ทนุศักดิ์ สั่งกรมบัญชีกลางเร่งหามาตรการประนีประนอมรองรับกรณีลูกค้ารถคันแรกขาดความสามารถผ่อนชำระ ชี้ไม่ต้องการเห็นราชการไล่ฟ้องประชาชน
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากหมดโครงการรถคันแรกไปแล้วเมื่อ 31 ธ.ค. 2556 พบว่าหลายฝ่ายมีความกังวลว่าผู้ซื้อบางส่วนจะมีปัญหาการผ่อนชำระ ทางภาครัฐได้เตรียมการรับมือ โดยสั่งการให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดข้อมูลการขอคืนรถของผู้ซื้อ เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังมีโครงการรถคันแรก
ในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ได้รับเงินภาษีคืนไปแล้ว แต่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ต่อนั้น จะเป็นหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง
“กรมบัญชีกลางจะทำหน้าที่มากกว่าการทวง คือ ช่วยคิด ช่วยคุยกับเจ้าของรถ หากปัญหาเริ่มก่อตัว และผมก็จะเรียกกรมบัญชีกลางเข้ามาหารือถึงวิธีการคุยกับลิซซิ่ง ไฟแนนซ์ เพราะอะไรที่พอจะยืดหยุ่นได้ก็ต้องทำ อย่าให้ถึงขนาดต้องให้ราชการไปไล่ฟ้องร้องกันเลย เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน”
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามพบว่าขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณผิดปกติ แต่คาดว่าหากมี ก็จะเริ่มเห็นได้ชัดในรอบการผ่อนชำระเดือนที่ 5-6 เป็นต้นไป และเห็นว่าการขาดส่งค่างวดจนถึงขั้นถูกไฟแนนซ์ยึดรถคืนนั้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีโครงการรถยนต์คันแรก และขณะนี้ก็ยังเห็นว่าสัดส่วนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติตามปริมาณการขายรถที่เพิ่มขึ้น
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด พบว่ากรมสรรพสามิตคืนเงินภาษีให้กับผู้ซื้อรถไปแล้ว 5 หมื่นราย มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในปีงบประมาณนี้ จะสามารถคืนเงินภาษีได้ประมาณ 70% ของจำนวนผู้ซื้อรถยนต์คันแรกทั้งหมด 1.25 ล้านคัน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะพยายามไม่ของบกลางเพื่อใช้ในโครงการนี้ เพราะมั่นใจว่าสามารถบริหารจัดการงบประมาณปกติได้อย่างแน่นอน
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้ 3 กรมจัดเก็บภาษี ไม่ว่าจะเป็น กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร และกรมศุลกากร ทำรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการและนโยบายของรัฐ เช่น มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 20% โครงการรถยนต์คันแรก และมาตรการหักค่าลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการบริจาคเพื่อการศึกษาและกีฬา เป็นต้น ว่ามีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ อย่างไรบ้างหรือไม่ และภาครัฐจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นจำนวนเท่าใด คาดว่าภายในเดือน มี.ค.นี้ น่าจะได้ข้อสรุปจากทั้ง 3 กรม
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://bit.ly/15hwnNd
'ทนุศักดิ์'ชี้รัฐพร้อมประนอมหนี้รถคันแรก
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากหมดโครงการรถคันแรกไปแล้วเมื่อ 31 ธ.ค. 2556 พบว่าหลายฝ่ายมีความกังวลว่าผู้ซื้อบางส่วนจะมีปัญหาการผ่อนชำระ ทางภาครัฐได้เตรียมการรับมือ โดยสั่งการให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดข้อมูลการขอคืนรถของผู้ซื้อ เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังมีโครงการรถคันแรก
ในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ได้รับเงินภาษีคืนไปแล้ว แต่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ต่อนั้น จะเป็นหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง
“กรมบัญชีกลางจะทำหน้าที่มากกว่าการทวง คือ ช่วยคิด ช่วยคุยกับเจ้าของรถ หากปัญหาเริ่มก่อตัว และผมก็จะเรียกกรมบัญชีกลางเข้ามาหารือถึงวิธีการคุยกับลิซซิ่ง ไฟแนนซ์ เพราะอะไรที่พอจะยืดหยุ่นได้ก็ต้องทำ อย่าให้ถึงขนาดต้องให้ราชการไปไล่ฟ้องร้องกันเลย เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน”
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามพบว่าขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณผิดปกติ แต่คาดว่าหากมี ก็จะเริ่มเห็นได้ชัดในรอบการผ่อนชำระเดือนที่ 5-6 เป็นต้นไป และเห็นว่าการขาดส่งค่างวดจนถึงขั้นถูกไฟแนนซ์ยึดรถคืนนั้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีโครงการรถยนต์คันแรก และขณะนี้ก็ยังเห็นว่าสัดส่วนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติตามปริมาณการขายรถที่เพิ่มขึ้น
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด พบว่ากรมสรรพสามิตคืนเงินภาษีให้กับผู้ซื้อรถไปแล้ว 5 หมื่นราย มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในปีงบประมาณนี้ จะสามารถคืนเงินภาษีได้ประมาณ 70% ของจำนวนผู้ซื้อรถยนต์คันแรกทั้งหมด 1.25 ล้านคัน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะพยายามไม่ของบกลางเพื่อใช้ในโครงการนี้ เพราะมั่นใจว่าสามารถบริหารจัดการงบประมาณปกติได้อย่างแน่นอน
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้ 3 กรมจัดเก็บภาษี ไม่ว่าจะเป็น กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร และกรมศุลกากร ทำรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการและนโยบายของรัฐ เช่น มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 20% โครงการรถยนต์คันแรก และมาตรการหักค่าลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการบริจาคเพื่อการศึกษาและกีฬา เป็นต้น ว่ามีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ อย่างไรบ้างหรือไม่ และภาครัฐจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นจำนวนเท่าใด คาดว่าภายในเดือน มี.ค.นี้ น่าจะได้ข้อสรุปจากทั้ง 3 กรม
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://bit.ly/15hwnNd