เรามาลองพิจารณาข้อความนี้อย่างช้าๆ นะครับ
อ้างจาก
http://ppantip.com/topic/30243417 ความคิดเห็นที่ 12
แท้จริง พระพุทธพจน์จาก สัมปสาทนียสูตร ที่ทุมมังกุยกมานั้น ก็แสดงชัดแล้วว่า ทารกสามารถ "รู้สึกตัวได้" ขณะอยู่ในครรภ์มารดา
นั่นคือ การก้าวลงสู่ครรภ์ อย่างที่ ๔
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ฯ
แต่ทุมมังกุ จงใจยกเอามาเฉพาะอย่างที่ ๑ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัว อยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัว คลอดจากครรภ์มารดา นี้การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่หนึ่ง
แล้วเอามาสรุปหน้าด้านๆ ว่า
สัตว์หรือมนุษย์ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ในขณะปฏิสนธิ ขณะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ และขณะคลอด ?!
สัตว์บางชนิดในโลกจะไม่รู้สึกตัวขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา บ้าง ..
ก็ไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่า ยังมีสัตว์ที่รู้สึกตัว แม้ขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา คือขณะปฏิสนธิ และรู้สึกตัวขณะเติบโตอยู่ในครรภ์มารดา ทั้งรู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา .. นั้นตกไป ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่นั่นเอง
ในอีกทางหนึ่ง การที่ทุมมังกุไปยกสัมปสาทนียสูตรมาอ้าง ก็เท่ากับยอมรับว่า มีกระบวนการคร่อมภพคร่อมชาติ มีการจุติจากภพก่อน และปฏิสนธิในครรภ์มารดาในภพใหม่ ดังหลักฐานพระพุทธพจน์ปรากฏใน มหาปรินิพพานสูตร
http://84000.org/tipitaka/read/?10/98/
[๙๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ
ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็นไฉน ฯ
...
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ
ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้
เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สาม เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
...
การก้าวลงสู่ครรภ์จึงมีสภาวะต่างกันไป คือ สัตว์บางบุคคลไม่มีศักยภาพที่จะรู้สึกตัวแม้ในขณะอยู่ในครรภ์หรือในขณะคลอด ขณะที่สัตว์บางบุคคลก็รู้สึกตัวได้ แม้กระทั่งขณะปฏิสนธิ !
จากหลักฐานชั้นพระพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงการก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ อย่าง ย่อมแสดงชัดว่า มี "เหตุ" มาก่อนปฏิสนธิในครรภ์ คือมี "ภพก่อนหน้า" นั่นเอง ดังหลักฐานที่ตรัสแสดงการจุติปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ในมหาปรินิพพานสูตร
ตัวอย่างกระทู้นี้ นอกจากจะได้หลักฐานตัดสินข้อยุติ เรื่อง ปฏิจจสมุปบาทย่อมมีในขณะอยู่ในครรภ์แล้ว
เรายังได้เห็น "สันดาน" ของทุมมังกุ ที่ชอบหยิบอ้างเฉพาะจุดที่ตัวจะใช้แถกแถบิดเบือน ทั้งๆ ที่หลักฐานก็คาตาอยู่ตรงนั้น !
สันดานน่ารังเกียจเช่นนี้ "สืบสันดาน" มาจากเจ้าสำนักรณรงค์ตัดพระไตรปิฎก หรือมิใช่!?
แก้ไขข้อความเมื่อ 13 มีนาคม เวลา 16:34 น.
ระนาดเอก
13 มีนาคม เวลา 13:53 น.ร่วมแสดงความรู้สึก: ถูกใจ 4 ขำกลิ้ง 0 หลงรัก 1 ซึ้ง 0 สยอง 0 ทึ่ง 0
GravityOfLove ถูกใจ, ชาวมหาวิหาร ถูกใจ, cantona_z หลงรัก, เอิงเอย ถูกใจ, เฉลิมศักดิ์1 ถูกใจ
*****************************************************
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นาย ระนาดเอก กล่าวว่า ผมเป็นพวกทุมมังกุ เพราะ การก้าวลงสู่ครรภ์ จาก สัมปสาทนียสูตร มี ๔ แต่ผมจงใจยกมาเพียง ๑ แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ก็คงต้องปรึกษา อรรถกถาจารย์ กันเสียหน่อย กระมัง !
สัมปสาทนียสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536&pagebreak=0
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73&p=1
คพฺภาวกฺกนฺติเทสนาวณฺณนา
บทว่า คพฺภาวกฺกนฺตีสุ คือ ในการก้าวลงสู่ครรภ์.
พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงการก้าวลงสู่ครรภ์เหล่านั้น จึงกราบทูลว่า จตสฺโส อิมา ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสมฺปชาโน คือ ไม่รู้ ได้แก่หลงพร้อม.
บทว่า มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ คือ ย่อมเข้าไปสู่ครรภ์ด้วยอำนาจปฏิสนธิ.
บทว่า ฐาติ แปลว่า ย่อมอยู่. บทว่า นิกฺขมติ คือแม้เมื่อจะออกก็ไม่รู้ คือหลงพร้อมออกไป (จากครรภ์). บทว่า อยํ ปฐมา คือ นี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ของเหล่ามนุษย์ชาวโลกตามปกติข้อที่ ๑.
บทว่า สมฺปชาโน หิ โข คือ สัตว์เมื่อจะก้าวลง ก็เป็นผู้รู้ไม่หลงก้าวลงสู่ครรภ์. บทว่า อยํ ทุติยา คือ ข้อนี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ของหมู่อสีติมหาสาวกทั้งหลาย.
ความจริง พระมหาสาวกเหล่านั้น เมื่อจะเข้าไปสู่ครรภ์เท่านั้นย่อมรู้ เมื่ออยู่และเมื่อออกย่อมไม่รู้.
บทว่า อยํ ตติยา ความว่า ข้อนี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๓ ของพระอัครสาวกทั้งสองและของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย.
นัยว่า ท่านเหล่านั้นถูกลมกัมมชวาตพัดให้หันศีรษะลงเบื้องล่าง หันเท้าขึ้นเบื้องบน มาอยู่ที่ปากช่องคลอด เหมือนอยู่ในเหวที่ลึกหลายร้อยชั่วบุรุษ ออกจากช่องคลอดซึ่งคับแคบ ก็ย่อมประสบทุกข์เป็นอันมาก เปรียบเหมือนช้างที่ออกจากโพรงต้นตาล ย่อมประสบความทุกข์ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่มีความรู้ว่า เราออกไปแล้ว ดังนี้. ความทุกข์อย่างใหญ่หลวงในฐานะเห็นปานนี้ ย่อมบังเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ แม้ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้วแท้อย่างนี้ ฉะนั้น ควรจะเบื่อหน่าย ควรจะคลายกำหนัดในการอยู่ในครรภ์.
บทว่า อยํ จตุตฺถา คือ ข้อนี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ด้วยอำนาจแห่งพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย.
ความจริง พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้เมื่อถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาย่อมรู้ ทั้งเมื่ออยู่ในครรภ์ก็ย่อมรู้. และแม้ในเวลาประสูติจากพระครรภ์ ลมกัมมชวาตทั้งหลายย่อมไม่สามารถที่จะพัดพาทำพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เหล่านั้นให้มีเท้าอยู่ข้างบน และศีรษะอยู่ข้างล่างได้. พระสัพพัญญูโพธิสัตว์เหล่านั้นเหยียดพระหัตถ์ทั้งสองแล้วลืมพระเนตร ประทับยืนเสด็จออกมา. เว้นพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสีย สัตว์อื่นในระหว่างอเวจีจนถึงภวัคคพรหม ที่ชื่อว่ารู้ในระยะเวลาทั้งสามย่อมไม่มีเลย.
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในเวลาที่พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก้าวลงสู่พระครรภ์มารดา และในเวลาประสูติ หมื่นโลกธาตุจึงได้หวั่นไหว.
คำที่เหลือในเรื่องการก้าวลงสู่ครรภ์นี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล.
********************************************************************
กล่าวโดยสรุป ก็คือ
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ของเหล่ามนุษย์ชาวโลกตามปกติ
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ของหมู่อสีติมหาสาวกทั้งหลาย.
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๓ ของพระอัครสาวกทั้งสองและของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย
และนี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมผมจึงยกแสดงมาเฉพาะ ข้อที่ ๑
การที่ผมแสดงพระธรรมคำสอน ตามความเป็นจริงเช่นนี้
โดยเพียงแค่ละเว้นในส่วนที่มิได้เป็นประเด็นสำคัญ(ที่กำลังกล่าวถึง)
เมื่อเทียบกับการ แสดงความหมายของพระธรรมวินัยแบบ "คิดเองเออเอง" มั่วๆ ดังที่นายระนาดเอก กระทำอยู่
การกระทำของใคร สมควร กล่าวได้ว่าเป็นผู้ เก้อยาก" กันแน่ครับ ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายระนาดเอก พร้อมผู้สนับสนุน ข้อความลามกดังกล่าว
คือ GravityOfLove ชาวมหาวิหาร cantona_z เอิงเอย และ เฉลิมศักดิ์1
จะเร่งเข้ามา "ชี้แจง" ข้อเท็จจริง และคืนความเป็นธรรมให้แก่ผมและพุทธพจน์ โดยพลัน นะครับ
ถ้าพวกคุณ ยังพอจะมี ความละอาย อยู่บ้าง !
อิอิ
จาก สัมปสาทนียสูตร สู่ ทุมมังกุ ผู้เก้อยาก !
อ้างจาก http://ppantip.com/topic/30243417 ความคิดเห็นที่ 12
แท้จริง พระพุทธพจน์จาก สัมปสาทนียสูตร ที่ทุมมังกุยกมานั้น ก็แสดงชัดแล้วว่า ทารกสามารถ "รู้สึกตัวได้" ขณะอยู่ในครรภ์มารดา
นั่นคือ การก้าวลงสู่ครรภ์ อย่างที่ ๔
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ฯ
แต่ทุมมังกุ จงใจยกเอามาเฉพาะอย่างที่ ๑ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัว อยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัว คลอดจากครรภ์มารดา นี้การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่หนึ่ง
แล้วเอามาสรุปหน้าด้านๆ ว่า
สัตว์หรือมนุษย์ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ในขณะปฏิสนธิ ขณะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ และขณะคลอด ?!
สัตว์บางชนิดในโลกจะไม่รู้สึกตัวขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา บ้าง ..
ก็ไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่า ยังมีสัตว์ที่รู้สึกตัว แม้ขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา คือขณะปฏิสนธิ และรู้สึกตัวขณะเติบโตอยู่ในครรภ์มารดา ทั้งรู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา .. นั้นตกไป ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่นั่นเอง
ในอีกทางหนึ่ง การที่ทุมมังกุไปยกสัมปสาทนียสูตรมาอ้าง ก็เท่ากับยอมรับว่า มีกระบวนการคร่อมภพคร่อมชาติ มีการจุติจากภพก่อน และปฏิสนธิในครรภ์มารดาในภพใหม่ ดังหลักฐานพระพุทธพจน์ปรากฏใน มหาปรินิพพานสูตร
http://84000.org/tipitaka/read/?10/98/
[๙๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ
ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็นไฉน ฯ
...
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ
ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้
เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สาม เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
...
การก้าวลงสู่ครรภ์จึงมีสภาวะต่างกันไป คือ สัตว์บางบุคคลไม่มีศักยภาพที่จะรู้สึกตัวแม้ในขณะอยู่ในครรภ์หรือในขณะคลอด ขณะที่สัตว์บางบุคคลก็รู้สึกตัวได้ แม้กระทั่งขณะปฏิสนธิ !
จากหลักฐานชั้นพระพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงการก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ อย่าง ย่อมแสดงชัดว่า มี "เหตุ" มาก่อนปฏิสนธิในครรภ์ คือมี "ภพก่อนหน้า" นั่นเอง ดังหลักฐานที่ตรัสแสดงการจุติปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ในมหาปรินิพพานสูตร
ตัวอย่างกระทู้นี้ นอกจากจะได้หลักฐานตัดสินข้อยุติ เรื่อง ปฏิจจสมุปบาทย่อมมีในขณะอยู่ในครรภ์แล้ว
เรายังได้เห็น "สันดาน" ของทุมมังกุ ที่ชอบหยิบอ้างเฉพาะจุดที่ตัวจะใช้แถกแถบิดเบือน ทั้งๆ ที่หลักฐานก็คาตาอยู่ตรงนั้น !
สันดานน่ารังเกียจเช่นนี้ "สืบสันดาน" มาจากเจ้าสำนักรณรงค์ตัดพระไตรปิฎก หรือมิใช่!?
แก้ไขข้อความเมื่อ 13 มีนาคม เวลา 16:34 น.
ระนาดเอก
13 มีนาคม เวลา 13:53 น.ร่วมแสดงความรู้สึก: ถูกใจ 4 ขำกลิ้ง 0 หลงรัก 1 ซึ้ง 0 สยอง 0 ทึ่ง 0
GravityOfLove ถูกใจ, ชาวมหาวิหาร ถูกใจ, cantona_z หลงรัก, เอิงเอย ถูกใจ, เฉลิมศักดิ์1 ถูกใจ
*****************************************************
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นาย ระนาดเอก กล่าวว่า ผมเป็นพวกทุมมังกุ เพราะ การก้าวลงสู่ครรภ์ จาก สัมปสาทนียสูตร มี ๔ แต่ผมจงใจยกมาเพียง ๑ แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ก็คงต้องปรึกษา อรรถกถาจารย์ กันเสียหน่อย กระมัง !
สัมปสาทนียสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536&pagebreak=0
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73&p=1
คพฺภาวกฺกนฺติเทสนาวณฺณนา
บทว่า คพฺภาวกฺกนฺตีสุ คือ ในการก้าวลงสู่ครรภ์.
พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงการก้าวลงสู่ครรภ์เหล่านั้น จึงกราบทูลว่า จตสฺโส อิมา ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสมฺปชาโน คือ ไม่รู้ ได้แก่หลงพร้อม.
บทว่า มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ คือ ย่อมเข้าไปสู่ครรภ์ด้วยอำนาจปฏิสนธิ.
บทว่า ฐาติ แปลว่า ย่อมอยู่. บทว่า นิกฺขมติ คือแม้เมื่อจะออกก็ไม่รู้ คือหลงพร้อมออกไป (จากครรภ์). บทว่า อยํ ปฐมา คือ นี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ของเหล่ามนุษย์ชาวโลกตามปกติข้อที่ ๑.
บทว่า สมฺปชาโน หิ โข คือ สัตว์เมื่อจะก้าวลง ก็เป็นผู้รู้ไม่หลงก้าวลงสู่ครรภ์. บทว่า อยํ ทุติยา คือ ข้อนี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ของหมู่อสีติมหาสาวกทั้งหลาย.
ความจริง พระมหาสาวกเหล่านั้น เมื่อจะเข้าไปสู่ครรภ์เท่านั้นย่อมรู้ เมื่ออยู่และเมื่อออกย่อมไม่รู้.
บทว่า อยํ ตติยา ความว่า ข้อนี้จัดเป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๓ ของพระอัครสาวกทั้งสองและของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย.
นัยว่า ท่านเหล่านั้นถูกลมกัมมชวาตพัดให้หันศีรษะลงเบื้องล่าง หันเท้าขึ้นเบื้องบน มาอยู่ที่ปากช่องคลอด เหมือนอยู่ในเหวที่ลึกหลายร้อยชั่วบุรุษ ออกจากช่องคลอดซึ่งคับแคบ ก็ย่อมประสบทุกข์เป็นอันมาก เปรียบเหมือนช้างที่ออกจากโพรงต้นตาล ย่อมประสบความทุกข์ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่มีความรู้ว่า เราออกไปแล้ว ดังนี้. ความทุกข์อย่างใหญ่หลวงในฐานะเห็นปานนี้ ย่อมบังเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ แม้ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้วแท้อย่างนี้ ฉะนั้น ควรจะเบื่อหน่าย ควรจะคลายกำหนัดในการอยู่ในครรภ์.
บทว่า อยํ จตุตฺถา คือ ข้อนี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ด้วยอำนาจแห่งพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย.
ความจริง พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้เมื่อถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาย่อมรู้ ทั้งเมื่ออยู่ในครรภ์ก็ย่อมรู้. และแม้ในเวลาประสูติจากพระครรภ์ ลมกัมมชวาตทั้งหลายย่อมไม่สามารถที่จะพัดพาทำพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เหล่านั้นให้มีเท้าอยู่ข้างบน และศีรษะอยู่ข้างล่างได้. พระสัพพัญญูโพธิสัตว์เหล่านั้นเหยียดพระหัตถ์ทั้งสองแล้วลืมพระเนตร ประทับยืนเสด็จออกมา. เว้นพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสีย สัตว์อื่นในระหว่างอเวจีจนถึงภวัคคพรหม ที่ชื่อว่ารู้ในระยะเวลาทั้งสามย่อมไม่มีเลย.
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในเวลาที่พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก้าวลงสู่พระครรภ์มารดา และในเวลาประสูติ หมื่นโลกธาตุจึงได้หวั่นไหว.
คำที่เหลือในเรื่องการก้าวลงสู่ครรภ์นี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล.
********************************************************************
กล่าวโดยสรุป ก็คือ
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ของเหล่ามนุษย์ชาวโลกตามปกติ
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ของหมู่อสีติมหาสาวกทั้งหลาย.
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๓ ของพระอัครสาวกทั้งสองและของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๔ ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย
และนี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมผมจึงยกแสดงมาเฉพาะ ข้อที่ ๑
การที่ผมแสดงพระธรรมคำสอน ตามความเป็นจริงเช่นนี้
โดยเพียงแค่ละเว้นในส่วนที่มิได้เป็นประเด็นสำคัญ(ที่กำลังกล่าวถึง)
เมื่อเทียบกับการ แสดงความหมายของพระธรรมวินัยแบบ "คิดเองเออเอง" มั่วๆ ดังที่นายระนาดเอก กระทำอยู่
การกระทำของใคร สมควร กล่าวได้ว่าเป็นผู้ เก้อยาก" กันแน่ครับ ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายระนาดเอก พร้อมผู้สนับสนุน ข้อความลามกดังกล่าว
คือ GravityOfLove ชาวมหาวิหาร cantona_z เอิงเอย และ เฉลิมศักดิ์1
จะเร่งเข้ามา "ชี้แจง" ข้อเท็จจริง และคืนความเป็นธรรมให้แก่ผมและพุทธพจน์ โดยพลัน นะครับ
ถ้าพวกคุณ ยังพอจะมี ความละอาย อยู่บ้าง !
อิอิ