ช็อก!! กันไปตามๆ กัน เมื่อมีข่าวการตรวจจับ "2 สถานเสริมความงามชื่อดัง" ย่านสยามสแควร์ ของกระทรวงสาธารณสุข และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)
ถือว่าเป็น "เรื่องใหญ่" ที่ต้องทำให้หันกลับมามองวงการความสวยความงามบ้านเราอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะ 2 สถานเสริมความงามที่ถูกจับนั้น ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ "ถูกต้องตามกฎหมาย"
ทว่า.... กลับทำผิดเสียเอง!!
สถานเสริมความงามแรกถูกจับกุม เพราะมีการจ่ายยาโดยไม่ใช่แพทย์
ส่วนสถานเสริมความงามอีกแห่งถูกจับกุมฐานมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
โดยนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ทั้ง 2 กรณีถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง!!!
พอเห็นอย่างนี้ ก็ชักหวั่นๆ เพราะสถานเสริมความงามในเมืองไทยมีเป็นพันๆ แห่ง!!
นายแพทย์ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ เผยว่า สถานเสริมความงามในประเทศไทยตอนนี้จดทะเบียนขออนุญาตเปิดให้บริการในฐานะคลินิกเวชกรรมทั่วไป โดยคำว่าเวชกรรมหมายถึง การรักษาโรคโดยไม่เจาะจง เป็นการบำบัดโรคด้วยยา ซึ่งมีในกรุงเทพฯ กว่า 2,000 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัดกว่า 7,000 แห่ง โดยทุกคลินิกที่เปิดได้ต้องมีแพทย์ประจำ ถ้าไม่มีถือว่าเป็นคลินิกเถื่อน
"คลินิกถูกกฎหมาย ด้านหน้าคลินิกต้องมีเลขที่ขออนุญาตเปิดให้บริการ 11 หลัก มีใบอนุญาตติดอยู่ที่ร้าน และมีรูปหน้าและชื่อของแพทย์หน้าห้องตรวจ"
เมื่อมีให้เต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อปี 2555 กระทรวงสาธารณสุขจับกุมคลินิกที่ทำผิดไปประมาณ 30-40 แห่ง
"ในอดีตไม่ค่อยมีเรื่องราวแบบนี้ เพิ่งมาระยะหลังเราเข้มงวดมากขึ้น มีคนร้องเรียนเพิ่มขึ้น คดีก็เพิ่มขึ้น" นายแพทย์ธาราเผย
ด้าน นายชาตรี พินใย นิติกรผู้ชำนาญการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) หนึ่งในผู้เข้าดำเนินการจับกุมสถาบันความงามทั้งสองแห่ง เสริมว่า เรื่องนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก ปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการความงามที่ไม่ใช่แพทย์ หรือที่เรียกว่า หมอเถื่อนจำนวนมาก เนื่องจากมีราคาถูก และประชาชนไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อตัวเองที่ใช้บริการไม่ได้มาตรฐาน และขาดความรู้ ส่วนใหญ่ทำตามที่เพื่อนบอก
"เรามีคลินิกเถื่อน หมอเถื่อน และยาเถื่อนเยอะมาก" บอกพร้อมย้ำเสียงยาวตรงคำว่า "มาก"
ส่วนประเด็นที่ 2 ชาตรี เผยว่า เป็นกลุ่มสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย กลุ่มนี้มีแพทย์ประจำคลินิก แต่มักเน้นหนักไปทางโฆษณาเกินจริง
ยกตัวอย่าง "คำโฆษณาเกินจริง" ที่ถ้าเห็นที่ไหนให้รู้ไว้ว่าสถาบันความงามนั้นกำลัง "หลอกลวง" ประชาชน
"สถาบันแห่งนี้ดีที่สุดในโลก, มีเครื่องมือทันสมัยที่สุดในประเทศไทย, นวัตกรรมนี้ทำได้คนเดียว, มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในไทย คำเหล่านี้ถือว่าโอ้อวดเกินไป หรือโฆษณาที่มีภาพเปรียบเทียบก่อน-หลัง หรือ บีฟอร์-อาฟเตอร์ก็ผิด เพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะทำออกมาให้เหมือนกับภาพคงเป็นไปไม่ได้" ชาตรีแจง
ที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ โปรโมชั่นต่างๆก็ถือว่าผิดกฎหมาย
"สถานเสริมความงามหรือคลินิกมีไว้เพื่อรักษาเท่านั้น ไม่ใช่ร้านขายของ กรณีนี้รวมไปถึงการขายยาโดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์เช่น เดินเข้าไปซื้อกับพนักงานโดยตรง อย่างนี้ผิด หรือแม้แต่การทำเลเซอร์ หรือการใช้เข็มฉีดยาไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น ถ้าแพทย์ไม่ได้เป็นผู้ทำให้ถือว่าผิดเช่นกัน"
ผู้บริโภคควรต้องศึกษาเรื่องนี้ก่อนเข้าใช้บริการ หากพบความไม่ชอบมาพากล สามารถร้องเรียนเข้าไปที่สายด่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โทร.0-2193-7999 เพราะการทำงานตรวจจับสถานความงามเหล่านี้จะดำเนินการก็ต่อเมื่อมีการ "ร้องเรียน" เข้าไปเท่านั้น
"การเข้าตรวจจับของเราจะทำเฉพาะมีเรื่องร้องเรียนเท่านั้น ถ้ามีเรื่องร้องเรียนเข้ามา เราจะเข้าไปล่อซื้อ ถ้าพบว่าทำผิดจริง จะจับกุมทันที โดยโทษมีแตกต่างกันไป เช่น หมอเถื่อน โทษติดคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท"
ร้องเรียนได้หากพบความผิดปกติ แต่ถ้าให้ดีอย่าให้พบเลยจะดีกว่า ไม่อยากให้การร้องเรียนเกิดขึ้นเพราะ "เสียโฉม" ไปแล้ว ปลอดภัยที่สุด ก่อนตัดสินใจเดินเข้าสถานเสริมความงาม ยึดคติดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท "ตรวจเช็ก" ให้ถ้วนถี่ดีที่สุด
"อย่างน้อยที่สุด ผู้บริโภคต้องคำนึงถึงความเสียหาย อย่าคิดว่าอะไรๆ ก็ถูกและง่ายไปหมด ก่อนเข้าใช้บริการเช็กชื่อสถานเสริมความงามว่าอย่างไร มีเลข 11 หลักหรือเปล่า ในร้านมีรูปหมอพร้อมชื่อหน้าห้องตรวจไหม หากไม่มีแพทย์ประจำ หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ ให้ยาปลอม รวมทั้งคนทำไม่ใช่แพทย์ สามารถโทร.ร้องเรียนได้ทันที และแนะนำให้ใช้บริการคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจะได้รับคุ้มครองผู้บริโภคเยียวยาจากหน่วยงานรัฐ" นิติกรผู้ชำนาญการทิ้งท้าย
คราวต่อไป ก่อนเปิดประตูเข้าสถานเสริมความงาม สังเกตสักนิดเพื่อความปลอดภัยของเราเอง!!
หน้า 25,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 5 มีนาคม 2556
โปรโมชั่น-บีฟอร์-อาฟเตอร์ คำลวง...ที่สาวๆ ต้องรู้
ถือว่าเป็น "เรื่องใหญ่" ที่ต้องทำให้หันกลับมามองวงการความสวยความงามบ้านเราอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะ 2 สถานเสริมความงามที่ถูกจับนั้น ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ "ถูกต้องตามกฎหมาย"
ทว่า.... กลับทำผิดเสียเอง!!
สถานเสริมความงามแรกถูกจับกุม เพราะมีการจ่ายยาโดยไม่ใช่แพทย์
ส่วนสถานเสริมความงามอีกแห่งถูกจับกุมฐานมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
โดยนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ทั้ง 2 กรณีถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง!!!
พอเห็นอย่างนี้ ก็ชักหวั่นๆ เพราะสถานเสริมความงามในเมืองไทยมีเป็นพันๆ แห่ง!!
นายแพทย์ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ เผยว่า สถานเสริมความงามในประเทศไทยตอนนี้จดทะเบียนขออนุญาตเปิดให้บริการในฐานะคลินิกเวชกรรมทั่วไป โดยคำว่าเวชกรรมหมายถึง การรักษาโรคโดยไม่เจาะจง เป็นการบำบัดโรคด้วยยา ซึ่งมีในกรุงเทพฯ กว่า 2,000 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัดกว่า 7,000 แห่ง โดยทุกคลินิกที่เปิดได้ต้องมีแพทย์ประจำ ถ้าไม่มีถือว่าเป็นคลินิกเถื่อน
"คลินิกถูกกฎหมาย ด้านหน้าคลินิกต้องมีเลขที่ขออนุญาตเปิดให้บริการ 11 หลัก มีใบอนุญาตติดอยู่ที่ร้าน และมีรูปหน้าและชื่อของแพทย์หน้าห้องตรวจ"
เมื่อมีให้เต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อปี 2555 กระทรวงสาธารณสุขจับกุมคลินิกที่ทำผิดไปประมาณ 30-40 แห่ง
"ในอดีตไม่ค่อยมีเรื่องราวแบบนี้ เพิ่งมาระยะหลังเราเข้มงวดมากขึ้น มีคนร้องเรียนเพิ่มขึ้น คดีก็เพิ่มขึ้น" นายแพทย์ธาราเผย
ด้าน นายชาตรี พินใย นิติกรผู้ชำนาญการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) หนึ่งในผู้เข้าดำเนินการจับกุมสถาบันความงามทั้งสองแห่ง เสริมว่า เรื่องนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก ปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการความงามที่ไม่ใช่แพทย์ หรือที่เรียกว่า หมอเถื่อนจำนวนมาก เนื่องจากมีราคาถูก และประชาชนไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อตัวเองที่ใช้บริการไม่ได้มาตรฐาน และขาดความรู้ ส่วนใหญ่ทำตามที่เพื่อนบอก
"เรามีคลินิกเถื่อน หมอเถื่อน และยาเถื่อนเยอะมาก" บอกพร้อมย้ำเสียงยาวตรงคำว่า "มาก"
ส่วนประเด็นที่ 2 ชาตรี เผยว่า เป็นกลุ่มสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย กลุ่มนี้มีแพทย์ประจำคลินิก แต่มักเน้นหนักไปทางโฆษณาเกินจริง
ยกตัวอย่าง "คำโฆษณาเกินจริง" ที่ถ้าเห็นที่ไหนให้รู้ไว้ว่าสถาบันความงามนั้นกำลัง "หลอกลวง" ประชาชน
"สถาบันแห่งนี้ดีที่สุดในโลก, มีเครื่องมือทันสมัยที่สุดในประเทศไทย, นวัตกรรมนี้ทำได้คนเดียว, มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในไทย คำเหล่านี้ถือว่าโอ้อวดเกินไป หรือโฆษณาที่มีภาพเปรียบเทียบก่อน-หลัง หรือ บีฟอร์-อาฟเตอร์ก็ผิด เพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะทำออกมาให้เหมือนกับภาพคงเป็นไปไม่ได้" ชาตรีแจง
ที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ โปรโมชั่นต่างๆก็ถือว่าผิดกฎหมาย
"สถานเสริมความงามหรือคลินิกมีไว้เพื่อรักษาเท่านั้น ไม่ใช่ร้านขายของ กรณีนี้รวมไปถึงการขายยาโดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์เช่น เดินเข้าไปซื้อกับพนักงานโดยตรง อย่างนี้ผิด หรือแม้แต่การทำเลเซอร์ หรือการใช้เข็มฉีดยาไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น ถ้าแพทย์ไม่ได้เป็นผู้ทำให้ถือว่าผิดเช่นกัน"
ผู้บริโภคควรต้องศึกษาเรื่องนี้ก่อนเข้าใช้บริการ หากพบความไม่ชอบมาพากล สามารถร้องเรียนเข้าไปที่สายด่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โทร.0-2193-7999 เพราะการทำงานตรวจจับสถานความงามเหล่านี้จะดำเนินการก็ต่อเมื่อมีการ "ร้องเรียน" เข้าไปเท่านั้น
"การเข้าตรวจจับของเราจะทำเฉพาะมีเรื่องร้องเรียนเท่านั้น ถ้ามีเรื่องร้องเรียนเข้ามา เราจะเข้าไปล่อซื้อ ถ้าพบว่าทำผิดจริง จะจับกุมทันที โดยโทษมีแตกต่างกันไป เช่น หมอเถื่อน โทษติดคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท"
ร้องเรียนได้หากพบความผิดปกติ แต่ถ้าให้ดีอย่าให้พบเลยจะดีกว่า ไม่อยากให้การร้องเรียนเกิดขึ้นเพราะ "เสียโฉม" ไปแล้ว ปลอดภัยที่สุด ก่อนตัดสินใจเดินเข้าสถานเสริมความงาม ยึดคติดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท "ตรวจเช็ก" ให้ถ้วนถี่ดีที่สุด
"อย่างน้อยที่สุด ผู้บริโภคต้องคำนึงถึงความเสียหาย อย่าคิดว่าอะไรๆ ก็ถูกและง่ายไปหมด ก่อนเข้าใช้บริการเช็กชื่อสถานเสริมความงามว่าอย่างไร มีเลข 11 หลักหรือเปล่า ในร้านมีรูปหมอพร้อมชื่อหน้าห้องตรวจไหม หากไม่มีแพทย์ประจำ หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ ให้ยาปลอม รวมทั้งคนทำไม่ใช่แพทย์ สามารถโทร.ร้องเรียนได้ทันที และแนะนำให้ใช้บริการคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจะได้รับคุ้มครองผู้บริโภคเยียวยาจากหน่วยงานรัฐ" นิติกรผู้ชำนาญการทิ้งท้าย
คราวต่อไป ก่อนเปิดประตูเข้าสถานเสริมความงาม สังเกตสักนิดเพื่อความปลอดภัยของเราเอง!!
หน้า 25,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 5 มีนาคม 2556