04 มี.ค. 2556 เวลา 17:55:26 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้เชี่ยวชาญแนะลงทุนเดือน มี.ค. ดูความเสี่ยงที่รับได้ก่อนจัดพอร์ต ด้านโบรกฯคาดกรอบแนวรับทั้งเดือนอยู่ที่ 1,511-1,486 จุด แนวต้านที่ 1,547-1,567 จุด ชี้ธีมเด่นน่าลงทุน เน้นหุ้นปันผล-ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยคงที่-มีปัจจัยบวกหนุน
น.ส.วรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน TISCO Wealth กล่าวว่า ในเดือน มี.ค.นี้ประเมินว่ากรอบการแกว่งตัวของดัชนีจะค่อนข้างแคบ (Side Way) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างดี หากนักลงทุนต้องการจัดพอร์ตให้เหมาะสมควรพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุน ที่รับได้
ทั้งนี้แนะนำว่า กรณีรับความเสี่ยงได้น้อยควรลงทุนตราสารหนี้ 75% หุ้น 15% และลงทุนทางเลือกที่รับความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น (ทั้งปีน่าจะอยู่ราว 3.3%) ได้ เช่น ทองคำ และ/หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 10% โดยหากถือยาวไปถึง 1 ปี จะให้ผลตอบแทนราว 5%
กรณีรับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำให้ลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 30% และทางเลือก 20% คาดว่าผลตอบแทนในช่วง 1 ปีอยู่ที่ราว 8-9% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำจัดให้ลงทุนหุ้น 75% ทางเลือก 20% และตราสารหนี้ 5% คาดว่าผลตอบแทนในช่วง 1 ปีอยู่ที่ราว 15%
ด้าน ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการบังคับตัดงบประมาณแบบถ้วนหน้าโดยอัตโนมัติ (Sequestration) ซึ่งทุกหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกตัดงบประมาณ ทำให้คนอเมริกันหลายหมื่นคนจะตกงานหรือถูกพักงานชั่วคราว จนอาจกระทบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้การจัดตั้งรัฐบาลอิตาลีและการเลือกผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ก็มีผลต่อมุมมองของนักลงทุนด้วย
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า การแกว่งตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือน มี.ค. ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,547-1,567 จุด แต่หากเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามามาก อาจผลักดันให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นไปได้อีก โดยกรณีที่ดีสุด (Best case) มีโอกาสพุ่งถึง 1,601 จุด
ขณะที่แนวรับ ในภาวะซื้อขายปกติคาดว่าจะแกว่งตัวที่ 1,511-1,486 จุด แต่หากเกิดความผันผวนทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศอาจเป็นแรงกดทำให้ ดัชนีตกลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 1,471 จุดได้
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตในเดือน มี.ค.แนะนำว่า ควรเลือกลงทุนหุ้นที่มีความโดดเด่น คือหุ้นที่ประกาศจ่ายปันผล เช่น บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เนื่องจากมีมุมมองบวกต่อการจ่ายปันผล รวมถึงการขายหุ้นเพื่อลดสัดส่วนการถือครองในบริษัท กันกุล พาวเวอร์เจน จำกัด (GPG) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าจะรุกโครงการใหม่ ๆ ที่จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) สูงขึ้น
"พอร์ตระยะกลาง-ยาวแนะนำ "ถือ" เพื่อให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือ "ซื้อ" เพิ่ม เพื่อรอรับการจ่ายปันผลเป็นหุ้นและในรูปเงินปันผล ส่วนพอร์ตระยะสั้นแนะนำ "เล่นรอบ" แนวต้าน 33-35 บาท" และยังแนะนำ "ซื้อ" บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6% โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 81 บาทด้วย
ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในช่วง ดอกเบื้ยคงที่ เช่น บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ซึ่งทิศทางธุรกิจค่อนข้างสดใส เนื่องจากผู้บริหารเชื่อมั่นว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตที่ 50%
นอกจาก นี้แนะนำหุ้นกลุ่มที่มีเหตุการณ์บวกสนับสนุน เช่น บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ราคาเป้าหมายที่ 267 บาท เนื่องจากได้รับความสำเร็จจากการควบคุมต้นทุน รวมถึงแผนการเปิดศูนย์กระจายสินค้า (DC) 2 แห่ง ในปี 2557 ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นโดยรวม
กูรูแนะจัดพอร์ตลงทุนโค้งท้ายQ1 แกะ3สูตรปั้นรีเทิร์นสูงสุด15%-ลุ้นดัชนีทะลุ1,600จุด
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้เชี่ยวชาญแนะลงทุนเดือน มี.ค. ดูความเสี่ยงที่รับได้ก่อนจัดพอร์ต ด้านโบรกฯคาดกรอบแนวรับทั้งเดือนอยู่ที่ 1,511-1,486 จุด แนวต้านที่ 1,547-1,567 จุด ชี้ธีมเด่นน่าลงทุน เน้นหุ้นปันผล-ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยคงที่-มีปัจจัยบวกหนุน
น.ส.วรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน TISCO Wealth กล่าวว่า ในเดือน มี.ค.นี้ประเมินว่ากรอบการแกว่งตัวของดัชนีจะค่อนข้างแคบ (Side Way) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างดี หากนักลงทุนต้องการจัดพอร์ตให้เหมาะสมควรพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุน ที่รับได้
ทั้งนี้แนะนำว่า กรณีรับความเสี่ยงได้น้อยควรลงทุนตราสารหนี้ 75% หุ้น 15% และลงทุนทางเลือกที่รับความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น (ทั้งปีน่าจะอยู่ราว 3.3%) ได้ เช่น ทองคำ และ/หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 10% โดยหากถือยาวไปถึง 1 ปี จะให้ผลตอบแทนราว 5%
กรณีรับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำให้ลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 30% และทางเลือก 20% คาดว่าผลตอบแทนในช่วง 1 ปีอยู่ที่ราว 8-9% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำจัดให้ลงทุนหุ้น 75% ทางเลือก 20% และตราสารหนี้ 5% คาดว่าผลตอบแทนในช่วง 1 ปีอยู่ที่ราว 15%
ด้าน ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการบังคับตัดงบประมาณแบบถ้วนหน้าโดยอัตโนมัติ (Sequestration) ซึ่งทุกหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกตัดงบประมาณ ทำให้คนอเมริกันหลายหมื่นคนจะตกงานหรือถูกพักงานชั่วคราว จนอาจกระทบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้การจัดตั้งรัฐบาลอิตาลีและการเลือกผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ก็มีผลต่อมุมมองของนักลงทุนด้วย
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า การแกว่งตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือน มี.ค. ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,547-1,567 จุด แต่หากเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามามาก อาจผลักดันให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นไปได้อีก โดยกรณีที่ดีสุด (Best case) มีโอกาสพุ่งถึง 1,601 จุด
ขณะที่แนวรับ ในภาวะซื้อขายปกติคาดว่าจะแกว่งตัวที่ 1,511-1,486 จุด แต่หากเกิดความผันผวนทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศอาจเป็นแรงกดทำให้ ดัชนีตกลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 1,471 จุดได้
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตในเดือน มี.ค.แนะนำว่า ควรเลือกลงทุนหุ้นที่มีความโดดเด่น คือหุ้นที่ประกาศจ่ายปันผล เช่น บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เนื่องจากมีมุมมองบวกต่อการจ่ายปันผล รวมถึงการขายหุ้นเพื่อลดสัดส่วนการถือครองในบริษัท กันกุล พาวเวอร์เจน จำกัด (GPG) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าจะรุกโครงการใหม่ ๆ ที่จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) สูงขึ้น
"พอร์ตระยะกลาง-ยาวแนะนำ "ถือ" เพื่อให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือ "ซื้อ" เพิ่ม เพื่อรอรับการจ่ายปันผลเป็นหุ้นและในรูปเงินปันผล ส่วนพอร์ตระยะสั้นแนะนำ "เล่นรอบ" แนวต้าน 33-35 บาท" และยังแนะนำ "ซื้อ" บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6% โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 81 บาทด้วย
ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในช่วง ดอกเบื้ยคงที่ เช่น บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ซึ่งทิศทางธุรกิจค่อนข้างสดใส เนื่องจากผู้บริหารเชื่อมั่นว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตที่ 50%
นอกจาก นี้แนะนำหุ้นกลุ่มที่มีเหตุการณ์บวกสนับสนุน เช่น บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ราคาเป้าหมายที่ 267 บาท เนื่องจากได้รับความสำเร็จจากการควบคุมต้นทุน รวมถึงแผนการเปิดศูนย์กระจายสินค้า (DC) 2 แห่ง ในปี 2557 ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นโดยรวม