้ำตาเรื้ออยู่ที่ขอบตา
เด็กหญิงและเด็กชายที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแม้แต่หน้าตา แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวและเด็กทั้งสองอย่างประหลาด
เขาเคยฝันเห็นเรื่องราวแบบนี้ของเด็กทั้งคู่มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากทว่าครั้งนี้มันกลับชัดเจนจนเหมือนกับไม่ใช่ฝัน
เหมือนกับเขาได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวของเขาเอง
ชายหนุ่มยกนิ้วก้อยมือซ้ายขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แฝงลึกอยู่ในใจ มันเป็นความคิดถึง ความปวดร้าว ความห่วงหาอาทร และอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ไม่อาจแยกแยะออกมาได้
วันแรกของการทำงานหลังจากวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ ชายหนุ่มยืนหันรีหันขวางท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่ที่ป้ายรอรถโดยสารประจำทาง รู้สึกว่าตนเองกำลังหลงทางและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
สายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งน่าจะกำลังรอรถประจำทางอยู่เช่นเดียวกับเขา เขาลังเลหน่อยหนึ่งก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถามหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่คนเดียวนั้น
“เอ่อ ขอโทษครับ รู้จักที่นี่ไหมครับ”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองยังต้นเสียงทุ้มอันนุ่มนวลนั้น
“คือว่า สำนักงานใหญ่ส่งผมมาทำงานที่นี่ แล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมมา แล้วก็ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะไปไม่ถูกเสียแล้วล่ะครับ”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะยื่นแผนที่ซึ่งถูกเขียนอย่างลวกๆ บนกระดาษยับๆ ให้หญิงสาว รู้สึกได้ว่าตัวเขาเองพยายามจับต้นชนปลายและอธิบายเรื่องราวอย่างเกินความจำเป็น
หญิงสาวรับแผนที่จากมือชายหนุ่ม รอยยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรปรากฏที่มุมปาก
“ฉันทำงานอยู่ที่ๆ คุณกำลังจะไปนั่นล่ะค่ะ ถ้าไม่รังเกียจเดี๋ยวไปด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มและพูดขึ้นหลังจากใช้ความพยายามเล็กน้อยในการดูแผนที่แผ่นที่ถูกยื่นมาให้
“จริงหรือครับ โชคดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ค้อมตัวอย่างเรียบร้อยเกินเหตุอีกเช่นเคย ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ไหลล้นออกมาจากภายใน
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างประหลาด จังหวะหัวใจเต้นผิดปกติไปจากเดิม หากแต่นั่นกลับเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เขาเองก็บรรยายไม่ถูก
ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างขัดเขินอันเกิดจากความไม่คุ้นเคย แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสและจริงใจอย่างที่สุดในความคิดของคนทั้งสอง
หากแต่เพียงในเวลานี้ ถ้าชายหนุ่มจะมองเห็นเส้นด้ายสีแดงเส้นบางๆ ที่พันผูกอยู่ที่นิ้วก้อยดังเช่นที่เขาเคยเห็นมันในภาพฝัน เขาจะพบว่า บัดนี้ มันได้ทำหน้าที่ชักนำเจ้าของด้ายแดงทั้งสองคนซึ่งเคยจากกันไปแสนไกลกลับมาพบกันดังที่เคยสัญญาไว้อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว