ห้องพิมพ์ดีด

พศ. 2553

รถตู้โรงเรียนคันหนึ่งหยุดตัวลงที่ลานกว้างบริเวณหน้าโรงเรียน ก่อนที่ประตูรถตู้จะเลื่อนตัวเปิดออก ตามด้วยร่างของนักเรียนกว่าสิบชีวิตที่กรูกันลงมาจากภายในรถตู้ แล้วเหล่านักเรียนก็ต่างบอกลากันเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านในช่วงเย็น

ชายผ้าสไบสะบัดปลิวตามแรงลม ร่างสูงของหญิงสาวสองคนดูสวยสง่าในชุดนางงามปรากฏอยู่ในสายตาของเด็กสาววัย 15 คนหนึ่ง ซึ่งความสง่านั้นช่างจูงใจให้ในใจใคร่อยากจะเห็นหน้าว่าจะงามได้รูปเข้ากับร่างสูงสมส่วนความเป็นนางรำแสนงามนั้นหรือเปล่า แต่อีกใจของเด็กสาววัย 15 ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าวันนี้ทางโรงเรียนก็ไม่ได้มีวันสำคัญใดๆ ให้ชมรมนาฏศิลป์ต้องออกมาทำการแสดง หากมี ตนเองก็ต้องอยู่ดูร่วมงานโรงเรียนในวันนั้นในฐานะตัวแทนระดับชั้นที่เหล่าคณาจารย์ได้เลือกให้เธอเป็นตามผลการเรียนอันน่าประทับใจแก่โรงเรียนและทางบ้าน

“เฮ้ย! วันนี้โรงเรียนเรามีงานอะไรรึเปล่าวะ? ทำไมมีนางรำ” เด็กสาววัย 15 หันไปถามเพื่อนนักเรียนหญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“เปล่านี่..” เพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกันให้คำตอบเป็นการยืนยันตามประโยคฉุกคิดของเด็กสาววัย 15 ก่อนจะถามกลับให้เด็กสาววัย 15 คนนี้ยิ่งสงสัย.. “ไหนนางรำของวะ?”
“ก็ที่เดินกันสองคนอยู่ตรงนั้นไง” เด็กสาวพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังทิศทางที่เห็นนางรำสองคนกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้น นางรำทั้งสองก็ค่อยๆ หันหน้ามาทางที่เด็กสาววัย 15 ยืนอยู่ และภาพใบหน้านางรำที่เด็กสาวเห็น คือภาพที่จะตราตรึงในความทรงจำไปตลอดกาล..

“นางรำสองคนนั้นไม่มีใบหน้า”

................................................................................................................................................................................


    2 ปีต่อมา..

    จากวันนั้นถึงวันนี้ เด็กสาวได้เติบโตขึ้นจนศึกษาอยู่ในระดับชั้นที่สามารถรอรับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 3 พร้อมผลการเรียนที่ยังน่าพึงพอใจแก่ทางโรงเรียนและทางบ้านเช่นเคย นอกจากนี้ เธอยังได้คบหาดูใจกับหนุ่มนักกีฬาโรงเรียนคนหนึ่งมาซักระยะแล้ว..

    เย็นวันหนึ่ง เธอต้องอยู่ทำรายงานวิชาหนึ่งด้วยการ ‘พิมพ์ดีด’ ในห้องพิมพ์ดีดของโรงเรียน ในสมัยที่เครื่องพิมพ์ดีดยังเป็นเครื่องมือสำคัญของนักเรียนสายอาชีพในโรงเรียนนั้น สำหรับส่งรายงานให้กับอาจารย์ที่เธอจะต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ เพื่อส่งพรุ่งนี้ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาจน 6 โมงเย็น และแม้ว่าห้องพิมพ์ดีดจะมีกฎข้อสำคัญที่แจ้งกันแบบปากต่อปากอยู่ว่า ‘ห้ามนักเรียนหรือบุคคลกรใดๆ อยู่ในห้องนี้หลังเวลา 17.30น.’ นั่นรวมไปถึงว่า แม้แต่คณาจารย์ท่านใดๆ ก็ไม่สามารถอยู่ใช้งานห้องนี้ได้หลังเวลาดังกล่าวเช่นกัน

    “เฮ้ย! ..กูกลับก่อนนะ” เพื่อนสาวที่อยู่กับเธอจนเป็นสองคนสุดท้ายในห้องพิมพ์ดีดเอ่ยขึ้นก่อนจะมีท่าทีรีบเก็บข้าวของต่างๆ ยัดใส่กระเป๋าเป้โรงเรียน
    “อ่าว..จะรีบไปไหนอ่ะ? อยู่เป็นเพื่อนกูก่อนดิ!” เด็กสาวพยายามจะยื้อให้เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอในเวลานี้ให้อยู่ต่อ เนื่องจากว่า หากมองไปรอบๆ ห้อง บรรยากาศก็ชวนวังเวงไม่ใช่น้อย
    “ก็เขาไม่ให้อยู่หลัง 5 โมงครึ่งแล้วอ่ะ นี่เลยมาจน 6 โมงกว่าแล้วนะเว้ย อีกอย่าง..บ้านกูยังมีเครื่องพิมพ์ดีดอยู่ เดี๋ยวกูไปพิมพ์ต่อที่บ้านก็ได้” เหตุผลที่เพื่อนของเธอให้มาคงมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เด็กสาวไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้เพื่อนของเธออยู่ต่อได้ เธอจึงได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงบอกกับเพื่อนว่า ‘ก็แล้วแต่’ ก่อนที่เพื่อนสาวของเธอจะออกจากห้องไป

    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องนี้แล้ว หรือไม่มีใครอยู่บนอาคารเรียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ด้านล่างของโรงเรียนจะไม่มีใครอยู่ เธอนึกถึงแฟนหนุ่มนักกีฬาโรงเรียนที่กำลังซ้อมบาสเกตบอลอยู่ที่สนามด้านล่าง
    โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่นิ้วโป้งของเด็กสาวจะกดลงไปบนปุ่มเพื่อหารายชื่อที่บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของแฟนหนุ่มเอาไว้ แล้วกดโทรออก โดยที่เธอรออยู่พักใหญ่กว่าจะมีคนรับสาย

    “เธอ..ขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเค้าบนห้องพิมพ์ดีดหน่อยดิ”
    ‘ทำไมยังอยู่อีกล่ะ เขาห้ามอยู่ห้องพิมพ์ดีดหลัง 5 โมงครึ่งไม่ใช่เหรอ?’
    “เค้ามีงานต้องพิมพ์แล้วส่งพรุ่งนี้ บ้านเค้าไม่มีเครื่องพิมพ์ดีดเลยต้องอยู่พิมพ์ต่อ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะ” เด็กสาวพยายามจะหาเหตุผลเพื่อให้แฟนหนุ่มของเธอขึ้นมาอยู่ด้วย โดยที่สายตาจากดวงตากลมโตนั้นมองไปรอบๆ ห้อง ราวกับเป็นการส่งความรู้สึกไปให้ทางนั้นรับรู้ว่า ‘มันวังเวงจริงๆ’
    ‘เธอก็พิมพ์ไปดิ เสร็จแล้วค่อยลงมา เค้าจะซ้อมบาส’
    “ก็หยุดซ้อมแปบนึงแล้วมาอยู่ด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอ? แล้วอาทิตย์นี้มีแข่งบาสวันไหนเหรอไง?” เด็กสาวภาวนาให้แฟนหนุ่มเห็นถึงความอ้างว้างท่ามกลางบรรยากาศชวนวังเวงของเธอที่ต้องอยู่บนห้องนี้คนเดียวบ้าง แต่..
    ‘ไม่มีอ่ะ แต่ก็ซ้อมไว้ก่อนไง’
    “ก็ถ้าไม่มีแล้วขึ้นมาอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอ? นี่ไม่ได้ขออะไรมากมายเลยนะ” เด็กสาวเริ่มขุ่นเคืองในคำตอบเชิงปฏิเสธของแฟนหนุ่มซึ่งดูไม่มีเหตุผลอะไรไปมากกว่า ‘จะซ้อมบาส’
    สุดท้ายกลายเป็นว่าทั้งคู่มีปากเสียงกันด้วยเรื่องคล้ายจะเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องที่คนหนึ่งอยากจะให้อีกคนอยู่ด้วย แต่คนที่ถูกขอให้อยู่ด้วย ‘จะซ้อมบาส’
    “เอองั้นจะซ้อมถึงกี่โมงก็ซ้อมไปเลย! กูอยู่เองคนเดียวก็ได้!” แทบจะทันทีเมื่อจบประโยค เด็กสาวก็ตัดสายไป แล้วหันมาพิมพ์รายงานต่อ
................................................................................................................................................................................

    ครืดดด!!
    เวลายิ่งเดินไปจนเลยพลบค่ำ เสียงบรรยากาศคึกคักของนักเรียนในโรงเรียนยิ่งเบาบางลงไปทุกที ในขณะเดียวกัน เสียงเลื่อนแท่นบรรทัดพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดก็ยิ่งดังขึ้นทุกที

ครืดดด..ครืดดด!!
    เด็กสาวเริ่มแปลกใจที่ครั้งนี้ เมื่อเลื่อนแท่นบรรทัดของเครื่องพิมพ์ดีด แท่นกลับส่งเสียงดังขึ้นสองครั้ง คล้ายกับว่ามีเครื่องพิมพ์ดีดที่กำลังถูกใช้งานอยู่สองเครื่อง แต่ถึงอย่างนั้น เด็กสาวยังคงทำใจคิดว่า ความเงียบของห้องคงทำให้แท่นพิมพ์เกิดเสียงสะท้อนตามความกว้างของห้อง

    ครืดดด..ครืดดด!!
    มันเริ่มแปลกไปทุกทีที่เสียงแท่นพิมพ์ที่เด็กสาวคิดว่ามันสะท้อนกับห้องกว้างๆ เริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ..ดังจนชัดเจนเกินกว่าจะเป็นแค่เสียงสะท้อน

    ครืดดด..ครืดดด!!
    จากเสียงสะท้อน ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนในเวลานี้ มันดังอยู่ชัดเจนอยู่ข้างหูของเธอ..มันคือเรื่องจริงที่ในตอนนี้แท่นพิมพ์ดีดถูกใช้งานอยู่ 2 แท่น นอกจากของเด็กสาวแล้ว ก็มีอีกเครื่องที่กำลังพิมพ์อยู่ข้างๆ เธอ แม้เธอจะอยู่ในห้องนี้เพียงคนเดียวในเวลานี้

    ความรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับฤดูหนาวมาเยือนแผ่มากระทบแขนของเธอจากทางด้านซ้าย ก่อนที่เธอจะรู้สึกเย็นวาบไปทั่วซีกซ้ายของร่างกาย
    ความอยากรู้อยากเห็นย่อมแพ้ความกลัวเสมอ เมื่อเด็กสาวตัดสินใจหันไปทางซ้ายมือของตนอย่างช้าๆ จนได้พบกับคำตอบของกฎข้อสำคัญที่ว่า ‘ห้ามนักเรียนหรือบุคคลกรใดๆ อยู่ในห้องนี้หลังเวลา 17.30น.’

    ด้วยชุดนักเรียนที่ยังบ่งบอกว่า ‘นี่คือนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน’ ทว่าร่างกายซีกขวาที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแดงฉานราวกับแผลสดที่ฉีกขาดจนเห็นเนื้อสดๆ ข้างใน ผมสีดำขลับยาวปรกหน้าราวกับปิดบังโฉมหน้าที่ไม่น่าชวนให้มอง ภาพเหล่านี้ปรากฏอยู่ในสายตาของเด็กสาวอย่างชัดเจน จนกระทั่งความเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่วร่างกาย ตามมาด้วยอาการชาของทั้งแขนและขาด้วยความกลัวสุดขีดขั้วหัวใจ ทำให้เด็กสาวไม่สามารถขยับร่างกายไปไหนเพื่อหนีออกจากตรงนั้นได้เลย

    และแล้วใบหน้าที่ผมยาวปรกหน้าที่ก่อนนี้ยังมองไปแต่แท่นพิมพ์ดีด ก็ค่อยๆ หันมาทางที่ที่เด็กสาวนั่งอยู่ จนเด็กสาวได้เห็นใบหน้าภายใต้ผมดำที่ปกปิดความสยองนั้น คือใบหน้าซีกขวาที่ยุบหายไปครึ่งหนึ่งโดยดวงตายังถลนออกมาจากเบ้า และยังมีเลือดสีแดงฉานอาบอยู่ทั่วใบหน้าซีกขวานั้น..

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!

    ทั้งอาจารย์และนักเรียนไม่ต่ำกว่า 10 ชีวิตต่างวิ่งขึ้นมายังห้องพิมพ์ดีดตามเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของเด็กสาว ก่อนจะพบร่างที่สลบไม่ได้สติของเด็กสาวอยู่ที่แท่นพิมพ์ โดยทั้งอาจารย์และนักเรียนต่างก็ทั้งเรียกชื่อ ทั้งตบแก้มเด็กสาวเพื่อให้เด็กสาวได้สติ..
................................................................................................................................................................................

    7 วันต่อมา..

    เด็กสาวมาโรงเรียนได้ในที่สุด หลังจากพักฟื้นอยู่หลายวันหลังจากที่ได้พบกับ ‘นักเรียนห้องพิมพ์ดีด’ ต้นเหตุของกฎ ‘ห้ามนักเรียนหรือบุคคลกรใดๆ อยู่ในห้องนี้หลังเวลา 17.30น.’ จนทำให้เด็กสาวต้องนอนจมไข้ไปหลายวัน

    “เมื่อก่อนเคยมีนักเรียนหญิงคนหนึ่ง ชนะการประกวดมาหลายงานจนพลาดเข้าให้งานหนึ่ง แล้วทางบ้านก็กดดันด้วย เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย..กระโดดออกจากหน้าต่างห้องพิมพ์ดีดนั่นแหละ” ตลอดมา ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะเป็นนักเรียนที่ผลการเรียนดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ปฏิบัติตนตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด รวมถึงไม่ใส่ใจเหตุผลใดๆ ด้วย มีเพียงแต่ว่า ตนเองอยากปฏิบัติตามข้อไหน ก็ทำตามไป ส่วนข้อไหนที่ตนไม่เลือก ก็แทบจะไม่แยแส

    แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้เด็กสาวต้องถึงขั้นไปถามอาจารย์ด้วยตัวเอง โดยหวังว่าหลังจากนี้ เธอจะปฏิบัติตามกฎข้อห้ามสำหรับแต่ละสถานที่ได้มากขึ้น..
................................................................................................................................................................................

    วันต่อมา

    ร่างสูงวัย 20 ปลายๆ ของอาจารย์หนุ่มท่านหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมใบรายงานจำนวน 45 ใบในมือ

    “เอ้าๆๆ! คะแนนมาแล้ว ฟังกันหน่อย!” อาจารย์หนุ่มประกาศผ่านไมโครโฟนถึงคะแนนรายงานที่เหล่านักเรียนต่างพยายามทำตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ..รวมไปถึงเด็กสาวด้วย
    อาจารย์หนุ่มประกาศชื่อเจ้าของรายงาน ตามด้วยผลคะแนน จนมาถึงคนสุดท้าย
    “คนสุดท้ายนี่คะแนนไม่ใช่ท้ายสุดเลยนะ..” ยังไม่ทันที่อาจารย์หนุ่มจะได้พูดอะไรต่อ นักเรียนชายคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นเรียกอาจารย์
    “อาจารย์ครับ ห้องเรามี 44 คนนะครับ อาจารย์ถือของห้องอื่นมารึเปล่า”
    “หืม.. 45 สิ ก็เนี่ย รายงานมันมี 45 ชิ้น ผมตรวจให้คะแนนไปหมดแล้ว แล้วคนที่ 45 เขาก็เขียนชั้นของห้องด้วยว่าอยู่ห้องพวกเธอ”
    “ห้องเรามีแค่ 44 คนจริงๆ ครับ” นักเรียนชายคนเดิมยังคงยืนยันคำตอบเดิม

“แล้วทำไมรายงานถึงมี 45 ชิ้น?”

................................................................................................................................................................................

    5 ปีต่อมา..

    “ตามนั้นแหละพี่..ไหนๆ เล่าแล้วก็จำไปเขียนเองละกัน หนูจะได้ไม่ต้องกลับไปพิมพ์ลงเวิร์ดอีกที” ผมพยักหน้ารับคำจากเพื่อนสาวรุ่นน้องที่เพิ่งเล่าเรื่องที่เธอคิดว่า ‘น่าจะ’ สยองที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ

ซึ่งมาถึงตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจำไปทั้งหมดนั่นได้ยังไง..

ผมยังคงนั่งดื่มอยู่กับเธอจนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 6 โมงเช้าที่ร้านเหล้า Outdoor แห่งหนึ่งซึ่งมีรุ่นน้องอีกคนทำงานอยู่ จึงได้สิทธิพิเศษในการ ‘นั่งยาว’ ได้ โดยที่ไม่ต้องรีบกลับแบบเหล้าเหลือจนต้องฝากร้านแล้วต้องมาเสียค่าเปิดอีกในคราวหน้า
ผมมองไปยังบรรยากาศรอบๆ ร้านก็ได้เห็นว่า ร้านนี้สร้างท่ามกลางต้นกกที่ขึ้นสูงอยู่รอบๆ ก่อนที่เราจะตัดสินใจแยกย้ายกันเมื่อเหล้าหมดกลมแล้ว เพื่อนสาวรุ่นน้องของผมก็ได้พูดขึ้นว่า

“แถวนี้ก็มีพวกมันอยู่เหมือนกันนะ..ไม่ใช่น้อยๆ เลยด้วย”


จบ


#DevaHellblazer

ฝากติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางนะครับ
Deva Hellblazer : https://www.facebook.com/DevaHellblazer/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่