เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว



หนังสือเล่มเล็กๆของนามปากกา ปิยโสภณ หรือ พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) ช่างกินใจผมเหลือเกิน เป็นเรื่องที่ท่านเล่าประวัติสมัยท่านเป็นเด็กอยู่ที่บ้านดุง จังหวัด อุดรธานี   เมื่ออายุ 11 ขวบ แม่ได้นำไปฝากไว้กับวัด โดยมีอาจารย์บุญยัง ผลญาโน เป็น “พ่อแม่ครูอาจารย์”

วันมอบตัว แม่ให้ของขวัญชิ้นหนึ่ง คือ ผ้าขี้ริ้ว 1 ผืน นับเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ
“เช้าวันออกจากบ้าน แม่บอกว่า  แม่ไม่มีสิ่งใดอื่นจะมอบให้ นอกเสียจากผ้าขี้ริ้วผืนนี้ จริงๆแล้วก็คือผ้าขาวม้านั่นเอง พร้อมกำชับอีกว่า  ขอให้ใช้เช็ดถูและเก็บรักษาไว้ให้ดี ถ้าผ้าขาดให้บอกแม่ แต่ถ้าทำหายต้องหาเอง

คำสอนอีกข้อที่แม่บอกพร้อมกับผ้าขี้ริ้วก็คือ “ทำตนให้เหมือนผ้าขี้ริ้วนะลูกรัก ” แม่บอกว่า สิ่งที่สะอาดเท่านั้นจึงจะชำระความสกปรกได้
สิ่งที่แม่กล่าวย้ำมากที่สุดก็คือ จะต้องซักผ้าขี้ริ้วให้สะอาด ตากแห้งแล้วพับเก็บผ้าขี้ริ้ว หายไม่ได้ ต้องรักษาเหมือนชีวิต ตื่นเช้าก็ให้ทำให้อย่างนี้เหมือนเดิม ไปไหนมาไหนให้มีผ้าขี้ริ้วติดมือเสมอ

คำสอนของแม่ข้อนี้สำคัญมาก “ถ้าผ้าขาดให้บอก แต่ถ้าหากหายต้องหาเอง”
ถ้าหากข้าพเจ้าทำขาด นั่นก็แสดงว่า ข้าพเจ้าใช้งาน ข้าพเจ้าทำงาน ทำด้วยความขยันหมั่นเพียร กระทั่งผ้าขาด  แต่ผ้าหายก็แสดงว่า  ข้าพเจ้าไม่สนใจในการทำงาน แม้แต่ผ้าผืนเดียวก็รักษาไม่ได้ แล้วจะไปศึกษา อบรม เรื่องละเอียด เรื่องสำคัญกว่านี้ได้อย่างไร

นั่นเป็นประวัติของพระสงฆ์ผู้ซึ่งประวัติใน wiki   บรรยายว่า  สำเร็จ เปรียญธรรม 9 ประโยค สำเร็จการศึกษาปริญญาโท เคยเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช  ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก และเป็นพระผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฏกและเผยแผ่พุทธศาสนาให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจ (ท่านที่สนใจ ลอง google ดูประวัติเพิ่มเติมได้ครับ)




ช่วงท้ายของหนังสือ ท่านได้เรียบเรียงเสน่ห์ของผ้าขี้ริ้วไว้ถึง 9 ประการ ผมขอคัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านดังนี้

เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว 9 ประการ

1. ยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขเช่น พ่อแม่ยอมเหนื่อยลูกหลานสุขสบาย

2. ดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดคราบสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้ แล้วแกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3. เป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่หมั่นฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้คนรังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาก็จะเป็นคนมีคุณค่า ไม่ว่ามาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม ทำตัวให้เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดรู้ เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองให้ได้

4. แม้นว่าเป็นผ้าที่ไม่มีราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนเองให้มีคุณค่าด้วยการทำงานทำตน เป็นประโยชน์ให้มีค่า ไม่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา ชะตาชีวิต

5. ไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร  เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสางาน  ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม ตั้งใจทำโดยไม่เกี่ยงงาน รู้จักเสนอตัวทำงาน มิใช่รอคอยแต่ คำร้องขอ

6. ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด  เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าไร้ค่า เป็นงานชั้นต่ำ  แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้  หรือยินดีในการบริการเหมือนคนที่เอิบอิ่มเมื่อชีวิตบริการรับใช้ผู้อื่นรับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ความสามารถของตน และยินดีที่จะเสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าที่จะคิดเข้าไปบริหาร แปลว่า ทำตัวให้เหมือนผ้าขี้ริ้วนั่นเอง

7. พอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด  เหมือนคนต้องพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ  มีความสุข และภูมิใจที่มอบความสำเร็จให้แก่คนอื่น  มีมากที่ผู้น้อยบางคนทำงานแล้ว ทำให้ผู้ใหญ่เล็กลงในขณะที่ตนเองโตขึ้น

8. ทนทานต่อการขัดถูและซักล้าง ไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้เพื่อให้สำเร็จประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบาง

9.แม้นจะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ก็ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่  เหมือนคนที่รู้ตนเองว่า มีคนกำลังปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคตรงนั้นให้ได้  ไม่พ่ายแพ้ตามคำปรามาสของคนอื่น รู้ตัวตลอดว่ากำลังทำอะไรและให้มีกำลังใจในสิ่งนั้น ที่สำคัญคือมองหาความสำคัญจากสิ่งที่คนมองไม่เห็นว่าสำคัญอย่างไรให้ได้คือสามารถมองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่