คีย์เวิร์ดของการลงทุนให้ถึงเส้นชัยคือมีแผน เล่นตามแผน มีวินัยสูงมาก อย่าให้อารมณ์ครอบงำวินัยของตัวเองเป็นใช้ได้" นั่นเป็นวิธีการลงทุนของ "วิรัตน์ คุณารัตนอังกูร" กรรมการผู้จัดการ The BlueSky Resort Group ทุกวันนี้เขาไม่ได้ทำแค่ธุรกิจรีสอร์ท แต่ยังทำธุรกิจด้านทันตกรรม เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการขายและการเจรจาต่อรอง รวมถึงยังสนุกกับการเป็นนักลงทุน
เขาพูดถึงผู้คนทุกวันนี้ว่าบางคนทำงานเพื่อความสุข บางคนเพื่อความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร ต้องมีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน จึงจะพบกับอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด
"ผมพบว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่อยากรวย แต่พวกเขาอยากมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งการจะมีอิสรภาพทางการเงินได้คือมีเงินใช้จ่ายโดยไม่ต้องทำงาน เราก็ต้องถามตัวเองว่าถ้าไม่ทำงาน แต่เราใช้เดือนละ 5 หมื่นบาทหรือปีละ 6 แสนบาท นั่นหมายถึงว่า บนสมมติฐานที่ว่าเรามีผลตอบแทน 5% ต่อปี ต้องมีเงินลงทุนประมาณ 12 ล้านบาทถึงจะพอ ดังนั้น สิ่งแรกคือถ้าเราไม่มีเป้าหมายทางการเงินที่เป็นตัวเลข เราไม่มีทางไปสู่จุดสำเร็จได้ เป้าหมายจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ แต่ผมว่าขั้นต่ำควรจะเป็น 10-20 ล้าน และไม่ควรจะเป็นหลักพันล้าน เพราะนั่นคือโลภแล้ว"
วิรัตน์บอกว่า เท่าที่เขาเคยพูดคุยกับคนทั่วไปก็พบว่า เงิน 1 ล้านบาทแรกเป็นสิ่งที่หายากมากที่สุดในชีวิต แต่เมื่อเราหาล้านแรกได้ 10 ล้านถัดมาง่ายกว่าเยอะเลย ดังนั้นการจะมีล้านแรกในชีวิตได้ จึงต้องวางแผนการเงิน โดยส่วนตัวเขาจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน
"เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย เราต้องเก็บเงิน ยิ่งพอศึกษาเรื่องการเงิน ก็พบว่าการลงทุนน่าสนใจมาก และยังพบว่า คนส่วนใหญ่จะบอกว่ารายรับสำคัญที่สุด แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ รายเหลือต่างหาก ถ้าเขาเงินเดือนหมื่น แต่ใช้หมื่นสอง ก็ไม่มีความหมาย พอเขาเงินเดือนขึ้น 2 หมื่น ก็ใช้ 2.4 หมื่น ก็ไม่มีประโยชน์ที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น ส่วนตัวผมคิดว่าอย่างแรก มนุษย์เงินเดือน ต้องกันรายเหลือไว้ก่อน จะออม 10% 20% 30% ก็แล้วแต่ แต่ขอให้ออม แล้วค่อยเอาไปลงทุน เพื่อทำให้เกิดรายรับจากการที่เราไม่ทำงานให้ได้ ผมว่าอิสรภาพทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน ต้องเริ่มจากรายรับหักรายเหลือ เท่ากับรายจ่าย ซึ่งเราต้องทำงบการใช้จ่ายหรือบัดเจ็ท เพื่อให้รู้รายรับและรายจ่ายของทุกเดือน และตั้งเป้าเก็บเงินให้มากกว่ารายจ่าย แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ไม่มีเป้าหมายทางการเงิน พอเก็บได้ 3 แสนดาวน์รถ 1 แสนก็กลายเป็นทริปซานโตรินิ พอ 3 หมื่นเป็นโน้ตบุ๊ค 1 หมื่นเป็นไอโฟน เวลาถามว่าใครมีเงิน 1 ล้านเป็นของตัวเองบ้าง ส่วนใหญ่จึงไม่มี "
วิรัตน์เล่าว่า ทุกวันนี้โดยส่วนตัวของเขามีรายได้ มาจาก 4 ทาง ส่วนแรกคือดอกเบี้ยรับ ที่เกิดจากการลงทุนในพันธบัตร และส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากเงินฝาก เพราะดอกเบี้ยน้อยมาก นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากเงินปันผล ซึ่งเกิดจากการลงทุนในหุ้นปันผล และมีส่วนแบ่งจากบริษัทที่เข้าไปร่วมลงทุน แต่เราไม่ได้ทำงาน เขาปันผลมาให้ ส่วนถัดมาเป็นค่าเช่าจากการลงทุนในคอนโดมิเนียม และสุดท้ายคือจากธุรกิจที่ลงทุนทำเอง ทั้งจากรีสอร์ทและธุรกิจอื่นๆ
"ทุกวันนี้ผมมีรายได้มาจากทุกทาง น้อยสุดคือดอกเบี้ยรับเพราะผลตอบแทนต่ำสุด ดีที่สุดคือพอร์ตหุ้นและบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ ผมว่าถ้าเล่นหุ้นได้ผลตอบแทนปีละ 20% แค่นี้เราก็เท่ห์แล้ว แต่บริษัทที่เราเป็นเจ้าของได้ 200 % อันนั้นดีกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกทุกวันว่า ดีที่สุดคือการเป็นเจ้าของบริษัทหรือกิจการ แต่ต้องทำให้เป็นระบบ เพราะการเป็นเจ้าของธุรกิจเราหนีปัญหาไม่พ้น ต้องคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอด แต่ถ้าเรามีเงินก้อนใหญ่พอ การเป็นนักลงทุนถือว่าดีที่สุด ที่ผ่านมามีคนชวนผมลงทุนซื้อทองผมบอกผมไม่ค่อยรู้ ไม่อยากลงทุน เพราะดูแล้วเราคุมไม่ได้ ตรงกันข้าม ถ้าเล่นหุ้น เราทำความรู้จักกับหุ้นได้ จะดีกว่ามั้ย ถ้าเลือกซื้อหุ้นที่เรารู้จัก ผมจึงเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทนที่จะเป็นทอง"
การลงทุนในตลาดหุ้นของเขานั้น ไม่ได้มีใครเป็นไอดอล เพียงแต่นำแนวคิดของหลายๆ คนมาผสมผสานกัน ทั้งวอร์เรน บัฟเฟต์ ปีเตอร์ ลินช์ และเทพ รุ่งธนาภิรมย์ โดยนำจุดเด่นของแต่ละคนมาผสมผสานกัน
"บัฟเฟต์บอกว่าจงกลัวขณะที่คนอื่นกล้า จงกล้าขณะคนอื่นกลัว ก็พยายามหยิบข้อคิดของเขามาใช้ แต่ที่จริงแล้วผมไม่มีไอดอล แต่คิดว่าเล่นหุ้นที่มีสไตล์และคาแรคเตอร์ของตัวเองมากกว่า สไตล์ของผมคือ เล่นตามแผน ไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง อย่าไปสนใจมาก เมนหลักผมเป็นนักธุรกิจ ถึงเวลาสอนหนังสือหรือลงทุนก็จัดสรรเวลาไป ผมจะดูหุ้นแค่เดือนละครั้ง เป้าหมายคือบิลด์ให้พอร์ตแข็งแรง มีความเสี่ยงต่ำลงเมื่ออายุมากขึ้น ตอนเงินน้อยเราเล่นเกมเสี่ยงมากได้ แต่พอเราอายุเยอะขึ้น ความเสี่ยงต้องต่ำลง เสี่ยงน้อยคือเล่นหุ้นตัวที่เรารู้จักจริงๆ เล่นตามเกม ไม่โลภ รู้คือไม่เสี่ยง ไม่รู้คือเสี่ยง ผลตอบแทนเป็นแค่รางวัลของการมีวินัยที่เราดูแลพอร์ตอย่างดี การเล่นหุ้นต้องไม่โลภ เพราะศัตรูของหุ้นคือความโลภ คนที่เล่นหุ้นและเรียนรู้ธรรมะไปด้วยจึงเอาชนะตลาดได้"
วิรัตน์ย้ำว่า นักลงทุนควรมีสไตล์ของตัวเอง ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องเริ่มค้นหาตัวเองก่อน อย่าเพิ่งลงทุนเยอะ วิธีลดความเสี่ยงคือลงทุนให้น้อย แล้วสร้างโมเดลของตัวเองขึ้นมา เล่นหุ้นไม่มีสูตร ชนะคือถูก แพ้คือผิด เมื่อไหร่ที่เจอโมลเดลที่ชนะ แปลว่าโมเดลนั้นถูก ก็ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนอะไร แต่เมื่อไหร่ที่แพ้ แสดงว่าโมเดลนั้นใช้ไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องราวการลงทุนในตลาดหุ้น แต่เมื่อถูกถามถึงการลงทุนโดยตรง วิรัตน์เล่าว่าที่ทำรีสอร์ทเพราะคนไทยมี Hospitality ดีที่สุดในโลก เมืองไทยมีทะเลที่สวย อาหารอร่อย เพื่อนบ้านอย่างจีนเมื่อมีเงินก็อยากมาเที่ยวไทย เขาจึงคิดหาโมเดลการลงทุนด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ หาคนที่ดีและเก่งมารักษาต่อยอดระบบ เริ่มจากเล็กลูกค้าจะชอบ และยึดหลักว่า"ไม่กู้ก็ไม่เจ๊ง" เพราะเมื่อไหร่ที่กู้ เราจะทำธุรกิจแบบเครียด ข้อสำคัญการลงทุนในธุรกิจขาขึ้นจะเป็นข้อดี นั่นเพราะ ทุกธุรกิจมีเริ่มต้น คงอยู่ และดับไป ถ้าลงทุนช่วงเทรนด์ดียังไงก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งเขามองว่าบูทีครีสอร์ทเป็นธุรกิจขาขึ้นของไทยในตอนนี้ ลงทุนในธุรกิจที่ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ยิ่งถ้าทำในทำเลสวยก็จะได้เปรียบ ข้อสำคัญอย่าเน้นกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง
"คอนเซปต์รีสอร์ทที่เกาะพยามของผม อยากให้เป็นมัลดีฟส์เมืองไทย เปิดมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้มี รีสอร์ทที่ 2 บนฝั่งระนอง คอนเซปต์เป็นซอเรนโต้เมืองไทย และจะเปิดที่หัวหิน เขาเต่า แต่ทุกอย่างเราเริ่มจากเล็กๆ เป้าหมายไม่ต้องการกำไรสูงสุดแต่ต้องไม่ขาดทุน และต้องการให้ลูกค้ามีความสุข คิดง่ายๆ ว่าถ้าเราเป็นลูกค้าเราอยากได้อะไร นั่นแหละคอนเซปต์ในการสร้างรีสอร์ท ยิ่งไม่คิดถึงกำไร จะยิ่งได้กำไร ลองสังเกตดูว่า คนเราถ้าเอาความสุขเป็นตัวตั้งจะทำงานอีกแบบ แต่ถ้าเอาความสำเร็จเป็นที่ตั้งก็จะเป็นอีกแบบ ตรงนี้เป็นโจทย์ยาก แต่ผมว่า พอทำงานสำเร็จถึงจุดหนึ่งเงินทองจะตามมาเอง สรุปแล้วเงินทองเป็นผลพลอยได้เป็นรางวัลของคนที่ทำงานสำเร็จ"
เพราะเป็นคนที่มีแบบแผนการใช้ชีวิตและการลงทุนที่ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน คนแบบนี้จึงไม่ได้มีแค่ความสำเร็จ แต่ยังมีความสุขพ่วงท้ายเป็นของกำนัลด้วย
ปล. บทความนี้ผมชอบมาก อ่านแล้วโดนครับ
เปิดโมเดลทำธุรกิจลงทุนให้มีความสุข ของวิรัตน์ คุณารัตนอังกูร
เขาพูดถึงผู้คนทุกวันนี้ว่าบางคนทำงานเพื่อความสุข บางคนเพื่อความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร ต้องมีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน จึงจะพบกับอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด
"ผมพบว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่อยากรวย แต่พวกเขาอยากมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งการจะมีอิสรภาพทางการเงินได้คือมีเงินใช้จ่ายโดยไม่ต้องทำงาน เราก็ต้องถามตัวเองว่าถ้าไม่ทำงาน แต่เราใช้เดือนละ 5 หมื่นบาทหรือปีละ 6 แสนบาท นั่นหมายถึงว่า บนสมมติฐานที่ว่าเรามีผลตอบแทน 5% ต่อปี ต้องมีเงินลงทุนประมาณ 12 ล้านบาทถึงจะพอ ดังนั้น สิ่งแรกคือถ้าเราไม่มีเป้าหมายทางการเงินที่เป็นตัวเลข เราไม่มีทางไปสู่จุดสำเร็จได้ เป้าหมายจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ แต่ผมว่าขั้นต่ำควรจะเป็น 10-20 ล้าน และไม่ควรจะเป็นหลักพันล้าน เพราะนั่นคือโลภแล้ว"
วิรัตน์บอกว่า เท่าที่เขาเคยพูดคุยกับคนทั่วไปก็พบว่า เงิน 1 ล้านบาทแรกเป็นสิ่งที่หายากมากที่สุดในชีวิต แต่เมื่อเราหาล้านแรกได้ 10 ล้านถัดมาง่ายกว่าเยอะเลย ดังนั้นการจะมีล้านแรกในชีวิตได้ จึงต้องวางแผนการเงิน โดยส่วนตัวเขาจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน
"เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย เราต้องเก็บเงิน ยิ่งพอศึกษาเรื่องการเงิน ก็พบว่าการลงทุนน่าสนใจมาก และยังพบว่า คนส่วนใหญ่จะบอกว่ารายรับสำคัญที่สุด แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ รายเหลือต่างหาก ถ้าเขาเงินเดือนหมื่น แต่ใช้หมื่นสอง ก็ไม่มีความหมาย พอเขาเงินเดือนขึ้น 2 หมื่น ก็ใช้ 2.4 หมื่น ก็ไม่มีประโยชน์ที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น ส่วนตัวผมคิดว่าอย่างแรก มนุษย์เงินเดือน ต้องกันรายเหลือไว้ก่อน จะออม 10% 20% 30% ก็แล้วแต่ แต่ขอให้ออม แล้วค่อยเอาไปลงทุน เพื่อทำให้เกิดรายรับจากการที่เราไม่ทำงานให้ได้ ผมว่าอิสรภาพทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน ต้องเริ่มจากรายรับหักรายเหลือ เท่ากับรายจ่าย ซึ่งเราต้องทำงบการใช้จ่ายหรือบัดเจ็ท เพื่อให้รู้รายรับและรายจ่ายของทุกเดือน และตั้งเป้าเก็บเงินให้มากกว่ารายจ่าย แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ไม่มีเป้าหมายทางการเงิน พอเก็บได้ 3 แสนดาวน์รถ 1 แสนก็กลายเป็นทริปซานโตรินิ พอ 3 หมื่นเป็นโน้ตบุ๊ค 1 หมื่นเป็นไอโฟน เวลาถามว่าใครมีเงิน 1 ล้านเป็นของตัวเองบ้าง ส่วนใหญ่จึงไม่มี "
วิรัตน์เล่าว่า ทุกวันนี้โดยส่วนตัวของเขามีรายได้ มาจาก 4 ทาง ส่วนแรกคือดอกเบี้ยรับ ที่เกิดจากการลงทุนในพันธบัตร และส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากเงินฝาก เพราะดอกเบี้ยน้อยมาก นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากเงินปันผล ซึ่งเกิดจากการลงทุนในหุ้นปันผล และมีส่วนแบ่งจากบริษัทที่เข้าไปร่วมลงทุน แต่เราไม่ได้ทำงาน เขาปันผลมาให้ ส่วนถัดมาเป็นค่าเช่าจากการลงทุนในคอนโดมิเนียม และสุดท้ายคือจากธุรกิจที่ลงทุนทำเอง ทั้งจากรีสอร์ทและธุรกิจอื่นๆ
"ทุกวันนี้ผมมีรายได้มาจากทุกทาง น้อยสุดคือดอกเบี้ยรับเพราะผลตอบแทนต่ำสุด ดีที่สุดคือพอร์ตหุ้นและบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ ผมว่าถ้าเล่นหุ้นได้ผลตอบแทนปีละ 20% แค่นี้เราก็เท่ห์แล้ว แต่บริษัทที่เราเป็นเจ้าของได้ 200 % อันนั้นดีกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกทุกวันว่า ดีที่สุดคือการเป็นเจ้าของบริษัทหรือกิจการ แต่ต้องทำให้เป็นระบบ เพราะการเป็นเจ้าของธุรกิจเราหนีปัญหาไม่พ้น ต้องคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอด แต่ถ้าเรามีเงินก้อนใหญ่พอ การเป็นนักลงทุนถือว่าดีที่สุด ที่ผ่านมามีคนชวนผมลงทุนซื้อทองผมบอกผมไม่ค่อยรู้ ไม่อยากลงทุน เพราะดูแล้วเราคุมไม่ได้ ตรงกันข้าม ถ้าเล่นหุ้น เราทำความรู้จักกับหุ้นได้ จะดีกว่ามั้ย ถ้าเลือกซื้อหุ้นที่เรารู้จัก ผมจึงเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทนที่จะเป็นทอง"
การลงทุนในตลาดหุ้นของเขานั้น ไม่ได้มีใครเป็นไอดอล เพียงแต่นำแนวคิดของหลายๆ คนมาผสมผสานกัน ทั้งวอร์เรน บัฟเฟต์ ปีเตอร์ ลินช์ และเทพ รุ่งธนาภิรมย์ โดยนำจุดเด่นของแต่ละคนมาผสมผสานกัน
"บัฟเฟต์บอกว่าจงกลัวขณะที่คนอื่นกล้า จงกล้าขณะคนอื่นกลัว ก็พยายามหยิบข้อคิดของเขามาใช้ แต่ที่จริงแล้วผมไม่มีไอดอล แต่คิดว่าเล่นหุ้นที่มีสไตล์และคาแรคเตอร์ของตัวเองมากกว่า สไตล์ของผมคือ เล่นตามแผน ไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง อย่าไปสนใจมาก เมนหลักผมเป็นนักธุรกิจ ถึงเวลาสอนหนังสือหรือลงทุนก็จัดสรรเวลาไป ผมจะดูหุ้นแค่เดือนละครั้ง เป้าหมายคือบิลด์ให้พอร์ตแข็งแรง มีความเสี่ยงต่ำลงเมื่ออายุมากขึ้น ตอนเงินน้อยเราเล่นเกมเสี่ยงมากได้ แต่พอเราอายุเยอะขึ้น ความเสี่ยงต้องต่ำลง เสี่ยงน้อยคือเล่นหุ้นตัวที่เรารู้จักจริงๆ เล่นตามเกม ไม่โลภ รู้คือไม่เสี่ยง ไม่รู้คือเสี่ยง ผลตอบแทนเป็นแค่รางวัลของการมีวินัยที่เราดูแลพอร์ตอย่างดี การเล่นหุ้นต้องไม่โลภ เพราะศัตรูของหุ้นคือความโลภ คนที่เล่นหุ้นและเรียนรู้ธรรมะไปด้วยจึงเอาชนะตลาดได้"
วิรัตน์ย้ำว่า นักลงทุนควรมีสไตล์ของตัวเอง ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องเริ่มค้นหาตัวเองก่อน อย่าเพิ่งลงทุนเยอะ วิธีลดความเสี่ยงคือลงทุนให้น้อย แล้วสร้างโมเดลของตัวเองขึ้นมา เล่นหุ้นไม่มีสูตร ชนะคือถูก แพ้คือผิด เมื่อไหร่ที่เจอโมลเดลที่ชนะ แปลว่าโมเดลนั้นถูก ก็ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนอะไร แต่เมื่อไหร่ที่แพ้ แสดงว่าโมเดลนั้นใช้ไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องราวการลงทุนในตลาดหุ้น แต่เมื่อถูกถามถึงการลงทุนโดยตรง วิรัตน์เล่าว่าที่ทำรีสอร์ทเพราะคนไทยมี Hospitality ดีที่สุดในโลก เมืองไทยมีทะเลที่สวย อาหารอร่อย เพื่อนบ้านอย่างจีนเมื่อมีเงินก็อยากมาเที่ยวไทย เขาจึงคิดหาโมเดลการลงทุนด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ หาคนที่ดีและเก่งมารักษาต่อยอดระบบ เริ่มจากเล็กลูกค้าจะชอบ และยึดหลักว่า"ไม่กู้ก็ไม่เจ๊ง" เพราะเมื่อไหร่ที่กู้ เราจะทำธุรกิจแบบเครียด ข้อสำคัญการลงทุนในธุรกิจขาขึ้นจะเป็นข้อดี นั่นเพราะ ทุกธุรกิจมีเริ่มต้น คงอยู่ และดับไป ถ้าลงทุนช่วงเทรนด์ดียังไงก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งเขามองว่าบูทีครีสอร์ทเป็นธุรกิจขาขึ้นของไทยในตอนนี้ ลงทุนในธุรกิจที่ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ยิ่งถ้าทำในทำเลสวยก็จะได้เปรียบ ข้อสำคัญอย่าเน้นกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง
"คอนเซปต์รีสอร์ทที่เกาะพยามของผม อยากให้เป็นมัลดีฟส์เมืองไทย เปิดมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้มี รีสอร์ทที่ 2 บนฝั่งระนอง คอนเซปต์เป็นซอเรนโต้เมืองไทย และจะเปิดที่หัวหิน เขาเต่า แต่ทุกอย่างเราเริ่มจากเล็กๆ เป้าหมายไม่ต้องการกำไรสูงสุดแต่ต้องไม่ขาดทุน และต้องการให้ลูกค้ามีความสุข คิดง่ายๆ ว่าถ้าเราเป็นลูกค้าเราอยากได้อะไร นั่นแหละคอนเซปต์ในการสร้างรีสอร์ท ยิ่งไม่คิดถึงกำไร จะยิ่งได้กำไร ลองสังเกตดูว่า คนเราถ้าเอาความสุขเป็นตัวตั้งจะทำงานอีกแบบ แต่ถ้าเอาความสำเร็จเป็นที่ตั้งก็จะเป็นอีกแบบ ตรงนี้เป็นโจทย์ยาก แต่ผมว่า พอทำงานสำเร็จถึงจุดหนึ่งเงินทองจะตามมาเอง สรุปแล้วเงินทองเป็นผลพลอยได้เป็นรางวัลของคนที่ทำงานสำเร็จ"
เพราะเป็นคนที่มีแบบแผนการใช้ชีวิตและการลงทุนที่ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน คนแบบนี้จึงไม่ได้มีแค่ความสำเร็จ แต่ยังมีความสุขพ่วงท้ายเป็นของกำนัลด้วย
ปล. บทความนี้ผมชอบมาก อ่านแล้วโดนครับ