เมื่อคุณจะเลือกที่พักสักแห่งผมเชื่อว่า ราคา , ทำเล , สิ่งอำนวยความสะดวก น่าจะเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่ผู้รับบริการนึกถึง
ส่วนเรื่องของ "ความสะอาด" นั้น อาจเป็นประเด็นรองลงมา
ส่วนใหญ่แล้ว...ผู้รับบริการล้วนไม่ทราบหรอกครับว่าที่พักที่ตนจองไปสะอาดมากน้อยเพียงใด กว่าจะรู้ก็จ่ายเงินขึ้นห้องพักไปแล้ว
สิ่งหนึ่งในฐานะผู้ให้บริการ ที่ผมอยากจะบอกคือ ไม่ว่าคุณจะเลือกพักโรงแรมกี่ดาวก็ตาม
คุณมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะได้รับห้องพักที่ "สะอาด" และ "ปลอดภัย"
สำหรับผมนั้น ความสะอาดมันคือตัวสะท้อน "คุณภาพชีวิต" ครับ
ความสะอาดและความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนดาว
แต่มันเป็น "หน้าที่" และเป็น "สามัญสำนึก" ของผู้ให้บริการ
เวลาผมได้ยินลูกค้าชมโรงแรมผมว่า "โรงแรมคุณสะอาดเหมือนโรงแรม 5 ดาวเลย"
ผมไม่ได้ดีใจตรงกันข้ามกลับรู้สึกไปในทางเฉยๆด้วยซ้ำ เพราะนี่คือหน้าที่ของผม และเป็นสิทธิ์พื้นฐานที่ผู้รับบริการควรได้รับ
ทีนี้มาพูดลงรายละเอียดดูบ้างดีกว่า ขอเล่าจากประสบการณ์การทำโรงแรม 3 ดาว และประสบการณ์การเป็นนักท่องเที่ยวที่ได้ลองสังเกตและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบรรดา "คนโรงแรม" แล้วกันนะครับ อย่างที่ผมกล่าวไปข้างบนว่า ความสะอาดเป็น "สิทธิ์โดยชอบธรรม" ที่ผู้รับบริการต้องได้รับ ทีนี้มาดูกันว่า "ความสะอาด" ของคนโรงแรมมันมีอะไรบ้าง
- เริ่มต้นกันที่ผลิตภัณฑ์ผ้าขาวต่างๆในห้องพัก ผมเชื่อว่าโรงแรม (ไม่จำกัดจำนวนดาวนะครับ) จำนวนกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้ซักผ้าเองในโรงแรม กล่าวคือส่งโรงซักด้านนอกมารับผ้าไปซัก แล้วส่งกลับมาให้โรงแรมใช้งาน ซึ่งโรงซักจำนวนไม่น้อยเลยนะครับ รับทั้งผ้าโรงแรม และ ผ้าจากธุรกิจอื่นๆ เช่น รับซักยูนิฟอร์มพนักงาน หรือเอาเคสร้ายๆหน่อยคือการรับซักผ้าจากโรงพยาบาลผสมไปด้วย เพื่อความคุ้มทุนและผลประกอบการ
เวลาผมเลือก "โรงซัก" นั้น สิ่งแรกๆที่ผมพิจารณาเลย ไม่ใช่ราคาต้นทุนค่าซักต่อชิ้นครับ แต่คือ "คุณรับซักผ้าโรงพยาบาลด้วยหรือเปล่า?" ถ้าคุณรับซัก คุณแยกไลน์ผลิตหรือซักถังรวม โรงซักบางที่โฆษณาดิบดีว่าแยกไลน์ผลิต แต่เอาเข้าจริงถ้า volumn ไม่ถึงในการเดินรอบเครื่องจักรก็อาจมีการลักไก่ซักรวมก็ได้
ผมไม่เถียงนะว่า "ในทางวิทยาศาสตร์" น้ำยาเคมีที่ใช้ซักผ้านั้นสามารถฆ่าเชื้อโรคได้หมดจรด
แต่ "ในทางความรู้สึก" คงไม่มีผู้เข้าพักโรงแรมคนไหนอยากนอนบนผ้าปูที่นอนที่ซักร่วมถังกับผ้าปูโรงพยาบาลหรอกครับ
- ขอเรื่องผ้าต่อ ผ้าขนหนูในโรงแรมนั้นมักผ่านการใช้งานแบบที่คุณคาดไม่ถึง เช่น แม่บ้านที่ทำความสะอาด เอาผ้าขนหนูที่ลูกค้าใช้แล้วไปเช็ดอ่างอาบน้ำ เช็ดสุขภัณฑ์ เช็ดพื้น เช็ดกระจกห้องน้ำ แล้วก็ยัดโครมลงไปในกระสอบส่งโรงซัก ทุกคนล้วนคาดหวังว่าเคมีภัณฑ์จากโรงซักนั้นจะทำให้ผ้าสะอาด และฆ่าเชื้อโรค
แต่ "ในทางความรู้สึก" คุณอยากใช้ผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งเอาไปเช็ดชักโครกมาก่อนส่งซักมั้ยอ่ะ?
- ขอเล่าเรื่องผ้าอีกนิด ผ้าที่ซักมาสะอาดๆจากโรงซัก บางทีมันก็มาสกปรกด้วยฝีมือแม่บ้านคนทำห้องเนี่ยแหละครับ ไอ้เจ้ารถเข็นแม่บ้านที่บรรทุกผ้าเข็นร่อนๆไปมานั้น บางโรงแรมไม่เคยได้ทำความสะอาดเล้ยยย หรือบางทีก็เป็นแม่บ้านเองนั่นแหละ เอาผ้าเหน็บจักแร้มั่ง ปูผ้าไปเหงื่อไหลมั่ง ผู้เข้าพักไม่มีทางได้รู้หรอกครับว่า "Behind the Scene" ในห้องแม่บ้านหรือห้องStockนั้นเป็นอย่างไร ขณะที่แม่บ้านคัดแยกผ้า จัดผ้าขึ้นรถเขาทำกันอย่างไร แล้วยิ่งไอ้บรรดาพวกพับหงษ์พับเป็ดนั่นอีก ผ้าสะอาดๆจากโรงซักมามีมลทินก็จากไอ้ขั้นตอน "ผักชี" พวกนี้แหละ แล้วไม่ใช่เฉพาะไทยแลนด์ดินแดนปิงปองโชว์นะ ผมเคยใช้บริการโรงแรม4ดาวใกล้กับสถานีชินจูกุ พนักงานเอามัดผ้าที่ผ่านการซักวางลงบนพรมทางเดินเลย ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
- "ผักชี" อีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่ชอบ และ ไม่เข้าใจตรรกะเลยจริงๆ คือ เรื่องอุปกรณ์ตกแต่งเตียง จำพวก หมอนอิง , ผ้าคาดเตียง , ตุ๊กตาช้างม้าวัวกระบือ ที่โรงแรมมักจะสรรหาเอามาเป็นองค์ประกอบ คุณผู้อ่านรู้มั๊ยครับว่า มันสกปรกมากเลยนะ ของพวกนั้นอ่ะ ไอ้เจ้าหมอนอิง , ผ้าคาดเตียง อะไรพวกนี้เขาไม่ได้ซักนะ คือเวียนใช้จนกว่ามันจะ "สกปรกอย่างเห็นได้ชัด" หรือแม่บ้านรู้สึกว่า "ไม่ไหวแล้วจริงๆ" เขาถึงนำออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่ให้
ผ้าปูที่นอนและบรรดาเครื่องนอนสะอาดๆจากโรงซักต้องมามีมลทินมัวหมองก็เพราะไอ้พวก "พิธีกรรม" พวกนี้แหละครับ
- โรงแรมมักใช้ไฟสลัวๆ โทน Warm white บ้าง ใช้ dimming downlight บ้าง ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทั่วโลก อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะว่าในทางทฤษฎีการโรงแรมนั้น ให้คำแนะนำในหลักสูตรว่าอย่างไร โอเคแหละมันอาจให้ความรู้สึกหรูหรา วาบหวาม หรือความรู้สึก calm & peaceful
แต่ในฐานะคนทำโรงแรม ไอ้ไฟสลัวๆเนี่ย ผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดโดยที่หลายคนนึกไม่ถึง คือ มันซ่อนสิ่งสกปรกได้เก่งนักแหละ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่นเอย คราบรอยนิ้วมือในจุดที่ทำความสะอาดไม่ทั่วเอย หรือแม้กระทั่งคราบตำหนิบนผ้าปูที่ซักไม่ออกเอย
สมัยก่อนที่บ้านผมยังไม่ได้ทำโรงแรม ผมก็เป็นผีเสื้อราตรีที่เคลิบเคลิ้มไปกับแสงไฟและการตกแต่งที่หรูหรา Distract ความสนใจไปจากเรื่องความสะอาด แต่พอมาทำโรงแรมเองนั้น...เวลาผมไปพักโรงแรมอื่นๆ เข้าห้องไปปุ้ปผมเปิดม่านก่อนเลย ขอแสงจะจะ แล้วเพ่งเป็นจุดๆเลย วัดกันไปเลยว่าสะอาดจริงมั้ย
- การล้างห้องน้ำของโรงแรมนั้น ส่วนใหญ่จะแตกต่างกับการล้างห้องน้ำที่บ้านเราเองครับ ถ้าเราอยู่บ้านเรา เราเปิดน้ำฟู่ววว สาดไปทั่วๆห้อง แล้วสะบัดขวดเป็ดไปรอบๆ อารมณ์จะเหมือนกับที่คุณเห็นตามโฆษณาทีวีใช่ไหมครับ?
แต่การล้างห้องน้ำของโรงแรมนั้นส่วนมากเลยจะเป็นการ "ล้างแห้ง" ครับ บางโรงแรมไม่มีช่องระบายน้ำด้วยซ้ำ ดังนั้นจงลืมไปเลยเรื่องการเปิดน้ำแล้วสะบัดเป็ด พนักงานจะใช้เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเคมีบรรจุในฟ้อกกี้แล้วก็พ่นไปรอบๆสุขภัณฑ์แล้วก็เช็ด นั่นคือการทำความสะอาดที่หลายคน "อ้างว่า" เป็นสากลโลก ผมเชื่อว่าหลักสูตรการโรงแรมพวกนี้ เราก็ประยุกต์มาจากชาติตะวันตกนั่นแหละ ผมไม่เถียงนะ ไม่เถียงเลย จากประสบการณ์ตัวเอง...เวลาไปเมืองนอกก็เห็นเขา "ล้างแห้ง" กันทั้งนั้นแหละ บางทีในบางประเทศห้องน้ำปูพรมเสียด้วยซ้ำไป
แต่พอมาอยู่เมืองไทย ด้วยสภาพความชื้น ความร้อน ความอบอ้าวของอากาศ และวัฒนธรรมการควักไอ้จ้อนมายืนฉี่ที่มักจะ splash ไปรอบๆของคุณผู้ชาย และมักจะเรี่ยราดลงไปบนฝารองนั่งและพื้นรวมถึงผนังด้านหลังชักโครก การ "ล้างแห้ง" นั้นทำได้เพียงนำน้ำยาฉีดไปบนสุขภัณฑ์และเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวครับ ส่วนเยี่ยวของคุณบนพื้นนั้น ก็จะผ่านการ "เช็ด" ด้วยไม้ถูพื้น ถูตรงบริเวณโถชักโครก และก็กระดึ๊บๆเช็ดๆถูๆไปรอบๆบริเวณห้องน้ำ เยี่ยวของคุณก็จะกระจายยยไปรอบๆ เมื่อคุณแม่บ้านถูห้องน้ำจนหนำใจ ก็จะนำไม้ถูพื้นอันนั้นจุ่มลงไปในถังน้ำแม่บ้านสีเหลืองๆ เยี่ยวของคุณก็จะอยู่ในถังน้ำนั้นแหละ แล้วแม่บ้านก็เข็นรถไป "เช็ด" ห้องถัดไป นึกภาพตามกันออกใช่มั๊ยครับ?
กว่าจะจบวัน อยากถามเป็นความรู้จริงๆว่าตามหลักสูตรการโรงแรม คุณแม่บ้านเปลี่ยนน้ำในถังวันละกี่ครั้ง?? , เปลี่ยนผ้าเช็ดสุขภัณฑ์และพื้นผิวในห้องพักวันละกี่รอบ?? ไม่อยากจะนึกเลยว่า “การเดินทางของเยี่ยว” เมื่อไปถึงห้องสุดท้ายของวันจะสนุกและเจอ “เพื่อนฝูงร่วมถัง” แค่ไหน แล้วถ้าคุณได้ห้องพักที่ทำความสะอาดเป็นห้องสุดท้ายของวัน จะบันเทิงแค่ไหน
นั่นแหละ...ผมถึงบอกว่าผมไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าไอ้การ "ล้างแห้ง" ด้วยเคมีภัณฑ์มันจะสะอาดจริงๆ
ผมเคยเข้าพักในโรงแรม4ดาวย่านสุรศักดิ์ครับ เช็คอินเข้าห้องพักไปปุ้ป เปิดประตูห้องน้ำจะล้างมือ กลิ่นเยี่ยวแรงมากกก!! และผมก็เจอประสบการณ์ "กลิ่นเยี่ยวโชย" เช่นเดียวกันนี้จากโรงแรม 5 ดาวย่านอโศกเช่นกัน
- วิธีการทำความสะอาดห้องของแม่บ้านนั้นส่งผลอย่างมากครับต่อ "ผลงาน" ที่ออกสู่สายตาลูกค้า เรา "เห่อ" เรื่องการทำความสะอาด "พื้นที่ผิวสัมผัสร่วม" กันอยู่พักนึงช่วงโควิด แต่หลังจากกระแสซาไปและกลายเป็นโรคประจำถิ่น ผู้คนก็กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ
ห้องพักที่มีขนาดใหญ่เช่น villa , duplex , two-bedroom หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ ผู้เข้าพักจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแต่ละส่วนได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง ยกตัวอย่างง่ายๆให้พอนึกภาพตามนะครับ เราใช้เวลากันครึ่งค่อนวันกับการทำความสะอาด "บ้าน" ของเรา (เอาบ้านขนาดทั่วไปนะครับ) แต่แม่บ้านโรงแรมนั้นใช้เวลาเพียง villa ละไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงกับการทำความสะอาด นั่นแหละ...ก็คิดเอาเด้อ
- โรงแรมจำนวนไม่น้อยเลย ใช้เครื่องดูดฝุ่นไถๆๆไปกับพื้น ไม่ว่าพื้นนั้นจะปูไม้ หรือเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ มันง่ายครับสะดวกรวดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นโรงแรมริมทะเลที่ต้องเผชิญกับเม็ดทรายมหาศาลที่ติดเท้าเข้าห้องพัก การใช้เครื่องดูดฝุ่นมันก็อาจสะดวกและรวดเร็วมากกว่าการใช้ไม้กวาด
แต่ปัญหาคือ หลังจากดูดฝุ่นแล้วคุณทำอะไรต่อ? โรงแรมจำนวนไม่น้อยอีกเช่นกัน ใช้เพียงม๊อบดันฝุ่น หรือผ้าหมาดๆถูพื้น แค่นั้น จบ โอเคแหละ มัน "สะดวก" แต่ถามจริงๆนะ มันจะ "สะอาด" จริงๆหรอ?
ผมเข้าใจว่าตาม "ทฤษฎีการโรงแรม" และ "ทฤษฎีการบริหารจัดการ" แม่บ้านโรงแรมต้องทำห้องวันละไม่ต่ำกว่า "15-18ห้อง" และจำนวนห้องที่ทำมีผลต่อ "รายได้" คุณทำห้องมาก คุณได้ค่าคอมมิชชั่นมาก โรงแรมก็เฉลี่ยค่าจ้างต่อจำนวนห้องที่ทำ พนักงานทำห้องมาก ค่าเฉลี่ยต่อห้องมันก็ถูก ฟังดูเหมือนว่าจะ Win:Win ทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง
แต่ "ลูกค้า" เขา Win กับคุณด้วยหรือเปล่าถามจริงๆ
เอาเท่านี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวบรรดาคนโรงแรม จะแหกอกผมเอา หรืออาจส่งคนมาปิดปากผมได้
ว่ากันว่า "นักมายากลย่อมไม่เปิดเผยทริคการแสดงให้ผู้ชมรู้"
แต่สำหรับผมในฐานะคนทำโรงแรม ความสะอาดไม่ใช่เรื่องลูบหน้าปะจมูก หรือเป็นการ "เล่นกล" ครับ
////
ขอต่อในคอมเมนท์นะครับ ยาวเกินอีกแล้ว
[เล่าจากมุมคนทำโรงแรม] "ความสะอาด"...เรื่องที่คนโรงแรมไม่อยากบอก และ ลูกค้ามักมองข้าม
ส่วนเรื่องของ "ความสะอาด" นั้น อาจเป็นประเด็นรองลงมา
ส่วนใหญ่แล้ว...ผู้รับบริการล้วนไม่ทราบหรอกครับว่าที่พักที่ตนจองไปสะอาดมากน้อยเพียงใด กว่าจะรู้ก็จ่ายเงินขึ้นห้องพักไปแล้ว
สิ่งหนึ่งในฐานะผู้ให้บริการ ที่ผมอยากจะบอกคือ ไม่ว่าคุณจะเลือกพักโรงแรมกี่ดาวก็ตาม
คุณมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะได้รับห้องพักที่ "สะอาด" และ "ปลอดภัย"
สำหรับผมนั้น ความสะอาดมันคือตัวสะท้อน "คุณภาพชีวิต" ครับ
ความสะอาดและความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนดาว
แต่มันเป็น "หน้าที่" และเป็น "สามัญสำนึก" ของผู้ให้บริการ
เวลาผมได้ยินลูกค้าชมโรงแรมผมว่า "โรงแรมคุณสะอาดเหมือนโรงแรม 5 ดาวเลย"
ผมไม่ได้ดีใจตรงกันข้ามกลับรู้สึกไปในทางเฉยๆด้วยซ้ำ เพราะนี่คือหน้าที่ของผม และเป็นสิทธิ์พื้นฐานที่ผู้รับบริการควรได้รับ
ทีนี้มาพูดลงรายละเอียดดูบ้างดีกว่า ขอเล่าจากประสบการณ์การทำโรงแรม 3 ดาว และประสบการณ์การเป็นนักท่องเที่ยวที่ได้ลองสังเกตและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบรรดา "คนโรงแรม" แล้วกันนะครับ อย่างที่ผมกล่าวไปข้างบนว่า ความสะอาดเป็น "สิทธิ์โดยชอบธรรม" ที่ผู้รับบริการต้องได้รับ ทีนี้มาดูกันว่า "ความสะอาด" ของคนโรงแรมมันมีอะไรบ้าง
- เริ่มต้นกันที่ผลิตภัณฑ์ผ้าขาวต่างๆในห้องพัก ผมเชื่อว่าโรงแรม (ไม่จำกัดจำนวนดาวนะครับ) จำนวนกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้ซักผ้าเองในโรงแรม กล่าวคือส่งโรงซักด้านนอกมารับผ้าไปซัก แล้วส่งกลับมาให้โรงแรมใช้งาน ซึ่งโรงซักจำนวนไม่น้อยเลยนะครับ รับทั้งผ้าโรงแรม และ ผ้าจากธุรกิจอื่นๆ เช่น รับซักยูนิฟอร์มพนักงาน หรือเอาเคสร้ายๆหน่อยคือการรับซักผ้าจากโรงพยาบาลผสมไปด้วย เพื่อความคุ้มทุนและผลประกอบการ
เวลาผมเลือก "โรงซัก" นั้น สิ่งแรกๆที่ผมพิจารณาเลย ไม่ใช่ราคาต้นทุนค่าซักต่อชิ้นครับ แต่คือ "คุณรับซักผ้าโรงพยาบาลด้วยหรือเปล่า?" ถ้าคุณรับซัก คุณแยกไลน์ผลิตหรือซักถังรวม โรงซักบางที่โฆษณาดิบดีว่าแยกไลน์ผลิต แต่เอาเข้าจริงถ้า volumn ไม่ถึงในการเดินรอบเครื่องจักรก็อาจมีการลักไก่ซักรวมก็ได้
ผมไม่เถียงนะว่า "ในทางวิทยาศาสตร์" น้ำยาเคมีที่ใช้ซักผ้านั้นสามารถฆ่าเชื้อโรคได้หมดจรด
แต่ "ในทางความรู้สึก" คงไม่มีผู้เข้าพักโรงแรมคนไหนอยากนอนบนผ้าปูที่นอนที่ซักร่วมถังกับผ้าปูโรงพยาบาลหรอกครับ
- ขอเรื่องผ้าต่อ ผ้าขนหนูในโรงแรมนั้นมักผ่านการใช้งานแบบที่คุณคาดไม่ถึง เช่น แม่บ้านที่ทำความสะอาด เอาผ้าขนหนูที่ลูกค้าใช้แล้วไปเช็ดอ่างอาบน้ำ เช็ดสุขภัณฑ์ เช็ดพื้น เช็ดกระจกห้องน้ำ แล้วก็ยัดโครมลงไปในกระสอบส่งโรงซัก ทุกคนล้วนคาดหวังว่าเคมีภัณฑ์จากโรงซักนั้นจะทำให้ผ้าสะอาด และฆ่าเชื้อโรค
แต่ "ในทางความรู้สึก" คุณอยากใช้ผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งเอาไปเช็ดชักโครกมาก่อนส่งซักมั้ยอ่ะ?
- ขอเล่าเรื่องผ้าอีกนิด ผ้าที่ซักมาสะอาดๆจากโรงซัก บางทีมันก็มาสกปรกด้วยฝีมือแม่บ้านคนทำห้องเนี่ยแหละครับ ไอ้เจ้ารถเข็นแม่บ้านที่บรรทุกผ้าเข็นร่อนๆไปมานั้น บางโรงแรมไม่เคยได้ทำความสะอาดเล้ยยย หรือบางทีก็เป็นแม่บ้านเองนั่นแหละ เอาผ้าเหน็บจักแร้มั่ง ปูผ้าไปเหงื่อไหลมั่ง ผู้เข้าพักไม่มีทางได้รู้หรอกครับว่า "Behind the Scene" ในห้องแม่บ้านหรือห้องStockนั้นเป็นอย่างไร ขณะที่แม่บ้านคัดแยกผ้า จัดผ้าขึ้นรถเขาทำกันอย่างไร แล้วยิ่งไอ้บรรดาพวกพับหงษ์พับเป็ดนั่นอีก ผ้าสะอาดๆจากโรงซักมามีมลทินก็จากไอ้ขั้นตอน "ผักชี" พวกนี้แหละ แล้วไม่ใช่เฉพาะไทยแลนด์ดินแดนปิงปองโชว์นะ ผมเคยใช้บริการโรงแรม4ดาวใกล้กับสถานีชินจูกุ พนักงานเอามัดผ้าที่ผ่านการซักวางลงบนพรมทางเดินเลย ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
- "ผักชี" อีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่ชอบ และ ไม่เข้าใจตรรกะเลยจริงๆ คือ เรื่องอุปกรณ์ตกแต่งเตียง จำพวก หมอนอิง , ผ้าคาดเตียง , ตุ๊กตาช้างม้าวัวกระบือ ที่โรงแรมมักจะสรรหาเอามาเป็นองค์ประกอบ คุณผู้อ่านรู้มั๊ยครับว่า มันสกปรกมากเลยนะ ของพวกนั้นอ่ะ ไอ้เจ้าหมอนอิง , ผ้าคาดเตียง อะไรพวกนี้เขาไม่ได้ซักนะ คือเวียนใช้จนกว่ามันจะ "สกปรกอย่างเห็นได้ชัด" หรือแม่บ้านรู้สึกว่า "ไม่ไหวแล้วจริงๆ" เขาถึงนำออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่ให้
ผ้าปูที่นอนและบรรดาเครื่องนอนสะอาดๆจากโรงซักต้องมามีมลทินมัวหมองก็เพราะไอ้พวก "พิธีกรรม" พวกนี้แหละครับ
- โรงแรมมักใช้ไฟสลัวๆ โทน Warm white บ้าง ใช้ dimming downlight บ้าง ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทั่วโลก อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะว่าในทางทฤษฎีการโรงแรมนั้น ให้คำแนะนำในหลักสูตรว่าอย่างไร โอเคแหละมันอาจให้ความรู้สึกหรูหรา วาบหวาม หรือความรู้สึก calm & peaceful
แต่ในฐานะคนทำโรงแรม ไอ้ไฟสลัวๆเนี่ย ผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดโดยที่หลายคนนึกไม่ถึง คือ มันซ่อนสิ่งสกปรกได้เก่งนักแหละ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่นเอย คราบรอยนิ้วมือในจุดที่ทำความสะอาดไม่ทั่วเอย หรือแม้กระทั่งคราบตำหนิบนผ้าปูที่ซักไม่ออกเอย
สมัยก่อนที่บ้านผมยังไม่ได้ทำโรงแรม ผมก็เป็นผีเสื้อราตรีที่เคลิบเคลิ้มไปกับแสงไฟและการตกแต่งที่หรูหรา Distract ความสนใจไปจากเรื่องความสะอาด แต่พอมาทำโรงแรมเองนั้น...เวลาผมไปพักโรงแรมอื่นๆ เข้าห้องไปปุ้ปผมเปิดม่านก่อนเลย ขอแสงจะจะ แล้วเพ่งเป็นจุดๆเลย วัดกันไปเลยว่าสะอาดจริงมั้ย
- การล้างห้องน้ำของโรงแรมนั้น ส่วนใหญ่จะแตกต่างกับการล้างห้องน้ำที่บ้านเราเองครับ ถ้าเราอยู่บ้านเรา เราเปิดน้ำฟู่ววว สาดไปทั่วๆห้อง แล้วสะบัดขวดเป็ดไปรอบๆ อารมณ์จะเหมือนกับที่คุณเห็นตามโฆษณาทีวีใช่ไหมครับ?
แต่การล้างห้องน้ำของโรงแรมนั้นส่วนมากเลยจะเป็นการ "ล้างแห้ง" ครับ บางโรงแรมไม่มีช่องระบายน้ำด้วยซ้ำ ดังนั้นจงลืมไปเลยเรื่องการเปิดน้ำแล้วสะบัดเป็ด พนักงานจะใช้เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเคมีบรรจุในฟ้อกกี้แล้วก็พ่นไปรอบๆสุขภัณฑ์แล้วก็เช็ด นั่นคือการทำความสะอาดที่หลายคน "อ้างว่า" เป็นสากลโลก ผมเชื่อว่าหลักสูตรการโรงแรมพวกนี้ เราก็ประยุกต์มาจากชาติตะวันตกนั่นแหละ ผมไม่เถียงนะ ไม่เถียงเลย จากประสบการณ์ตัวเอง...เวลาไปเมืองนอกก็เห็นเขา "ล้างแห้ง" กันทั้งนั้นแหละ บางทีในบางประเทศห้องน้ำปูพรมเสียด้วยซ้ำไป
แต่พอมาอยู่เมืองไทย ด้วยสภาพความชื้น ความร้อน ความอบอ้าวของอากาศ และวัฒนธรรมการควักไอ้จ้อนมายืนฉี่ที่มักจะ splash ไปรอบๆของคุณผู้ชาย และมักจะเรี่ยราดลงไปบนฝารองนั่งและพื้นรวมถึงผนังด้านหลังชักโครก การ "ล้างแห้ง" นั้นทำได้เพียงนำน้ำยาฉีดไปบนสุขภัณฑ์และเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวครับ ส่วนเยี่ยวของคุณบนพื้นนั้น ก็จะผ่านการ "เช็ด" ด้วยไม้ถูพื้น ถูตรงบริเวณโถชักโครก และก็กระดึ๊บๆเช็ดๆถูๆไปรอบๆบริเวณห้องน้ำ เยี่ยวของคุณก็จะกระจายยยไปรอบๆ เมื่อคุณแม่บ้านถูห้องน้ำจนหนำใจ ก็จะนำไม้ถูพื้นอันนั้นจุ่มลงไปในถังน้ำแม่บ้านสีเหลืองๆ เยี่ยวของคุณก็จะอยู่ในถังน้ำนั้นแหละ แล้วแม่บ้านก็เข็นรถไป "เช็ด" ห้องถัดไป นึกภาพตามกันออกใช่มั๊ยครับ?
กว่าจะจบวัน อยากถามเป็นความรู้จริงๆว่าตามหลักสูตรการโรงแรม คุณแม่บ้านเปลี่ยนน้ำในถังวันละกี่ครั้ง?? , เปลี่ยนผ้าเช็ดสุขภัณฑ์และพื้นผิวในห้องพักวันละกี่รอบ?? ไม่อยากจะนึกเลยว่า “การเดินทางของเยี่ยว” เมื่อไปถึงห้องสุดท้ายของวันจะสนุกและเจอ “เพื่อนฝูงร่วมถัง” แค่ไหน แล้วถ้าคุณได้ห้องพักที่ทำความสะอาดเป็นห้องสุดท้ายของวัน จะบันเทิงแค่ไหน
นั่นแหละ...ผมถึงบอกว่าผมไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าไอ้การ "ล้างแห้ง" ด้วยเคมีภัณฑ์มันจะสะอาดจริงๆ
ผมเคยเข้าพักในโรงแรม4ดาวย่านสุรศักดิ์ครับ เช็คอินเข้าห้องพักไปปุ้ป เปิดประตูห้องน้ำจะล้างมือ กลิ่นเยี่ยวแรงมากกก!! และผมก็เจอประสบการณ์ "กลิ่นเยี่ยวโชย" เช่นเดียวกันนี้จากโรงแรม 5 ดาวย่านอโศกเช่นกัน
- วิธีการทำความสะอาดห้องของแม่บ้านนั้นส่งผลอย่างมากครับต่อ "ผลงาน" ที่ออกสู่สายตาลูกค้า เรา "เห่อ" เรื่องการทำความสะอาด "พื้นที่ผิวสัมผัสร่วม" กันอยู่พักนึงช่วงโควิด แต่หลังจากกระแสซาไปและกลายเป็นโรคประจำถิ่น ผู้คนก็กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ
ห้องพักที่มีขนาดใหญ่เช่น villa , duplex , two-bedroom หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ ผู้เข้าพักจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแต่ละส่วนได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง ยกตัวอย่างง่ายๆให้พอนึกภาพตามนะครับ เราใช้เวลากันครึ่งค่อนวันกับการทำความสะอาด "บ้าน" ของเรา (เอาบ้านขนาดทั่วไปนะครับ) แต่แม่บ้านโรงแรมนั้นใช้เวลาเพียง villa ละไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงกับการทำความสะอาด นั่นแหละ...ก็คิดเอาเด้อ
- โรงแรมจำนวนไม่น้อยเลย ใช้เครื่องดูดฝุ่นไถๆๆไปกับพื้น ไม่ว่าพื้นนั้นจะปูไม้ หรือเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ มันง่ายครับสะดวกรวดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นโรงแรมริมทะเลที่ต้องเผชิญกับเม็ดทรายมหาศาลที่ติดเท้าเข้าห้องพัก การใช้เครื่องดูดฝุ่นมันก็อาจสะดวกและรวดเร็วมากกว่าการใช้ไม้กวาด
แต่ปัญหาคือ หลังจากดูดฝุ่นแล้วคุณทำอะไรต่อ? โรงแรมจำนวนไม่น้อยอีกเช่นกัน ใช้เพียงม๊อบดันฝุ่น หรือผ้าหมาดๆถูพื้น แค่นั้น จบ โอเคแหละ มัน "สะดวก" แต่ถามจริงๆนะ มันจะ "สะอาด" จริงๆหรอ?
ผมเข้าใจว่าตาม "ทฤษฎีการโรงแรม" และ "ทฤษฎีการบริหารจัดการ" แม่บ้านโรงแรมต้องทำห้องวันละไม่ต่ำกว่า "15-18ห้อง" และจำนวนห้องที่ทำมีผลต่อ "รายได้" คุณทำห้องมาก คุณได้ค่าคอมมิชชั่นมาก โรงแรมก็เฉลี่ยค่าจ้างต่อจำนวนห้องที่ทำ พนักงานทำห้องมาก ค่าเฉลี่ยต่อห้องมันก็ถูก ฟังดูเหมือนว่าจะ Win:Win ทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง
แต่ "ลูกค้า" เขา Win กับคุณด้วยหรือเปล่าถามจริงๆ
เอาเท่านี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวบรรดาคนโรงแรม จะแหกอกผมเอา หรืออาจส่งคนมาปิดปากผมได้
ว่ากันว่า "นักมายากลย่อมไม่เปิดเผยทริคการแสดงให้ผู้ชมรู้"
แต่สำหรับผมในฐานะคนทำโรงแรม ความสะอาดไม่ใช่เรื่องลูบหน้าปะจมูก หรือเป็นการ "เล่นกล" ครับ
////
ขอต่อในคอมเมนท์นะครับ ยาวเกินอีกแล้ว