พ่อแม่ที่ลูกอยากได้ เราคงเคยได้ยินอยู่บ่อยๆถึงความปรารถนาของพ่อแม่ว่าอยากจะให้ลูกเป็นแบบไหน อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากได้ลูกที่เป็นเด็กที่มีนิสัยดี มีสุขภาพแข็งแรง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีสุขภาพจิตดีและหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แล้วเคยคิดกลับกันดูไหมว่า ลูก ๆ ปรารถนาอยากได้พ่อแม่ของเขาเป็นคนแบบไหนกันบ้าง เราลองมาดูกัน
1. รัก ห่วงใยและเมตตา
ลูก ๆ ทุกคนอยากให้พ่อแม่รัก ห่วงใย ใส่ใจและให้ความเมตตากับเขามาก ๆ ไม่ว่าลูกของพ่อแม่จะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะความรักของพ่อแม่ช่วยสร้างความมั่นคงในจิตใจให้กับลูกได้ เราคงเคยได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังบ่อย ๆ ว่า พ่อแม่บางคนรักลูกไม่เท่ากันบ้าง ห่วงคนนี้มากกว่าคนนั้นบ้าง เอาใจใส่ลูกเป็นบางคนเท่านั้น ดังนั้น สำหรับลูกที่พ่อแม่ไม่ได้ให้ความรักและความเมตตาห่วงใยอย่างเต็มที่แล้ว ลูกก็จะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและอาจจะพาลต่อต้านหรือเกลียดพ่อแม่ได้ นอกจากนี้ การที่ลูกไม่ได้รับความรักและดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่จะทำให้เขาขาดความสุข ไม่นับถือตนเอง อิจฉาริษยา อารมณ์รุนแรง พัฒนาการการเรียนรู้บกพร่อง มีงานวิจัยมากมายที่กล่าวตรงกันว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักจะมีพัฒนาการทางสติปัญญาสูงกว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
วิธีที่พ่อแม่แสดงความรักกับลูกได้ดีทำได้โดยผ่านการพูด เช่น พูดจาอ่อนโยนกับลูก พูดให้กำลังใจ พูดชมเชยเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี หรือแสดงความรักกับลูกโดยผ่านการสัมผัสด้วยความรักอยู่เสมอ เช่นการโอบกอด ลูบหัว หอมหน้าผาก การสัมผัสด้วยความรักของพ่อแม่ช่วยทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยและมีความสุข
2.เห็นคุณค่าในตัวลูก
หมายถึง การที่พ่อแม่สร้างความภาคภูมิใจในตัวลูกด้วยการให้กำลังใจ ให้ลูกสามารถตัดสินใจและแสดงความคิดเห็นได้ด้วยตัวของเขาเอง และชื่นชมลูกเมื่อลูกประสบความสำเร็จ อย่างเช่นเวลาที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายงานให้ลูกทำ (ซึ่งเป็นงานที่เหมาะสมกับวัยของลูก) เช่น รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดบ้านง่าย ๆ เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ ซึ่งเมื่อลูกทำงานได้สำเร็จคุณพ่อคุณแม่ต้องให้กำลังใจและแสดงความชื่นชม เพราะนั่นเป็นการแสดงออกอย่างง่าย ๆ ที่บอกให้ลูก ๆ รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เห็นคุณค่าในตัวเขา
การที่พ่อแม่แสดงออกว่าเห็นคุณค่าในตัวลูก ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิตลูกได้ เพราะลูกจะเติบโตเป็นเด็กที่มีทัศนคติที่ดี เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มีความภูมิใจในตนเอง มีความมุ่งมั่นที่จะทำการงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้อย่างดีด้วย
3.ใช้เวลาร่วมกับลูก
“เวลา” เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูก ๆ ทุกคนในโลกนี้ปรารถนาอยากได้จากพ่อแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กเล็กหรือโตมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังอยากให้พ่อแม่มีเวลาให้เขาเสมอ อย่างเช่นตอนที่ลูกยังเล็ก เขาก็อยากให้พ่อแม่มีเวลาเล่นเกมกับเขา เล่านิทานให้เขาฟัง ป้อนข้าว ป้อนขนมให้เขากิน เดินจูงมือเขาเดินเล่นหรือนั่งเฝ้าเขาอยู่ใกล้ ๆ เวลาเขาเล่นกับเพื่อน ๆ ส่วนถ้าลูกโตแล้วแม้เขาจะอยู่ในวัยที่ติดเพื่อน ติดโซเชียลเน็ตเวิร์ค ติดโทรศัพท์ ติดอยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนจะไม่ต้องการพ่อแม่แล้ว แต่รู้ไว้เถอะว่าเขาก็อยากจะให้พ่อแม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเขาตลอดเวลานั่นแหละ
ดังนั้น พ่อแม่ควรใช้เวลากับลูกเท่าที่จะทำได้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกชอบด้วยกัน เช่น วาดรูประบายสีกัน ดูโทรทัศน์หรือการพาลูกไปท่องเที่ยว สำหรับลูกที่อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่แสวงหาความเป็นตัวตนและอิสรภาพทางความคิด พ่อแม่ควรปรับตัวให้เป็นเหมือนเพื่อนและแหล่งพักพิงทางใจที่ลูกไว้วางใจ โดยให้เวลากับลูกในการพูดคุย รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ กับลูกอย่างใจกว้างด้วยความเข้าใจ
4.ให้อภัยอยู่เสมอ
มีคำกล่าวว่า “คนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย” จึงเป็นธรรมดาของคนทุกคนที่จะต้องเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ดังนั้น เมื่อลูกทำในสิ่งที่ผิดพลาดไป เช่น ทำข้าวของเสียหาย ทำตัวเกเร สอบตก โดดเรียน ขโมยของ พูดปด ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ควรให้โอกาสลูกได้อธิบายเหตุผลในสิ่งไม่ดีที่เขาทำลงไปว่าทำไปเพราะอะไร แล้วจึงสั่งสอนด้วยความรักและตักเตือนไม่ให้ทำอีก พร้อมให้โอกาสที่จะให้เขาได้แก้ไขในความผิดพลาดนั้นโดยมีพ่อแม่เป็นกำลังใจ พ่อแม่ไม่ควรลงโทษลูกอย่างรุนแรงด้วยการตบตีหรือด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง หรือในกรณีลูกวัยรุ่นที่บางครั้งหลงผิดทำตัวไม่เหมาะสมด้วยความคึกคะนอง พ่อแม่ก็ไม่ควรจะลงโทษด่าว่าหรือประจานลูกอย่างรุนแรง เพราะการทำเช่นนั้นจะสร้างรอยแผลในจิตใจลูก และจะทำให้ลูกต่อต้าน พาลหาว่าพ่อแม่ไม่รักไม่เข้าใจ จนอาจเป็นเหตุให้ลูกเตลิดไปในทางที่ผิดมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
5.ให้ความสุขสนุกสนาน
เสียงหัวเราะทำให้ครอบครัวมีความสุข คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสร้างบรรยากาศในบ้านให้สดชื่นเบิกบาน โดยการเปิดโอกาสให้ลูกได้สนุกสนานตามวัย อย่าไปเคร่งเครียดอะไรกับลูกมากนัก เช่น วันหยุดก็ให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่เขาชอบบ้าง เช่น ให้เล่นเกมได้ 45 นาที ให้ดูการ์ตูนเรื่องที่ชอบ อ่านหนังสืออ่านเล่น หรือพาลูก ๆ ไปเที่ยวในที่ ๆ ลูกอยากไป ซึ่งมีพ่อแม่หลายคนที่วันหยุดแทนที่จะให้ลูกได้มีเวลาสนุกผ่อนคลายตามวัย กลับพาลูกไปเรียนพิเศษทั้งวันเสาร์อาทิตย์จนไม่มีเวลาผ่อนคลายเลย จึงสร้างความเครียดให้กับลูกหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพึงระวังว่าความสนุกสนานของเราต้องไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พ่อแม่บางคนสนใจแต่จะทำให้ลูกกับตนเองมีความสุข จนลืมนึกถึงความทุกข์ของคนอื่น บางคนก็ให้ลูกออกไปเตะบอลหน้าบ้านคนอื่น เสียงดังเอะอะ ลูกบอลเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านถูกข้าวของเสียหาย หรือเวลาไปกินข้าวนอกบ้านก็ปล่อยให้ลูกเอาช้อนส้อมเคาะโต๊ะเคาะจานหรือวิ่งเล่นไล่จับในร้านวุ่นวายไปหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าเด็ก ๆ คนอื่นที่พบเห็นอาจจะนึกในใจว่าดีนะที่เราไม่มีพ่อแม่แบบนี้ก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่าจากที่กล่าวมาทั้งหมด 5 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ยากเลยที่พ่อแม่จะทำให้แก่ลูก ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรัก ห่วงใยและเมตตาแก่ลูก การเห็นคุณค่าในตัวลูก การใช้เวลาร่วมกับลูก การให้อภัยลูกเสมอ อีกทั้งให้ความสุขสนุกสนานกับลูก ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำได้เช่นนี้แล้วลูกทุกคนคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่โชคดีและมีความสุขที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกเต็มอิ่มที่เขาได้รับจากพ่อแม่นี้จะเป็นแรงผลักดันให้ลูกได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพ ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาอย่างแน่นอน
ขอบคุณ บทความดีๆ
http://www.tj-zone.com/forum.php?mod=viewthread&tid=2787&extra=
อ่านเรื่องราวดีๆ พ่อแม่ที่ลูกอยากได้
1. รัก ห่วงใยและเมตตา
ลูก ๆ ทุกคนอยากให้พ่อแม่รัก ห่วงใย ใส่ใจและให้ความเมตตากับเขามาก ๆ ไม่ว่าลูกของพ่อแม่จะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะความรักของพ่อแม่ช่วยสร้างความมั่นคงในจิตใจให้กับลูกได้ เราคงเคยได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังบ่อย ๆ ว่า พ่อแม่บางคนรักลูกไม่เท่ากันบ้าง ห่วงคนนี้มากกว่าคนนั้นบ้าง เอาใจใส่ลูกเป็นบางคนเท่านั้น ดังนั้น สำหรับลูกที่พ่อแม่ไม่ได้ให้ความรักและความเมตตาห่วงใยอย่างเต็มที่แล้ว ลูกก็จะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและอาจจะพาลต่อต้านหรือเกลียดพ่อแม่ได้ นอกจากนี้ การที่ลูกไม่ได้รับความรักและดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่จะทำให้เขาขาดความสุข ไม่นับถือตนเอง อิจฉาริษยา อารมณ์รุนแรง พัฒนาการการเรียนรู้บกพร่อง มีงานวิจัยมากมายที่กล่าวตรงกันว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักจะมีพัฒนาการทางสติปัญญาสูงกว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
วิธีที่พ่อแม่แสดงความรักกับลูกได้ดีทำได้โดยผ่านการพูด เช่น พูดจาอ่อนโยนกับลูก พูดให้กำลังใจ พูดชมเชยเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี หรือแสดงความรักกับลูกโดยผ่านการสัมผัสด้วยความรักอยู่เสมอ เช่นการโอบกอด ลูบหัว หอมหน้าผาก การสัมผัสด้วยความรักของพ่อแม่ช่วยทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยและมีความสุข
2.เห็นคุณค่าในตัวลูก
หมายถึง การที่พ่อแม่สร้างความภาคภูมิใจในตัวลูกด้วยการให้กำลังใจ ให้ลูกสามารถตัดสินใจและแสดงความคิดเห็นได้ด้วยตัวของเขาเอง และชื่นชมลูกเมื่อลูกประสบความสำเร็จ อย่างเช่นเวลาที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายงานให้ลูกทำ (ซึ่งเป็นงานที่เหมาะสมกับวัยของลูก) เช่น รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดบ้านง่าย ๆ เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ ซึ่งเมื่อลูกทำงานได้สำเร็จคุณพ่อคุณแม่ต้องให้กำลังใจและแสดงความชื่นชม เพราะนั่นเป็นการแสดงออกอย่างง่าย ๆ ที่บอกให้ลูก ๆ รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เห็นคุณค่าในตัวเขา
การที่พ่อแม่แสดงออกว่าเห็นคุณค่าในตัวลูก ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิตลูกได้ เพราะลูกจะเติบโตเป็นเด็กที่มีทัศนคติที่ดี เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มีความภูมิใจในตนเอง มีความมุ่งมั่นที่จะทำการงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้อย่างดีด้วย
3.ใช้เวลาร่วมกับลูก
“เวลา” เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูก ๆ ทุกคนในโลกนี้ปรารถนาอยากได้จากพ่อแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กเล็กหรือโตมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังอยากให้พ่อแม่มีเวลาให้เขาเสมอ อย่างเช่นตอนที่ลูกยังเล็ก เขาก็อยากให้พ่อแม่มีเวลาเล่นเกมกับเขา เล่านิทานให้เขาฟัง ป้อนข้าว ป้อนขนมให้เขากิน เดินจูงมือเขาเดินเล่นหรือนั่งเฝ้าเขาอยู่ใกล้ ๆ เวลาเขาเล่นกับเพื่อน ๆ ส่วนถ้าลูกโตแล้วแม้เขาจะอยู่ในวัยที่ติดเพื่อน ติดโซเชียลเน็ตเวิร์ค ติดโทรศัพท์ ติดอยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนจะไม่ต้องการพ่อแม่แล้ว แต่รู้ไว้เถอะว่าเขาก็อยากจะให้พ่อแม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเขาตลอดเวลานั่นแหละ
ดังนั้น พ่อแม่ควรใช้เวลากับลูกเท่าที่จะทำได้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกชอบด้วยกัน เช่น วาดรูประบายสีกัน ดูโทรทัศน์หรือการพาลูกไปท่องเที่ยว สำหรับลูกที่อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่แสวงหาความเป็นตัวตนและอิสรภาพทางความคิด พ่อแม่ควรปรับตัวให้เป็นเหมือนเพื่อนและแหล่งพักพิงทางใจที่ลูกไว้วางใจ โดยให้เวลากับลูกในการพูดคุย รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ กับลูกอย่างใจกว้างด้วยความเข้าใจ
4.ให้อภัยอยู่เสมอ
มีคำกล่าวว่า “คนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย” จึงเป็นธรรมดาของคนทุกคนที่จะต้องเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ดังนั้น เมื่อลูกทำในสิ่งที่ผิดพลาดไป เช่น ทำข้าวของเสียหาย ทำตัวเกเร สอบตก โดดเรียน ขโมยของ พูดปด ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ควรให้โอกาสลูกได้อธิบายเหตุผลในสิ่งไม่ดีที่เขาทำลงไปว่าทำไปเพราะอะไร แล้วจึงสั่งสอนด้วยความรักและตักเตือนไม่ให้ทำอีก พร้อมให้โอกาสที่จะให้เขาได้แก้ไขในความผิดพลาดนั้นโดยมีพ่อแม่เป็นกำลังใจ พ่อแม่ไม่ควรลงโทษลูกอย่างรุนแรงด้วยการตบตีหรือด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง หรือในกรณีลูกวัยรุ่นที่บางครั้งหลงผิดทำตัวไม่เหมาะสมด้วยความคึกคะนอง พ่อแม่ก็ไม่ควรจะลงโทษด่าว่าหรือประจานลูกอย่างรุนแรง เพราะการทำเช่นนั้นจะสร้างรอยแผลในจิตใจลูก และจะทำให้ลูกต่อต้าน พาลหาว่าพ่อแม่ไม่รักไม่เข้าใจ จนอาจเป็นเหตุให้ลูกเตลิดไปในทางที่ผิดมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
5.ให้ความสุขสนุกสนาน
เสียงหัวเราะทำให้ครอบครัวมีความสุข คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสร้างบรรยากาศในบ้านให้สดชื่นเบิกบาน โดยการเปิดโอกาสให้ลูกได้สนุกสนานตามวัย อย่าไปเคร่งเครียดอะไรกับลูกมากนัก เช่น วันหยุดก็ให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่เขาชอบบ้าง เช่น ให้เล่นเกมได้ 45 นาที ให้ดูการ์ตูนเรื่องที่ชอบ อ่านหนังสืออ่านเล่น หรือพาลูก ๆ ไปเที่ยวในที่ ๆ ลูกอยากไป ซึ่งมีพ่อแม่หลายคนที่วันหยุดแทนที่จะให้ลูกได้มีเวลาสนุกผ่อนคลายตามวัย กลับพาลูกไปเรียนพิเศษทั้งวันเสาร์อาทิตย์จนไม่มีเวลาผ่อนคลายเลย จึงสร้างความเครียดให้กับลูกหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพึงระวังว่าความสนุกสนานของเราต้องไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พ่อแม่บางคนสนใจแต่จะทำให้ลูกกับตนเองมีความสุข จนลืมนึกถึงความทุกข์ของคนอื่น บางคนก็ให้ลูกออกไปเตะบอลหน้าบ้านคนอื่น เสียงดังเอะอะ ลูกบอลเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านถูกข้าวของเสียหาย หรือเวลาไปกินข้าวนอกบ้านก็ปล่อยให้ลูกเอาช้อนส้อมเคาะโต๊ะเคาะจานหรือวิ่งเล่นไล่จับในร้านวุ่นวายไปหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าเด็ก ๆ คนอื่นที่พบเห็นอาจจะนึกในใจว่าดีนะที่เราไม่มีพ่อแม่แบบนี้ก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่าจากที่กล่าวมาทั้งหมด 5 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ยากเลยที่พ่อแม่จะทำให้แก่ลูก ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรัก ห่วงใยและเมตตาแก่ลูก การเห็นคุณค่าในตัวลูก การใช้เวลาร่วมกับลูก การให้อภัยลูกเสมอ อีกทั้งให้ความสุขสนุกสนานกับลูก ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำได้เช่นนี้แล้วลูกทุกคนคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่โชคดีและมีความสุขที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกเต็มอิ่มที่เขาได้รับจากพ่อแม่นี้จะเป็นแรงผลักดันให้ลูกได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพ ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาอย่างแน่นอน
ขอบคุณ บทความดีๆ http://www.tj-zone.com/forum.php?mod=viewthread&tid=2787&extra=