One Truth Behide The Shadow

กระทู้สนทนา
เรื่องราวของพ่อมดหนุ่มผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เวทลวงตา มาพบกับหญิงสาวผู้เป็นคู่หมั้นของเทพ ด้วยเวทมนตร์และกลลวง เบื้องหลังภาพเงาอันลวงตาหญิงสาวได้พบความจริงประการเดียวคือ…



บทนำ




ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล ทางตะวันตกของทวีปเวเนเกี้ยน ระหว่างหุบเขาเกรซี่และเทือกเขาหิมะรวมทั้งแถบที่เรียกว่าลีอานอร์ ซึ่งอยู่ระหว่างลุ่มแม่น้ำรีไวด์กับทะเลสาบพันปี อาณาเขตทั้งหมดนี้เป็นของแคว้นดูนาดาล ปกครองโดยชาวแอนจูเลียโบราณ ซึ่งเป็นผู้นำอารยธรรมตะวันตกในสมัยนั้น นอกจากจะมีอาณาบริเวณอันกว้างขวางแล้ว แคว้นดูนาดาลยังมีความเจริญสูงส่งด้วยระบบชลประทานครอบคลุมทั่วราชอาณาจักร เส้นทางคมนาคมและระบบส่งน้ำที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับน้ำฝนและกรองน้ำเสีย อาคารบ้านเรือนสูงเทียมฟ้า การขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกล ชาวแอนจูเลียเป็นผู้คิดค้นโดยสิ้น

กระทั่งเทวศักราช 1470 ชาวแอนจูเลียตะวันตกแตกออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมุ่งหน้าสู่ตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งถิ่นฐานอยู่ติดกับเทือกเขาซิลวา จึงขนานนามตนเองว่าชาวซิลเวีย ด้วยชาวซิลเวียเป็นกลุ่มชนที่มีภูมิปัญญาอันหลักแหลม ทั้งยังมีความช่ำชองทั้งในเชิงศาสตร์และศิลป์ ชาวซิลเวียจึงสามารถสร้างอาณาจักรสมบูรณ์แบบขึ้นอีกครั้ง โดยขนานชื่อตามหุบเขาที่ตั้งคืออาณาจักรซิลวา

ต่อมาในปีเทวศักราชที่1490 เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ พร้อมกับภัยแร้งและโรคระบาดที่ตามมา เป็นเหตุให้ชาวซิลเวียจำนวนมากต้องตายลง ผู้ที่เหลือรอดจำต้องละทิ้งแผ่นดินนี้ไป เพื่อแสวงหาดินแดนแห่งใหม่ทางตะวันออก ชาวซิลเวียเดินทางข้ามเทือกเขาคาเลวาลา ซึ่งทอดยาวเหยียดจากตะวันตกไปจรดกับลุ่มแม่น้ำลอร์เรียธทางตะวันออก เมื่อข้ามผ่านแม่น้ำสายใหญ่ต่างก็มาถึงลาดลุ่มกริชมัวร์อันเป็นที่ตั้งเชื่อมต่อกับอาณาจักรกาลาเทีย อาณาจักรเล็กๆทางตะวันออก ปกครองโดยชาวกาซิเนี่ยนผู้เคารพนับถือเทพเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ชาวกาซิเนี่ยนมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง และมีประเพณีสำคัญที่สืบทอดมาแต่โบราณ เช่นการบูชาเทพเจ้าด้วยดอกไม้และเครื่องหอม และการติดต่อกับเทพเจ้าโดยมีผู้ติดต่อสื่อสารทวยเทพเป็นผู้ประกอบพิธี ประเพณีดังกล่าวยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
  
แม้เป็นผู้มาใหม่แต่ด้วยชาวซิลเวียเป็นกลุ่มชนที่มีภูมิปัญญาอันหลักแหลม ทั้งยังมีความช่ำชองทั้งในเชิงศาสตร์และศิลป์ อีกทั้งยังมีความรู้เรื่องเครื่องจักรกล ทำให้ชาวซิลเวียสามารถสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมากระทั่งมีความเจริญสูงส่งรุดหน้าอาณาจักรข้างเคียง จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวาง
บรรดาวานิชเร่ร่อนต่างร้องบอกต่อกันไปว่าอาณาจักรซิลเวียเต็มไปด้วยศิลปวัถุมีค่า และสถาปัตยกรรมอันวิจิตรตระการตาราวกับเทพได้ทรงนิมิตสร้าง เหล่ากวีพเนจรต่างเรียงร้อยตำนานของเหล่าทวยเทพไว้เป็นบทกลอน ขับขานบทเพลงอันไพเราะ ร้องสืบต่อกันไปจากนครหนึ่งสู่อีกนครหนึ่ง จนเป็นที่ลือเลื่องไปทั่วแคว้น กล่าวกันว่าแม้กระทั่งทวยเทพยังเอ่ยชมความงามของอาณาจักรแห่งนี้ เหล่านักปราชญ์ได้จารึกลงในประวัติศาสตร์ถึงมหาอณาจักรยิ่งใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงลือเลื่องมากที่สุดในเวเนเกี้ยนตะวันออก ยกย่องให้อาณาจักรซิลเวียเป็นอาณาจักรในตำนานยากจะหาอาณาจักรใดเทียมเทียบได้

กษัตริย์ชายกาซิเนี่ยนผู้ครองแคว้นกาลาเทียซึ่งมีอานาเขตเชื่อมต่อกับแคว้นซิลเวีย เห็นความเจริญรุดหน้าอันน่าตกตะลึงเช่นนั้นก็บังเกิดความหวั่นเกรง รับสั่งให้มีการส่งของบรรณาการชั้นเลิศเป็นเครื่องผูกมิตรไมตรี พร้อมส่งทูตไปเจรจาเสนอว่าจะส่งพระธิดามาอภิเสกสมรสกับเจ้าชายแห่งซิลเวียเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การเจรจาทางการทูตเป็นไปอย่างรอบรื่น ทั้งสองชนชาติได้สมานช่องว่างเข้าหากันได้สนิทแนบ อันความยิ่งใหญ่แห่งอารยธรรมตะวันตกผสมเข้ากับประเพณีตะวันออกอันวิจิตร คือความแตกต่างซึ่งสอดคล้องกลมกลืน และก่อเกิดความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม

แม้ว่าอารยธรรมทางวัตถุของชาวซิลเวีย แลดูสูงส่งกว่าชาวกาซิเนี่ยนมากก็ตาม แต่ชาวซิลเวียก็แสดงความเคารพต่อวัฒนธรรมของชาวกาซิเนี่ยนด้วยใจจริง และให้ความรู้แก่ชาวกาซิเนี่ยนซึ่งได้เรียนรู้ศาสตร์แขนงต่างๆจากชาวซิลเวีย ขณะที่ชาวซิลเวียเองก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งที่แปลกใหม่จากชาวกาซิเนี่ยนด้วยเช่นกัน เป็นการเติมเต็มช่องว่างทางวัฒนธรรมของต่างฝ่าย หนึ่งสิ่งที่ชาวซิลเวียสนใจเป็นพิเศษคือเทวตำนานอันเก่าแก่ของชาวกาซิเนี่ยนซึ่งแฝงไปด้วยเรื่องของปรัชญาตะวันออกอันละเอียดและลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำสอนเหล่านั้นชาวซิลเวียจึงเข้าใจวัฒนธรรมของชาวกาซิเนี่ยนได้ถ่องแท้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวซิลเวียมองว่ามีคุณค่า


กระทั่งในปีเทวศักราชที่ 1520 ชาวกาซิเนี่ยนและชาวซิลเวียได้ร่วม
กันสร้างมหาวิหารเทพเจ้าที่ใหญ่โตและงดงามที่สุดขึ้น บนหุบเขาคาธีน่าซึ่งเป็นเส้นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและสันติภาพระหว่างอาณาจักรทั้งสอง

บรมครูฝีมือเอกผู้ได้รับคัดเลือกมาจากทั่วสารทิศ ต่างมาประชุมกันเพื่อร่วมมือรังสรรค์ รูปหล่อสัมฤทธิ์ตัวแทนของเหล่าทวยเทพเพื่อการบูชาในมหาวิหารอังเจอลาดรอสขึ้น อันเป็นที่สุดของความยิ่งใหญ่งดงามตระการตา ผ่านประตูใหญ่ทั้งสี่รูปปั้นของเทพเจ้าไดลาห์เคียงข้างด้วยเทพอินอสผู้งามสง่าตั้งตระหง่านเคียงคู่ ชูดาบขึ้นชี้ฟ้าประกาศก้องศักดิ์ดาถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในบรรดาเทพบุตรผู้งดงามทั้งหลาย เทพอินอสโอรสหนุ่มรูปงามของเทพเจ้าไดลาห์ผู้ยิ่งใหญ่ มีความโดดเด่นงดงามที่สุด ทรงเป็นตัวแทนแห่งความสง่างามและความองอาจกล้าหาญ ถัดมาเป็นรูปปั้นเหล่าทวยเทพองค์อื่นๆล้วนปั้นขึ้นอย่างประณีตงดงาม เรียงรายลงมาตามลำดับชั้น  

ความงดงามยิ่งใหญ่ของมหาวิหารอังเจอลาห์ดรอสกลายมาเป็นแรงบัลดาลให้อีกหลายต่อหลายคนหันมาสนใจแต่งบทเพลงและกาพย์กลอนอันไพเราะ เพื่อสรรเสริญความงดงามยิ่งใหญ่ของมหาวิหารแห่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ ลีโอนิดาส กวีผู้โด่งดังที่สุดแห่งยุคสมัย ซึ่งแต่งกลอนบทหนึ่งไว้ว่า

ทวยเทพไท้สถิตอยู่คู่พารา

องค์เทพาปฏิมาดูยิ่งยอด

ณ เบื้องขวาขององค์พระอินอส

เคียงหัตถ์ซ้ายข้างองค์พระเทวินทร์

พระเนตรนิ่งเปี่ยมด้วยพระเมตตา

ประกาศก้องศักดินาเหนือทุกสิ่ง

วิหารสูงเทียมฟ้าลานตายิ่ง

ราวกับเทพนิมิตมิ่งในบัดดล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่