🚜😨~มาลาริน~พิษรถคันแรก

มีใครทราบกันบ้างไหมคะ...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถคันแรกที่ผ่านมา 5 ปี
มาอ่านบทความนี้กันค่ะ...😨😨😨😨😨

พิษรถคันแรก


โครงการ “รถคันแรก” ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีทั้งด้านดี และพิษร้าย

ด้านดี คือ กระตุ้นการซื้อรถในช่วงระยะเวลาที่ทำโครงการ

แต่ด้านลบ ดูจะร้ายแรง และเรื้อรังกว่า

จนถึงปัจจุบัน ยังมีพิษพ่นออกมาไม่หยุด สะท้อนว่าโครงการดำเนินการไม่รัดกุม มุ่งเอาคะแนนนิยมเฉพาะหน้า มากกว่าจะทำเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

1. ปรากฏว่า ปัจจุบัน มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถโอนรถให้กับบุคคลอื่น แม้จะครอบครองรถมาเกินระยะเวลา 5 ปี ตามหลักเกณฑ์ของโครงการรถคันแรกแล้ว เพราะเป็นรถที่ได้รับแจ้งว่าอยู่ในข่ายถูกตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ว่าอาจทำผิดเงื่อนไขโครงการ เช่น มีการเปลี่ยนมือเจ้าของรถก่อน หรือมีการขายก่อน 5 ปี บางรายที่อยู่ในข่ายไม่ควรได้รับเงินคืนภาษีมาตั้งแต่ต้น ซึ่งจะต้องนำเงินลดภาษีมาคืนให้กรมสรรพสามิตด้วย

2. ล่าสุด รายงานข่าวระบุว่า มีรถที่เข้าข่ายติดปัญหาการโอนอยู่ประมาณ 40,000

สาเหตุที่ติดปัญหาไม่สามารถโอนได้ เนื่องจากผู้ใช้สิทธิ์มีการยื่นเอกสารมาให้กรมล่าช้ากว่าที่ระเบียบกำหนดในสิ้น เดือนธ.ค. 2555 จึงทำให้ สตง.ตั้งข้อสังเกตว่าการยื่นเอกสารมาล่าช้าอาจไม่ตรงกับหลักเกณฑ์การได้รับสิทธิ์รถคันแรกตามที่มีมติ ครม.หรือไม่ จึงให้มีการชะลอการโอนสิทธิ์ไว้ก่อน จนกว่าจะมีการพิจารณาตัดสินชัดเจน คาดว่าจะหาข้อยุติปัญหาได้ภายใน 2 สัปดาห์ หรือไม่เกินกลางเดือนก.พ.นี้

3. นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อาวุโสสูงสุดรักษาการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า สตง.สุ่มตรวจโครงการรถยนต์คันแรกตั้งแต่ปี 2558 จำนวน 4,000 คัน จากนั้น แจ้งผลการสุ่มตรวจในปี 2559 ให้กับกรมสรรพสามิต พบว่า มีเจ้าของรถเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขการขอคืนเงิน ประมาณ 1,000 ราย ดังนั้น กลุ่มที่กระทำผิดเงื่อนไขต้องคืนเงินภาษีให้กับรัฐ

4. สำหรับโครงการรถคันแรก ดำเนินการในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นการให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ตามโครงการนี้ ด้วยการคืนภาษีสรรพสามิตให้ไม่เกินคันละ 1 แสนบาท

เริ่มโครงการ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2555

มีประชาชนมาขอใช้สิทธิ์ 1,255,942 คัน

คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืน 91,061 ล้านบาท โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องส่งสำเนาเอกสารภายใน 15 วัน

จะได้รับการคืนภาษีตั้งแต่ 4 หมื่น-1 แสนบาทต่อคัน

โดยโครงการตั้งเงื่อนไขต่างๆ เช่น ผู้ซื้อต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป, จะต้องไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อน, ระยะเวลา จะต้องซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554-31 ธันวาคม 2555, ราคารถยนต์นั้นจะต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท, รถยนต์ต้องมีเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (สำหรับรถกระบะจะไม่จำกัด ซีซี), ต้องเป็นรถใหม่

ประการสำคัญ ห้ามโอนเปลี่ยนมือใน 5 ปี

หลังจากนั้น ในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน 7,500 ล้านบาท ให้กรมสรรพสามิตคืนภาษีให้แก่ผู้ที่ครอบครองรถครบ 1 ปี ประมาณ 40,000 ราย วงเงิน 3,000 ล้านบาท

ในปีงบประมาณ 2556 จัดสรรงบ 18,000 ล้านบาท แต่ไม่เพียงพอ

กรมสรรพสามิตต้องทำเรื่องเสนอกระทรวงการคลังของบกลางอีก 20,000 ล้านบาท

ในปีงบประมาณ 2557 (1 ตุลาคม 2556-30 กันยายน 2557) รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณอีก30,000-40,000 ล้านบาทและปีงบประมาณ 2558 อีกจำนวนหนึ่ง

จนถึง 15 ตุลาคม2557 กรมสรรพสามิตได้จ่ายเงินให้ผู้ซื้อรถคันแรกไปแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท

กรมสรรพสามิตเคยสรุปตัวเลขผู้ใช้สิทธิจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2557 พบว่า มีผู้ใช้สิทธิ 1.19 ล้านราย

แต่มีผู้ใช้สิทธินำเงินมาคืนเนื่องจากผิดเงื่อนไขโครงการ 2,335 ราย กรมสรรพสามิตเรียกเงินคืน 2,175 ราย (จำนวนนี้ได้ส่งหนังสือขอเรียกเงินคืน 1,800 ราย ขอผ่อนผันชำระ 61 ราย และได้ยื่นฟ้องร้อง 314 ราย)

มีรถที่รอรับเงิน หรืออาจจะทิ้งจองไปแล้วกว่า 113,196 ราย กระทั่งมาถึงยุคนี้ กระทรวงการคลังจึงได้เสนอปิดโครงการรถยนต์คันแรก เพราะถือว่าให้เวลาในการยื่นจอใช้สิทธินานมากเกินไปแล้ว

เท่ากับว่า รัฐได้ใช้เงินแผ่นดินจ่ายคืนภาษีให้กับผู้เข้าโครงการรถคันแรกไปแล้วอย่างน้อย 8 หมื่นล้านบาท

5. ตัวอย่างของการทำผิดเงื่อนไข และต้องคืนเงิน

จากการตรวจสอบพบว่า สำนักงานสรรพสามิตในหลายพื้นที่ อาทิ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ชลบุรี 2, สำนักงานสรรพาสามิตพื้นที่พิจิตร, สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ราชบุรี, สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ได้มีการแก้ไขปัญหาตามที่ สตง.รายงาน ไม่ว่าจะเป็น กรณีเอกสารประกอบไม่ครบถ้วน รวมถึงการติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ขอใช้สิทธิที่ทำผิดเงื่อนไข อาทิ ชื่อตามใบจองรถยนต์เป็นคนละชื่อกับชื่อผู้ขอใช้สิทธิ อายุผู้ขอใช้สิทธิ์ไม่ครบ 21 ปีบริบูรณ์ ในช่วงจองรถยนต์ เป็นต้น

ตัวอย่าง ในพื้นที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ราชบุรี กรณีนายกองใจ ขอใช้สิทธิคืนเงินรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ ไทรทัน จำนวน 10,946 บาท ซึ่งกรมสรรพสามิต ทำการอนุมัติสิทธิคืนเงินให้ ก่อนที่จะมีการตรวจสอบเอกสารภายหลัง พบว่า ชื่อในใบจองเป็นคนละชื่อกับผู้ใช้สิทธิ

สำนักงานสรรพสามิต พื้นที่กรุงเทพมหานคร 4 กรณีนายชวนินทร์ อายุไม่ครบ 21 ปีบริบูรณ์ตอนจองรถยนต์ และรับรถยนต์ไม่ตรงรุ่น/หมายเลขเครื่องยนต์ และใบจองรถยนต์คนละชื่อกับชื่อผู้ขอใช้สิทธิ ซึ่งสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่กทม.4 ได้ดำเนินการติดตามเรียกเงินคืนจากนายชวนินทร์ แล้ว ฯลฯ

น่าสนใจว่า จะต้องมีการเรียกเงินคืนจากผู้ร่วมโครงการที่ได้เงินไปทั้งหมดอีกกี่คน เป็นจำนวนกี่ล้านบาท

และผู้ที่ดำเนินโครงการในขณะนั้น จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไร

6. เงินที่ใช้ซื้อรถคันแรกไปแล้ว 1 ล้านคันในยุคนั้น นับเป็นการใช้ดีมานด์ล่วงหน้าไปหลายปี

และถูกล็อกไว้ด้วยว่า 5 ปี ต้องถือครองรถ จะขายต่อไม่ได้หลังโครงการตลาดรถยนต์จึงซึมยาว ทั้งรถใหม่ รถมือสอง

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เคยสรุปผลจากนโยบายรถคันแรกว่า โครงการรถคันแรก มีผลดีตรงที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดการผลิตปี 2556 ขยับขึ้นเป็นปีละกว่า 2 ล้านคัน แต่ผลเสียก่อให้เกิดหนี้ครอบครัว จากการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงทุกประเภทสินค้า (หลังมีโครงการรถคันแรก)

นอกจากนี้ ในรายงานการตรวจสอบของ สตง. ได้ระบุถึงผลกระทบของโครงการที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องไว้ด้วย ระบุว่า “การดำเนินโครงการฯ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งโดยตรงและโดยอ้อม กล่าวคือ ผลกระทบโดยตรง โครงการฯ ดังกล่าวสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา รัฐยังสามารถเก็บภาษีต่อเนื่องได้เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีการเติบโตได้ระยะหนึ่ง แต่ขาดความยั่งยืน โดยเป็นการดึงอุปสงค์ (Demand) ในอนาคต คือ ความต้องการซื้อล่วงหน้ามาใช้ จึงส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตรถยนต์

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ซึ่งในส่วนของกรมสรรพสามิตได้เชิญสภาอุตสาหกรรมเพื่อปรึกษาหารือและให้ข้อมูลเมื่อเริ่มต้นโครงการฯ ต่อมาเมื่อมีการดำเนินโครงการฯ แล้วและมีการขยายการดำเนินโครงการฯ สภาอุตสาหกรรมไม่ได้รับการปรึกษาหารือ จึงทำให้ขาดข้อมูลที่เพียงพอต่อการบริหารอุตสาหกรรมยานยนต์ในขณะนั้น

สำหรับผลกระทบโดยอ้อม จากการที่ยอดการผลิตรถยนต์ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเลิกจ้างแรงงานบางส่วน มีการยึดรถขายทอดตลาดจำนวนมาก และยังส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งมีรถยนต์มือสองค้างในสต๊อกจำนวนมาก โดยมีเต็นท์รถยนต์มือสองหลายแห่งต้องปิดกิจการ นอกจากนี้ ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ก่อให้เกิดผลกระทบต่อปัญหาการจราจรและปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากผู้ซื้อรถยนต์คันแรกยังไม่มีความรู้ความชำนาญในการขับรถยนต์เพียงพอ”

นี่จึงเป็นตัวอย่างของนโยบายประชานิยมมุ่งคะแนนเสียงเลือกตั้งและหวังผลได้ในทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ฝากปัญหาไว้กับระบบอุตสาหกรรมรถยนต์ และทิ้งภาระเป็นเสมือนพิษร้ายไว้กับประชาชนผู้ร่วมโครงการอีกยาวนาน

สารส้ม

http://www.naewna.com/politic/columnist/33881

ดิฉันได้ติดตามข่าวนี้อยู่เหมือนกัน

แต่ไม่เห็นคนที่รับผิดชอบ ออกมาพูดอะไร

คนให้นโยบายก็หนีไปเสพสุขที่ต่างแดน

แต่ไม่เคยหันมามองซากรอยปรักหักพัง ที่ทำให้ไว้บ้านเมือง

ประชาชนได้แต่ขอร้องให้รัฐบาลลุงตู่ช่วยแก้ไข

เหนื่อยหัวใจจริงๆค่ะ....😨😨😨😨😨😨😨


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่