ส่วนตัวผมมองว่า สิ่งที่ประเทศ ปชช.และรัฐจะได้เมื่อลงทุนแต่ผู้เดียว..
1.รัฐ(ประเทศ+ปชช)เป็นเจ้าของตลอดไป
2.การกำหนดราคาเพื่อความสมเหตุสมผล รัฐมีอำนาจเต็มเพราะปลอดจากเอกชน
3.ขยายความเจริญ ของประเทศออกไป ไม่ให้กระจุกตัวที่ กทม.ที่เดียว ดังจะเห็นใน กทม.ว่า ที่ใดมี รถไฟฟ้า(BTS) และทางด่วนใกล้บ้าน ที่นั้นย่อมมีความเจริญ และที่ดินมีราคาสูงขึ้น
4.รถไฟที่มีอยู่ มัน100กว่าปีแล้วที่ไม่พัฒนา จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้จักพัฒนาบ้าง
หมายเหตุ การเป็นหนี้ที่สร้างสรร สร้างประโยชน์ ที่เป็นรูปธรรม ผมไม่กลัว ขอให้ทำจริง ไม่ใช่เอาไปทำอะไรที่เป็นลักษณะ"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เช่น โครงการไทยเข็มแข็ง เช่นต้นกล้าอาชีพ สุดท้ายเจ๊ง และ การให้ยืนเคารพธงชาติตอนเย็นๆออกทีวี ที่เสียเงินโดยใช่เหตุ ฯ
และที่ผมเชื่อมั่นต่อรัฐบาลนี้ เพราะ เอาผลงานในอดีตที่เห็นเป็นประจักมาแล้วเป็นตัวอย่าง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ(ที่ตอนนั้นเขาตั้งเป้าว่าจะมีคนใช้45ล้านคนต่อปี แต่ปีที่แล้ว มีคนใช้สูงถึง55ล้านคนต่อปี นี่จึงชัดเจนว่า วิสัยทัศน์ผู้นำในขณะนั้น(นายกทักษิณ)มองการไกลออก) โครงการ30บาทรักษาทุกโรค ที่ฝ่ายตรงข้าม(สมองกลวง เก่งแต่ปาก)มันเคยบอกว่าทำไม่ได้ สุดท้ายเขาทำได้ ...แล้วไง ใบ้กินกันไปถ้วนหน้า
ผมจึงสนับสนุนเต็มที่ เพราะ ผมเบื่อความดักดานของประเทศนี้เต็มที เพราะความดักดานไม่ได้ให้อะไรกับประเทศ ปชช.เลย แต่หากใครคิดว่า ประเทศและ ปชช.ควรอยู่แบบดักดานต่อไป คุณลองบอกมาสิว่า 1.ความดักดานมันดียังไง 2.ทำไมประเทศนี้และ ปชช.ต้องอยู่แบบดักดาน ในขณะที่ ปชช.ประเทศอื่นเขาต้องการพัฒนาความเจริญ
หากเหตุผลดี ผมอาจเปลี่ยนใจไปอยู่แบบดักดานก็ได้
ขอยกตัวอย่าง คดี"ค่าโง่ทางด่วนโทลเวย์" ที่จะลดราคาทีมักจะมีปัญหากับเอกชนที่ร่วมทุน คือรัฐไม่สามารถบีบได้ จึงเป็นคดีความฟ้องร้องถึงอนุญาโตตุลาการบ่อยครั้ง
คดีตัวอย่าง ...โดยเฉพาะ วรรคนี้...
(ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญา โดยสรุปคือ ไม่รื้อสะพานข้ามทางแยกบนถนนวิภาวดีรังสิตก่อสร้างถนนโลคอลโรด ย้ายสนามบิน สั่งให้บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ลดค่าผ่านทาง ไม่อนุมัติให้ขึ้นค่าผ่านทาง ทำให้บริษัท วอลเตอร์ บาว มีรายได้ไม่ถึงเป้าหมายตามที่ประเมินไว้ เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์สิน ของบริษัท วอลเตอร์ บาว ทางอ้อม)
(จะเห็นชัดว่า รัฐไม่สามารถจัดการค่าท่างด่วนได้เป็นอิสระ ผลที่ตามมาคือค่าทางด่วนแพง และ ปชช.คือผู้รับกรรม)
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2010q2/2010June22p2.htm
ค่าโง่ดอนเมืองโทลล์เวย์กรณีบริษัท วอลเตอร์บาว จำกัด
สกล หาญสุทธิวารินทร์ กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด (Walter Bau) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลนิวยอร์ก เมื่อเดือนมีนาคม 2553 ให้พิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 29 ล้านเหรียญยูโร หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท
คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก บริษัทวอลเตอร์บาว จำกัด ซึ่งจดทะเบียน ที่ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ผู้รับสัมปทานทางด่วนดอนเมือง ได้เสนอเรื่องให้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ชี้ขาดข้อพิพาท โดยอ้างสิทธิในฐานะนักลงทุนตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน พ.ศ.2455 ให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหาย โดยกล่าวหาว่าไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญาดังกล่าว และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ได้มีคำชี้ขาดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท วอลเตอร์บาว จำกัด เป็นเงิน 29 ล้านเหรียญยูโร
ตาม มาตรา 40 ของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 บัญญัติว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะได้ทำขึ้นในประเทศใด ให้ผูกพันข้อพิพาท และเมื่อได้มีคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดนั้น แต่ถ้าหากเป็นคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่กระทำขึ้นในต่างประเทศ ศาลจะมีคำพิพากษาได้ต่อเมื่อเป็นคำชี้ขาดที่อยู่ในบังคับของสนธิสัญญา อนุสัญญา หรือตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี ซึ่งปัจจุบันคืออนุสนธิสัญญาว่าด้วยยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศฉบับนครนิวยอร์ก ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2501 ตามอนุสนธิสัญญาฉบับนี้ ประเทศภาคีสมาชิกจะยอมรับนับถือและบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ทำขึ้นในต่างประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกอนุสนธิสัญญานี้ด้วยกัน ดังนั้นในกรณีนี้ บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด สามารถยื่นคำขอต่อศาลไทยหรือศาลประเทศภาคีสมาชิกอื่นที่มีเขตอำนาจให้พิพากษาบังคับให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ ซึ่งบริษัทวอลเตอร์บาวไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลไทย แต่ไปยื่นต่อศาลศาลนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาที่เป็นภาคีสมาชิก อย่างไรก็ตามอนุสนธิสัญญาฉบับนิวยอร์กก็เปิดช่องให้ศาลนิวยอร์กปฏิเสธไม่พิพากษาบังคับคดีตามคำชี้ขาดได้ ถ้าฝ่ายไทยพิสูจน์ได้ว่ามีกรณีตามที่ระบุในมาตรา 5 ของอนุสนธิสัญญาดังกล่าว ดังนั้นฝ่ายไทยยังมีช่องทางสู้คดีได้ แม้จนถึงชั้นศาลโลก
จากการที่ได้ศึกษาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวที่เป็นฉบับเต็มซึ่งมีทั้งหมด 164 หน้า ตามแบบของผู้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่อง เช่น
- ในขณะที่เสนอเรื่องให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ในปี 2548 นั้น บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ล้มละลายตามกฎหมายเยอรมันแล้ว และระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก็ได้ขายหุ้นไปแล้ว
- ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญา โดยสรุปคือ ไม่รื้อสะพานข้ามทางแยกบนถนนวิภาวดีรังสิตก่อสร้างถนนโลคอลโรด ย้ายสนามบิน สั่งให้บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ลดค่าผ่านทาง ไม่อนุมัติให้ขึ้นค่าผ่านทาง ทำให้บริษัท วอลเตอร์ บาว มีรายได้ไม่ถึงเป้าหมายตามที่ประเมินไว้ เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์สิน ของบริษัท วอลเตอร์ บาว ทางอ้อม
- กฎหมายที่ใช้ในขบวนการพิจารณา คณะอนุญาโตตุลาการ ตกลงใช้กฎหมายระหว่างประเทศมหาชนเป็นหลักและหากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาจากกฎหมายระดับประเทศ จะใช้กฎหมายไทย
- ประเด็นข้อโต้แย้งที่สำคัญประเด็นหนึ่งคือ คณะอนุญาโตตุลาการมีเขตอำนาจพิจารณาคดีนี้หรือไม่ เพราะมีปัญหาว่า บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ลงทุนอันจะได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญาปี 2545 หรือไม่ และมีผลย้อนหลังหรือไม่ เนื่องจากข้อพิพาทเกิดขึ้นก่อนสนธิสัญญาปี 2545 จะมีผลใช้บังคับ ในประเด็นนี้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่ามีเขตอำนาจพิจารณา และถือว่าบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัดเป็นผู้ลงทุนที่ได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญาปี 2545 และไม่มีผลย้อนหลังแต่ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่สนธิสัญญามีผลใช้บังคับ
- อนุญาโตตุลาการ ที่เป็นคนไทยที่รัฐบาลไทยเป็นผู้เสนอและเป็นผู้ลงนามในคำชี้ขาด คือ นายชัยวัฒน์ บุนนาค
ข้อสังเกตของผู้เขียน (ประเด็นที่เห็นว่าสำคัญ)
(1) การสืบพยานและเสนอพยานในการพิจารณาคดีของอนุญาโตตุลาการ มีการพิจารณาและตีความตามสัญญาสัมปทาน และการดำเนินการของรัฐบาลไทยที่เกี่ยวกับคู่สัญญา เช่น การประชุมเจรจาแก้ไขปัญหา ก็เป็นเรื่อง ระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด คู่สัญญาสัมปทาน ไม่ใช่กับผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับคู่สัญญาสัมปทาน ไม่ใช่กับผู้ถือหุ้น กรณีของทางด่วนโทลล์เวย์ หากจะถือว่ารัฐบาลไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา ผู้เสียหายคือบริษัทดอนเมือง โทลล์เวย์ จำกัด คำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการก็ยอมรับบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย ไม่มีอำนาจบริหาร สิทธิในหุ้นไม่ได้ถูกยึดแต่อย่างใด รัฐบาลไทยจึงไม่ใช่คู่กรณีกับบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด คู่กรณีของบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด น่าจะเป็น บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด เพราะตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนก็มีร่องรอยให้เห็นว่า ทั้งคู่ มีกรณีไม่ลงรอยและขัดแย้งกัน
(2) การที่บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไทย (ถ้ามีข้อเท็จจริงว่าได้รับการ Approved ตามที่กล่าวอ้าง) ก็ไม่มีข้อเถียงที่จะไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ลงทุนตามสนธิสัญญาปี 2545 แต่ต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 2 (1) ของสนธิสัญญา ที่ระบุว่าการยอมรับการลงทุนให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศภาคีคู่สัญญา ดังนั้นกรณีกางลงทุนโดยการถือหุ้น ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทของไทย การเป็นผู้ถือหุ้นมีผลตอบแทน (return) คือเงินปันผล ซึ่งต้องเป็นไปตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และก็เป็นหลักการที่ทั่วโลกใช้กัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกิดขึ้นแต่อย่างใด
(3) ผลการกระทำหรือไม่กระทำของรัฐบาลไทยตามข้ออ้างของบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด หรือตามที่ปรากฏในสำนวนล้วนเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด คู่สัญญาซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้ถือหุ้น หลักการแยกบริษัทเป็นบุคคลต่างหากจากผู้ถือหุ้นใช้กันในกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทของเกือบทุกประเทศ ผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิฟ้องแทนบริษัทได้จำกัด เฉพาะกรณีผู้บริหารทุจริตเท่านั้น ซึ่งกฎหมายไทยก็ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง แต่คณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้พิจารณาประเด็นนี้รวมทั้งไม่ได้พิจารณาถึงบทบัญญัติของกฎหมายไทยเลย ทั้งที่เป็นการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ถ้าผู้ถือหุ้นในบริษัทแต่ละคนแต่ละกลุ่มมีสิทธิฟ้องร้องแทนบริษัทได้โดยไม่มีข้อจำกัด คงจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายแก่การประกอบธุรกิจมากมายแน่นอน หากจะอ้างว่าได้และใช้สิทธิในฐานะผู้ลงทุนตามสนธิสัญญา ปี 2545 บทบัญญัติของสนธิสัญญาในมาตรา 2 ดังกล่าวข้างต้นก็ระบุชัดเจนว่าให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของภาคีสมาชิก และสนธิสัญญาเองก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่ลบล้างหรือไม่ให้นำกฎหมายของภาคีสมาชิกมาใช้บังคับกับผู้ถือหุ้นที่ได้รับการคุ้มครอง แม้นสนธิสัญญาจะมีบทบัญญัติเช่นนั้น ก็ยังไม่มีผลบังคับโดยตัวเอง จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทรองรับด้วย เช่น กรณีพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มีข้อยกเว้นไม่ให้นำความในบางมาตรามาใช้บังคับกับผู้ได้สิทธิประกอบธุรกิจตามสนธิสัญญา เป็นต้น
(4) ถ้าไทยต้องจ่ายค่าเสียหายในกรณีนี้อีก ก็จะเป็นการเสียค่าโง่สองต่อ เพราะไปเยียวยาบริษัทแล้วยังต้องมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้นอีก จะต้องพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาคุ้มครองการลงทุนอย่างขนานใหญ่ต่อไป
เห็นด้วยที่รัฐลงทุนทำรถไฟเอง เพราะรัฐจะเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวซึ่งต่างจากร่วมทุนกับเอกชนที่จะโดนบีบในเรื่องค่าตั๋ว
1.รัฐ(ประเทศ+ปชช)เป็นเจ้าของตลอดไป
2.การกำหนดราคาเพื่อความสมเหตุสมผล รัฐมีอำนาจเต็มเพราะปลอดจากเอกชน
3.ขยายความเจริญ ของประเทศออกไป ไม่ให้กระจุกตัวที่ กทม.ที่เดียว ดังจะเห็นใน กทม.ว่า ที่ใดมี รถไฟฟ้า(BTS) และทางด่วนใกล้บ้าน ที่นั้นย่อมมีความเจริญ และที่ดินมีราคาสูงขึ้น
4.รถไฟที่มีอยู่ มัน100กว่าปีแล้วที่ไม่พัฒนา จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้จักพัฒนาบ้าง
หมายเหตุ การเป็นหนี้ที่สร้างสรร สร้างประโยชน์ ที่เป็นรูปธรรม ผมไม่กลัว ขอให้ทำจริง ไม่ใช่เอาไปทำอะไรที่เป็นลักษณะ"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เช่น โครงการไทยเข็มแข็ง เช่นต้นกล้าอาชีพ สุดท้ายเจ๊ง และ การให้ยืนเคารพธงชาติตอนเย็นๆออกทีวี ที่เสียเงินโดยใช่เหตุ ฯ
และที่ผมเชื่อมั่นต่อรัฐบาลนี้ เพราะ เอาผลงานในอดีตที่เห็นเป็นประจักมาแล้วเป็นตัวอย่าง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ(ที่ตอนนั้นเขาตั้งเป้าว่าจะมีคนใช้45ล้านคนต่อปี แต่ปีที่แล้ว มีคนใช้สูงถึง55ล้านคนต่อปี นี่จึงชัดเจนว่า วิสัยทัศน์ผู้นำในขณะนั้น(นายกทักษิณ)มองการไกลออก) โครงการ30บาทรักษาทุกโรค ที่ฝ่ายตรงข้าม(สมองกลวง เก่งแต่ปาก)มันเคยบอกว่าทำไม่ได้ สุดท้ายเขาทำได้ ...แล้วไง ใบ้กินกันไปถ้วนหน้า
ผมจึงสนับสนุนเต็มที่ เพราะ ผมเบื่อความดักดานของประเทศนี้เต็มที เพราะความดักดานไม่ได้ให้อะไรกับประเทศ ปชช.เลย แต่หากใครคิดว่า ประเทศและ ปชช.ควรอยู่แบบดักดานต่อไป คุณลองบอกมาสิว่า 1.ความดักดานมันดียังไง 2.ทำไมประเทศนี้และ ปชช.ต้องอยู่แบบดักดาน ในขณะที่ ปชช.ประเทศอื่นเขาต้องการพัฒนาความเจริญ
หากเหตุผลดี ผมอาจเปลี่ยนใจไปอยู่แบบดักดานก็ได้
ขอยกตัวอย่าง คดี"ค่าโง่ทางด่วนโทลเวย์" ที่จะลดราคาทีมักจะมีปัญหากับเอกชนที่ร่วมทุน คือรัฐไม่สามารถบีบได้ จึงเป็นคดีความฟ้องร้องถึงอนุญาโตตุลาการบ่อยครั้ง
คดีตัวอย่าง ...โดยเฉพาะ วรรคนี้...
(ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญา โดยสรุปคือ ไม่รื้อสะพานข้ามทางแยกบนถนนวิภาวดีรังสิตก่อสร้างถนนโลคอลโรด ย้ายสนามบิน สั่งให้บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ลดค่าผ่านทาง ไม่อนุมัติให้ขึ้นค่าผ่านทาง ทำให้บริษัท วอลเตอร์ บาว มีรายได้ไม่ถึงเป้าหมายตามที่ประเมินไว้ เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์สิน ของบริษัท วอลเตอร์ บาว ทางอ้อม)
(จะเห็นชัดว่า รัฐไม่สามารถจัดการค่าท่างด่วนได้เป็นอิสระ ผลที่ตามมาคือค่าทางด่วนแพง และ ปชช.คือผู้รับกรรม)
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2010q2/2010June22p2.htm
ค่าโง่ดอนเมืองโทลล์เวย์กรณีบริษัท วอลเตอร์บาว จำกัด
สกล หาญสุทธิวารินทร์ กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด (Walter Bau) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลนิวยอร์ก เมื่อเดือนมีนาคม 2553 ให้พิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 29 ล้านเหรียญยูโร หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท
คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก บริษัทวอลเตอร์บาว จำกัด ซึ่งจดทะเบียน ที่ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ผู้รับสัมปทานทางด่วนดอนเมือง ได้เสนอเรื่องให้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ชี้ขาดข้อพิพาท โดยอ้างสิทธิในฐานะนักลงทุนตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน พ.ศ.2455 ให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหาย โดยกล่าวหาว่าไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญาดังกล่าว และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ได้มีคำชี้ขาดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท วอลเตอร์บาว จำกัด เป็นเงิน 29 ล้านเหรียญยูโร
ตาม มาตรา 40 ของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 บัญญัติว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะได้ทำขึ้นในประเทศใด ให้ผูกพันข้อพิพาท และเมื่อได้มีคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดนั้น แต่ถ้าหากเป็นคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่กระทำขึ้นในต่างประเทศ ศาลจะมีคำพิพากษาได้ต่อเมื่อเป็นคำชี้ขาดที่อยู่ในบังคับของสนธิสัญญา อนุสัญญา หรือตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี ซึ่งปัจจุบันคืออนุสนธิสัญญาว่าด้วยยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศฉบับนครนิวยอร์ก ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2501 ตามอนุสนธิสัญญาฉบับนี้ ประเทศภาคีสมาชิกจะยอมรับนับถือและบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ทำขึ้นในต่างประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกอนุสนธิสัญญานี้ด้วยกัน ดังนั้นในกรณีนี้ บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด สามารถยื่นคำขอต่อศาลไทยหรือศาลประเทศภาคีสมาชิกอื่นที่มีเขตอำนาจให้พิพากษาบังคับให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ ซึ่งบริษัทวอลเตอร์บาวไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลไทย แต่ไปยื่นต่อศาลศาลนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาที่เป็นภาคีสมาชิก อย่างไรก็ตามอนุสนธิสัญญาฉบับนิวยอร์กก็เปิดช่องให้ศาลนิวยอร์กปฏิเสธไม่พิพากษาบังคับคดีตามคำชี้ขาดได้ ถ้าฝ่ายไทยพิสูจน์ได้ว่ามีกรณีตามที่ระบุในมาตรา 5 ของอนุสนธิสัญญาดังกล่าว ดังนั้นฝ่ายไทยยังมีช่องทางสู้คดีได้ แม้จนถึงชั้นศาลโลก
จากการที่ได้ศึกษาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวที่เป็นฉบับเต็มซึ่งมีทั้งหมด 164 หน้า ตามแบบของผู้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่อง เช่น
- ในขณะที่เสนอเรื่องให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ในปี 2548 นั้น บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ล้มละลายตามกฎหมายเยอรมันแล้ว และระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก็ได้ขายหุ้นไปแล้ว
- ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยฝ่าฝืนสนธิสัญญา โดยสรุปคือ ไม่รื้อสะพานข้ามทางแยกบนถนนวิภาวดีรังสิตก่อสร้างถนนโลคอลโรด ย้ายสนามบิน สั่งให้บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด ลดค่าผ่านทาง ไม่อนุมัติให้ขึ้นค่าผ่านทาง ทำให้บริษัท วอลเตอร์ บาว มีรายได้ไม่ถึงเป้าหมายตามที่ประเมินไว้ เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์สิน ของบริษัท วอลเตอร์ บาว ทางอ้อม
- กฎหมายที่ใช้ในขบวนการพิจารณา คณะอนุญาโตตุลาการ ตกลงใช้กฎหมายระหว่างประเทศมหาชนเป็นหลักและหากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาจากกฎหมายระดับประเทศ จะใช้กฎหมายไทย
- ประเด็นข้อโต้แย้งที่สำคัญประเด็นหนึ่งคือ คณะอนุญาโตตุลาการมีเขตอำนาจพิจารณาคดีนี้หรือไม่ เพราะมีปัญหาว่า บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ลงทุนอันจะได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญาปี 2545 หรือไม่ และมีผลย้อนหลังหรือไม่ เนื่องจากข้อพิพาทเกิดขึ้นก่อนสนธิสัญญาปี 2545 จะมีผลใช้บังคับ ในประเด็นนี้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่ามีเขตอำนาจพิจารณา และถือว่าบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัดเป็นผู้ลงทุนที่ได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญาปี 2545 และไม่มีผลย้อนหลังแต่ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่สนธิสัญญามีผลใช้บังคับ
- อนุญาโตตุลาการ ที่เป็นคนไทยที่รัฐบาลไทยเป็นผู้เสนอและเป็นผู้ลงนามในคำชี้ขาด คือ นายชัยวัฒน์ บุนนาค
ข้อสังเกตของผู้เขียน (ประเด็นที่เห็นว่าสำคัญ)
(1) การสืบพยานและเสนอพยานในการพิจารณาคดีของอนุญาโตตุลาการ มีการพิจารณาและตีความตามสัญญาสัมปทาน และการดำเนินการของรัฐบาลไทยที่เกี่ยวกับคู่สัญญา เช่น การประชุมเจรจาแก้ไขปัญหา ก็เป็นเรื่อง ระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด คู่สัญญาสัมปทาน ไม่ใช่กับผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับคู่สัญญาสัมปทาน ไม่ใช่กับผู้ถือหุ้น กรณีของทางด่วนโทลล์เวย์ หากจะถือว่ารัฐบาลไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา ผู้เสียหายคือบริษัทดอนเมือง โทลล์เวย์ จำกัด คำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการก็ยอมรับบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย ไม่มีอำนาจบริหาร สิทธิในหุ้นไม่ได้ถูกยึดแต่อย่างใด รัฐบาลไทยจึงไม่ใช่คู่กรณีกับบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด คู่กรณีของบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด น่าจะเป็น บริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด เพราะตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนก็มีร่องรอยให้เห็นว่า ทั้งคู่ มีกรณีไม่ลงรอยและขัดแย้งกัน
(2) การที่บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไทย (ถ้ามีข้อเท็จจริงว่าได้รับการ Approved ตามที่กล่าวอ้าง) ก็ไม่มีข้อเถียงที่จะไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ลงทุนตามสนธิสัญญาปี 2545 แต่ต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 2 (1) ของสนธิสัญญา ที่ระบุว่าการยอมรับการลงทุนให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศภาคีคู่สัญญา ดังนั้นกรณีกางลงทุนโดยการถือหุ้น ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทของไทย การเป็นผู้ถือหุ้นมีผลตอบแทน (return) คือเงินปันผล ซึ่งต้องเป็นไปตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และก็เป็นหลักการที่ทั่วโลกใช้กัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกิดขึ้นแต่อย่างใด
(3) ผลการกระทำหรือไม่กระทำของรัฐบาลไทยตามข้ออ้างของบริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด หรือตามที่ปรากฏในสำนวนล้วนเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ จำกัด คู่สัญญาซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้ถือหุ้น หลักการแยกบริษัทเป็นบุคคลต่างหากจากผู้ถือหุ้นใช้กันในกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทของเกือบทุกประเทศ ผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิฟ้องแทนบริษัทได้จำกัด เฉพาะกรณีผู้บริหารทุจริตเท่านั้น ซึ่งกฎหมายไทยก็ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง แต่คณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้พิจารณาประเด็นนี้รวมทั้งไม่ได้พิจารณาถึงบทบัญญัติของกฎหมายไทยเลย ทั้งที่เป็นการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ถ้าผู้ถือหุ้นในบริษัทแต่ละคนแต่ละกลุ่มมีสิทธิฟ้องร้องแทนบริษัทได้โดยไม่มีข้อจำกัด คงจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายแก่การประกอบธุรกิจมากมายแน่นอน หากจะอ้างว่าได้และใช้สิทธิในฐานะผู้ลงทุนตามสนธิสัญญา ปี 2545 บทบัญญัติของสนธิสัญญาในมาตรา 2 ดังกล่าวข้างต้นก็ระบุชัดเจนว่าให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของภาคีสมาชิก และสนธิสัญญาเองก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่ลบล้างหรือไม่ให้นำกฎหมายของภาคีสมาชิกมาใช้บังคับกับผู้ถือหุ้นที่ได้รับการคุ้มครอง แม้นสนธิสัญญาจะมีบทบัญญัติเช่นนั้น ก็ยังไม่มีผลบังคับโดยตัวเอง จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทรองรับด้วย เช่น กรณีพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มีข้อยกเว้นไม่ให้นำความในบางมาตรามาใช้บังคับกับผู้ได้สิทธิประกอบธุรกิจตามสนธิสัญญา เป็นต้น
(4) ถ้าไทยต้องจ่ายค่าเสียหายในกรณีนี้อีก ก็จะเป็นการเสียค่าโง่สองต่อ เพราะไปเยียวยาบริษัทแล้วยังต้องมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้นอีก จะต้องพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาคุ้มครองการลงทุนอย่างขนานใหญ่ต่อไป