เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณีจะขึ้นเบิกความคดีถอนประกัน พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม และ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จำเลยคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจซาอุดีอาระเบียในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ว่า การเตรียมการเอกสารทุกอย่างค่อนข้างครบถ้วน ไม่ได้หวั่นวิตกแต่อย่างใด ทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ไม่มีการกลั่นแกล้งแน่นอน หากถามว่าเชื่อมั่นในพยานหลักฐานมากน้อยเพียงใดก็ต้องบอกว่ามั่นใจ แต่สุดท้ายทุกอย่างเป็นดุลพินิจของศาล ไม่ว่าผลการยื่นเพิกถอนประกัน จะออกมาเป็นเช่นไร ดีเอสไอเคารพดุลพินิจของศาล
รายงานข่าวระบุว่า นายธาริตได้เรียกทีมเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองพยาน ในส่วนที่รับผิดชอบ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก พยานสำคัญในคดี หลังจากได้หารือกับผู้บริหาร กระทรวงการต่างประเทศ ไปก่อนหน้านี้ เพื่อซักถามถ้อยคำในการขึ้นเบิกความไต่สวน การถอนประกันในคดีดังกล่าว
รายงานข่าวยังระบุว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้แทนจากประเทศซาอุดีอาระเบียได้พบกับผู้บริหารประเทศไทยหลายหน่วยงาน โดยทางการซาอุดีอาระเบียได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญในการดำเนินคดีดังกล่าวที่คืบหน้าอย่างมากและเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งนี้ยังระบุว่าทางการประเทศซาอุดีอาระเบีย เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่ว่าผลการดำเนินคดีจะออกมาเช่นใดก็ตาม เพราะอย่างน้อย หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้แสดงความการจริงใจการสืบค้นตามตัวพยานคนสำคัญ มาเบิกความต่อศาล ถึงแม้ว่าคดีจะล่วงเลยเวลามากว่า 20 ปี และยังชื่นชมทีมทำงานทุกคนที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในข้อหารือที่ผู้แทนประเทศซาอุดีอาระเบียหารือผู้แทนไทยยังมีการสอบถามประเด็นของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 มาตรา 41 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 26 มาตรา 40(2) (3) (4) และ (7) จะส่งผลกระทบต่อคดีหรือไม่อย่างไร โดยผู้แทนไทยได้ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลอาญา สำหรับฝ่ายบริหารไม่สามารถก้าวล่วงดุลพินิจของศาล ซึ่งผู้แทนประเทศซาอุดีอาระเบียก็เข้าใจหลักเกณฑ์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364099213&grpid=00&catid=&subcatid=
ขอถอนประกัน พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อุ้มฆ่า อัลรูไวลี่
รายงานข่าวระบุว่า นายธาริตได้เรียกทีมเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองพยาน ในส่วนที่รับผิดชอบ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก พยานสำคัญในคดี หลังจากได้หารือกับผู้บริหาร กระทรวงการต่างประเทศ ไปก่อนหน้านี้ เพื่อซักถามถ้อยคำในการขึ้นเบิกความไต่สวน การถอนประกันในคดีดังกล่าว
รายงานข่าวยังระบุว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้แทนจากประเทศซาอุดีอาระเบียได้พบกับผู้บริหารประเทศไทยหลายหน่วยงาน โดยทางการซาอุดีอาระเบียได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญในการดำเนินคดีดังกล่าวที่คืบหน้าอย่างมากและเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งนี้ยังระบุว่าทางการประเทศซาอุดีอาระเบีย เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่ว่าผลการดำเนินคดีจะออกมาเช่นใดก็ตาม เพราะอย่างน้อย หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้แสดงความการจริงใจการสืบค้นตามตัวพยานคนสำคัญ มาเบิกความต่อศาล ถึงแม้ว่าคดีจะล่วงเลยเวลามากว่า 20 ปี และยังชื่นชมทีมทำงานทุกคนที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในข้อหารือที่ผู้แทนประเทศซาอุดีอาระเบียหารือผู้แทนไทยยังมีการสอบถามประเด็นของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 มาตรา 41 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 26 มาตรา 40(2) (3) (4) และ (7) จะส่งผลกระทบต่อคดีหรือไม่อย่างไร โดยผู้แทนไทยได้ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลอาญา สำหรับฝ่ายบริหารไม่สามารถก้าวล่วงดุลพินิจของศาล ซึ่งผู้แทนประเทศซาอุดีอาระเบียก็เข้าใจหลักเกณฑ์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364099213&grpid=00&catid=&subcatid=