นายสนธิ ได้กล่าวถึงความรู้สึกต่อพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ช่วงก่อนปี 2540 และเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมา พล.อ.ชวลิต ลาออกจากนายกฯ และ นายชวน หลีกภัย ขึ้นมาเป็นแทน ช่วงนั้นเห็นว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ใช้ได้ พอแก้วิกฤตเศรษฐกิจก็ไปดึงนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งภาพลักษณ์ดีมาก มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอนที่เริ่มต้นตนก็สนับสนุน เขาตั้งใจมาแก้ปัญหาจริงๆ
แต่พอทำไปทำมามีความรู้สึกเหมือนกับว่า เขามีวาระซ่อนเร้นกัน โดยนายธารินทร์ ไปยอมรับเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟเข้ามาหมดทุกข้อ ที่สำคัญที่สุดคือกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แล้วกรอบไอเอ็มเอฟตอนนั้นมันได้ขยายตัวนอกเหนือจากเรื่องทางการเงิน เข้าไปสู่เรื่องทางพลังงาน น้ำมัน การเมืองระหว่างประเทศ ตอนนั้นตนก็เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการตั้ง ปรส. ไม่เห็นด้วยกับการซึ่งเชื้อเชิญฝรั่งเข้ามาซื้อทรัพย์สินของคนไทยในราคาถูก
ตนยังจำได้ว่าได้ทานข้าวกับ เอกมล คีรีวัฒน์ อดีตรองผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย วิโรจน์ นวลแข และนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ตนในฐานะบก.หนังสือพิมพ์ ถามว่าทำไมเราไม่แยกหนี้ดีหนี้เสียออก ทำไมต้องให้ทุกคนล้มไปหมด ทำไมต้องทำตามที่ฝรั่งบอก แล้วก็เสนอให้นายวิโรจน์ เข้ามาบริหารหนี้เสีย ตอนนั้นทุกคนเห็นด้วย แล้วก็เป็นจุดแรกที่ตนเริ่มรู้จักเนื้อแท้พรรคประชาธิปัตย์ คือเห็นด้วยแต่ไม่ทำ
ตอนนั้นนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นคนเริ่ม BIBF เปิดประตูให้ต่างชาติมาปล่อยกู้ในเมืองไทยได้ ในราคาที่ถูกมาก ตอนนั้นดอกเบี้ยทั่วโลกมันถูก 2% - 3% ดอกเบี้ยในประเทศไทย 12% คนก็ไปกู้เมืองนอกกัน แบงก์เมืองไทยก็กินส่วนต่าง แบงก์กู้มา 3 % ปล่อยในเมืองไทย 6% 8 % กินส่วนต่าง 5 % ในขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศ 12% คือพูดง่ายๆว่าในที่สุดแล้ว ก็เป็นการที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ คนที่เริ่มต้นคนแรกคือ พรรคประชาธิปัตย์ เพียงเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการร่วมกับผู้ว่าแบงก์ชาติ ตอนนั้นคือ นายวิจิตร สุพินิจ ต้องการที่จะแสดงออกให้เห็นว่า เมืองไทยพัฒนาการเงินไปถึงขั้นสากลแล้ว จนกระทั่งเขามีการเอามอร์แกน สแตนเลย์ เข้ามา โกลด์แมน แซคส์เข้ามา แล้วปรากฏว่า ไอ้คนพวกฝรั่งพวกนี้ ผูกพันและสนิทสนมกับสายการเงินของพรรคประชาธิปัตย์หมดทุกคน เปรียบเสมือนกับว่า คนพวกนี้ถูกคนในพรรคประชาธิปัตย์เชิญเข้ามา เพื่อมากระทืบคนไทย ตนก็ตะขิดตะขวงใจ และนโยบายหลายนโยบายออกมาในลักษณะที่มันเอื้อฝรั่งอย่างเดียว
"ซื้อหนี้มาก้อนนึง 100 บาท เอาอย่างนี้ หนี้สินเชื่อ หนี้ผ่อนรถยนต์ 2,000 ล้านบาท หนี้ 2,000 ล้านบาท หมายความว่าคนยังเป็นหนี้ 2,000 ล้าน มันซื้อไปในราคา 200 ล้าน พอมันซื้อเสร็จเรียบร้อยไอ้คนที่เป็นลูกหนี้มันยังอยู่ครบ และมันมาเก็บคนที่ผ่อนรถในราคา 2,000 ล้านเหมือนเดิม แทนที่มันจะซื้อมา 200 แล้วมันก็บอกเอาละ ลดหนี้ให้ แล้วคิดแค่ 400 ก็พอ แทนที่มันจะเป็น 2,000 ไม่มันเก็บเต็มเลย และมันก็มาตั้งกองทุนกัน และเอากองทุนพวกนี้ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไอ้ผู้จัดการกองทุนของฝรั่งที่มันมาปล้นคนไทยตอนนั้น ในที่สุดมันรวยจนกระทั่งมันอยู่ได้ 1-2 ปี มันลาออกจากบริษัทมันแล้วไปซื้อบ้านที่ภูเก็ตมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท นี่ไงคือฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์" นายสนธิ กล่าวขยายความ
นายสนธิ กล่าวว่า ช่วงนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์เคยลั่นปากบอกว่าจะไม่ให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเข้ามาทำข่าว แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนลงเลือกตั้งเขามากินก๋วยเตี๋ยวกับตน และบอกว่าจะเล่นการเมือง พร้อมที่จะเสียสละ เพราะรวยแล้ว พอแล้ว ก็เหมือนที่ไปหลอก พล.ต.จำลอง
แต่หลังจากนั้นพอทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ไปเรื่อยๆ มีความรู้สึกว่าลักษณะทักษิณมันเริ่มทะ
ๆ ก็เลยตัดสินใจไม่ยอมแล้ว ถึงแม้จะเป็นรายการช่อง 9 ก็สู้ เอาความจริงขึ้นมาเผย เรื่องละเมิดจัดพิธีใหญ่ที่วัดพระแก้ว แล้วในที่สุดตนก็ถูกปลดกลางอากาศ
ตอนที่สู้กับทักษิณครั้งนั้น แล้วทักษิณยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคอื่นไม่ลงสมัคร ให้ทักษิณลงพรรคเดียว ในที่สุดทักษิณก็ไปจ้างนอมินีมา ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่พอมามองย้อนหลังก็รู้ว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้งเพราะรู้ว่าลงยังไงก็แพ้ แต่ก็ถือว่าเขากล้าตัดสินใจ และอยากให้เก็บตรงนี้เอาไว้แล้วเปรียบเทียบกับตอนที่มาเป็นรัฐบาลร่วมกับนายเนวิน ชิดชอบ จะได้ให้เห็นว่าคนเรามันเปลี่ยนไปเยอะ อุดมการณ์มันหายไปแล้ว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า 5 ปีกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาล เราต้องยอมรับความจริงว่านักการเมืองถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล จน ผลประโยชน์ไม่มี พอการชุมนุมของพันธมิตรฯจุดติด พรรคประชาธิปัตย์ก็แห่แหนเข้ามาร่วมเลยทันที ส.ส.ภาคใต้ เอาพรรคพวกขึ้นมาร่วมชุมนุม พอมองย้อนไปพวกที่มาจากสายประชาธิปัตย์ต้องการจะล้มทักษิณอย่างเดียว เพื่อให้ประชาธิปัตย์ขึ้น เขามองคนละประเด็นกับเรา เพราะเราต้องการหาทางปฏิรูปการเมือง
แต่ประชาธิปัตย์ บอกว่าพันธมิตรไล่ทักษิณออกไปแล้วเอาประชาธิปัตย์ขึ้น คล้ายๆพฤษภาทมิฬ 2535 ที่พล.ต.จำลองออกไปสู้กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สู้อะไรเลยหลบมุมอยู่ รอจังหวะ พอพล.ต.จำลอง มีปัญหาปั๊บ เขาเสียบเข้ามาทันที แล้วความที่กลัวว่าพล.ต.จำลองจะดึงมวลชนได้ ก็เลยเกิดวลีที่บอกว่า "จำลองพาคนไปตาย" เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ยุคหนึ่งสมัยนั้นนานแล้ว ที่ให้คนวิ่งเข้าไปโรงหนัง ตะโกนบอกปรีดีฆ่ารัชกาลที่ 8 นี่คือผีมือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการใส่ร้ายคน อย่างหน้าด้านๆเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว แล้วมันก็ถ่ายทอดมาตลอด ไม่หยุดเลย
หลังจากนั้นเกิดการปฏิวัติ พ.ต.ท.ทักษิณออกไปนอกประเทศ ประชาธิปัตย์ก็มองว่าทักษิณไปแล้วจบ รีบเลือกตั้งใหม่ แต่พอเลือกตั้งใหม่ประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้ เลยไม่รู้จะพึ่งใครก็ต้องพึ่งไอ้สนธิ พี่ลอง พี่พิภพ สมเกียรติ แล้วตอนนั้นสมศักดิ์ โกศัยสุข ก็อยู่ด้วย ก็หวังว่าพวกเราจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง เพราะว่าพวกเราเป็นตัวขับเคลื่อนจริงๆ
แล้วจุดเปลี่ยนคือการชุมนุมที่สนามบิน แทนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะมองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองแบบนี้มันเป็นเพราะว่า ระบบการเมืองมันใช้ไม่ได้ ควรจะยุติให้นักการเมืองพัก อย่างน้อย 2-3 ปี แต่ดันไปแอบจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์และนายเนวิน
จนกระทั่งประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล หลังจากไม่ได้เป็นมานาน ทุกคนเลยลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยปฏิเสธการเลือกตั้ง เขามองว่ากูเป็นรัฐบาลแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วกูเกาะเอวเนวินได้ เข้าใจไหม นี่คือการเกี๊ยะเซี๊ยะ และเนวินคือใคร เนวินแท้ที่จริงแล้วคือตัวการที่สร้างกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา เป็นบิดาแห่งเสื้อแดงเลย ทุกคนกระเหี้ยนกระหือรือ ลืมอุดมการณ์ไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แล้วพวกสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็สร้างชุดภาษาว่าอย่างน้อยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลที่โปร่งใส แล้วจะได้ควบคุมเนวินได้ ทำให้ทักษิณไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงข้ามกับที่เชื่อหมดเลย เช่น เนวินกลายเป็นฝ่ายมาควบคุมพวกเขา เกิดการทุจริตเต็มไปหมด
ตนโดนยิง จับคนร้ายไม่ได้ พอมาตอนหลังถึงรู้ว่าเขาเริ่มสืบแล้วมันเข้าไปถึงรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ในรัฐบาลเก่าเลยสั่งให้หยุด
มีการแอบเจรจาผลประโยชน์กับเขมร กรณีวีระ - ราตรี ก็ไม่กล้าปกป้องรักษาดินแดนไทย รวมไปถึงเอ็มโอยู 2543 ตัวเองไม่สามารถยกเลิก แต่เอ็มโอยู 2544 ก็ไม่ยกเลิก ถอดยศทักษิณก็ไม่ทำ มันเลยทำให้มีความรู้สึกว่าไอ้พรรคนี้ ทำไม
โกหกเก่ง
เลย ตนลูกเจ๊กธรรมดายังอายมันเลย
โดยที่เราแตกหักกันจริงๆตอนที่ชุมนุม 158 วัน เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เพราะเป็นครั้งแรกที่จับโกหกอภิสิทธิ์ได้รายวัน นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ บอกการเมืองมันต้องเล่นในสภา มาเล่นการเมืองนอกถนน ริมถนน บนถนนได้ยังไง แต่พอตัวเองโดนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ยุให้ทุกคนมาเล่นการเมืองริมถนน จะเห็นว่าความ
ลงตับของคนพวกนี้มันมีอย่างชนิดที่เรียกว่ามันโกหกแบบหน้าด้านๆ
เรื่องแกนนำเสื้อแดงก็ไปเกี้ยเซียะตลอดเวลา ตอนที่เหตุการณ์การเผาบ้านเผาเมืองจบจับแกนนำเสื้อแดง ไปอยู่รีสอร์ตที่ค่ายนเรศวร มีอินเทอร์เน็ตให้เล่น มีหนังสือพิมพ์ให้ดู แล้วแอบเจรจากันตลอด ประประนอมส่งคนไปประกันตัว จะเห็นชัดว่าไอ้คนที่เกี๊ยะเซี๊ยะเสื้อแดงไม่ใช่เรา แต่เป็นพวกนี้ตลอดเวลา
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ที่น่าทุเรศที่สุดคือเรื่อง น.ส.ราตรี อันนี้ตนรับไม่ได้ที่พวกประชาธิปัตย์ออกมาต่อว่าเรื่องเข้าพบนายกฯ ถ้าฉลาดสักนิดน่าจะดูออกว่าเขาไปตามมารยาทในฐานะที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญเขาไปยืนยันต่อหน้ายิ่งลักษณ์ว่าเขายืนอยู่บนแผ่นดินไทย เป็นมัดตัวยิ่งลักษณ์และหวังว่าจะปกป้องชาติบ้านเมือง อย่าให้เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่อุบาทว์ที่สุดคือ นายพนิช วันที่เดินเข้าไปที่พื้นที่ซึ่งมีคลิปยืนยันชัดเจน พูดโทรศัพท์เองว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนสั่งการ นายอภิสิทธิ์ก็ยอมรับ แต่พอวันที่ไปรับน.ส.ราตรี กลับมา ดันบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ ไม่มีใครสั่งการ
สรุปด้วยเหตุนี้มันเลวพอๆ กับพรรคเพื่อไทย โครงการไทยเข้มแข็งก็โกง เหมือนกับไอ้โครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย ขอให้เป็นนักการเมืองมันทั้งสิ้น
...................................................
นายสนธิ ยังกล่าวถึงการตัดสินใจเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ว่า จะเลือกคนไหนก็ได้ มันเป็นอิสระเสรีภาพ ตนมองว่าชีวิตตนไม่ต้องการเป็นทาสความคิดใคร ไม่ต้องการเป็นทาสความกลัวใดๆ ตัดสินใจยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องที่คิดว่าการเลือกของตนนี่ถูกต้องแล้ว และจะไม่ยอมเลือกใครเพียงเพราะว่ากลัวอีกคนจะได้
อย่างสมมุติถ้าตนจะเลือกใครคนนึงเป็นผู้ว่าฯ ถึงเขาจะไม่ได้ แต่ตนอยากให้กำลังใจ ถึงเขาจะแพ้แต่อย่างน้อยที่สุด 1 เสียงของตนให้เขาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ดีควรแก่การให้กำลังใจ เพื่ออีกหน่อยคนดีๆจะได้กล้าออกมาบ้าง อย่าตกอยู่ในหลุมพรางแห่งความกลัว
ถ้ายังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเน่าๆเหมือนเดิม ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เราผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาแล้ว ต้องคิดเป็น เพราะว่า คนที่คิดไม่เป็น และโง่ถูกชุดภาษาและวาทกรรมหลอกไปอย่างนี้ วนอยู่เพียงแค่นี้ ถ้าไม่ชอบแล้วยังไง ถึงไม่ชอบก็ต้องเลือก เพราะอีกฝ่ายมันเผาบ้านเผาเมือง แล้วยังไง ก็อธิบายให้ฟังแล้วไง ไอ้ 2 ตัวนี้ มีตัวไหนดี เลวพอๆกัน ไม่มีเลวกว่าใคร
................
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000019863
ซี๊ดดดดด~ฟรูรูรูรูรู๊ บายจัยจุงเบ๊ยยยยยย
ยาวไปเลยครับพี่น้อง งิ๊~งิ๊ ผมเริ่มเชื่อสนธิแล้วจิก๊าบบบบ
"สนธิ" ชำแหละแมลงสาบ "ขี้โกหก" - แนะอย่าเลือกผู้ว่าฯด้วยความกลัว..(อยากให้ แฟนคลับ ปชป ได้อ่านจัง) ก
แต่พอทำไปทำมามีความรู้สึกเหมือนกับว่า เขามีวาระซ่อนเร้นกัน โดยนายธารินทร์ ไปยอมรับเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟเข้ามาหมดทุกข้อ ที่สำคัญที่สุดคือกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แล้วกรอบไอเอ็มเอฟตอนนั้นมันได้ขยายตัวนอกเหนือจากเรื่องทางการเงิน เข้าไปสู่เรื่องทางพลังงาน น้ำมัน การเมืองระหว่างประเทศ ตอนนั้นตนก็เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการตั้ง ปรส. ไม่เห็นด้วยกับการซึ่งเชื้อเชิญฝรั่งเข้ามาซื้อทรัพย์สินของคนไทยในราคาถูก
ตนยังจำได้ว่าได้ทานข้าวกับ เอกมล คีรีวัฒน์ อดีตรองผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย วิโรจน์ นวลแข และนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ตนในฐานะบก.หนังสือพิมพ์ ถามว่าทำไมเราไม่แยกหนี้ดีหนี้เสียออก ทำไมต้องให้ทุกคนล้มไปหมด ทำไมต้องทำตามที่ฝรั่งบอก แล้วก็เสนอให้นายวิโรจน์ เข้ามาบริหารหนี้เสีย ตอนนั้นทุกคนเห็นด้วย แล้วก็เป็นจุดแรกที่ตนเริ่มรู้จักเนื้อแท้พรรคประชาธิปัตย์ คือเห็นด้วยแต่ไม่ทำ
ตอนนั้นนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นคนเริ่ม BIBF เปิดประตูให้ต่างชาติมาปล่อยกู้ในเมืองไทยได้ ในราคาที่ถูกมาก ตอนนั้นดอกเบี้ยทั่วโลกมันถูก 2% - 3% ดอกเบี้ยในประเทศไทย 12% คนก็ไปกู้เมืองนอกกัน แบงก์เมืองไทยก็กินส่วนต่าง แบงก์กู้มา 3 % ปล่อยในเมืองไทย 6% 8 % กินส่วนต่าง 5 % ในขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศ 12% คือพูดง่ายๆว่าในที่สุดแล้ว ก็เป็นการที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ คนที่เริ่มต้นคนแรกคือ พรรคประชาธิปัตย์ เพียงเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการร่วมกับผู้ว่าแบงก์ชาติ ตอนนั้นคือ นายวิจิตร สุพินิจ ต้องการที่จะแสดงออกให้เห็นว่า เมืองไทยพัฒนาการเงินไปถึงขั้นสากลแล้ว จนกระทั่งเขามีการเอามอร์แกน สแตนเลย์ เข้ามา โกลด์แมน แซคส์เข้ามา แล้วปรากฏว่า ไอ้คนพวกฝรั่งพวกนี้ ผูกพันและสนิทสนมกับสายการเงินของพรรคประชาธิปัตย์หมดทุกคน เปรียบเสมือนกับว่า คนพวกนี้ถูกคนในพรรคประชาธิปัตย์เชิญเข้ามา เพื่อมากระทืบคนไทย ตนก็ตะขิดตะขวงใจ และนโยบายหลายนโยบายออกมาในลักษณะที่มันเอื้อฝรั่งอย่างเดียว
"ซื้อหนี้มาก้อนนึง 100 บาท เอาอย่างนี้ หนี้สินเชื่อ หนี้ผ่อนรถยนต์ 2,000 ล้านบาท หนี้ 2,000 ล้านบาท หมายความว่าคนยังเป็นหนี้ 2,000 ล้าน มันซื้อไปในราคา 200 ล้าน พอมันซื้อเสร็จเรียบร้อยไอ้คนที่เป็นลูกหนี้มันยังอยู่ครบ และมันมาเก็บคนที่ผ่อนรถในราคา 2,000 ล้านเหมือนเดิม แทนที่มันจะซื้อมา 200 แล้วมันก็บอกเอาละ ลดหนี้ให้ แล้วคิดแค่ 400 ก็พอ แทนที่มันจะเป็น 2,000 ไม่มันเก็บเต็มเลย และมันก็มาตั้งกองทุนกัน และเอากองทุนพวกนี้ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไอ้ผู้จัดการกองทุนของฝรั่งที่มันมาปล้นคนไทยตอนนั้น ในที่สุดมันรวยจนกระทั่งมันอยู่ได้ 1-2 ปี มันลาออกจากบริษัทมันแล้วไปซื้อบ้านที่ภูเก็ตมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท นี่ไงคือฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์" นายสนธิ กล่าวขยายความ
นายสนธิ กล่าวว่า ช่วงนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์เคยลั่นปากบอกว่าจะไม่ให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเข้ามาทำข่าว แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนลงเลือกตั้งเขามากินก๋วยเตี๋ยวกับตน และบอกว่าจะเล่นการเมือง พร้อมที่จะเสียสละ เพราะรวยแล้ว พอแล้ว ก็เหมือนที่ไปหลอก พล.ต.จำลอง
แต่หลังจากนั้นพอทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ไปเรื่อยๆ มีความรู้สึกว่าลักษณะทักษิณมันเริ่มทะๆ ก็เลยตัดสินใจไม่ยอมแล้ว ถึงแม้จะเป็นรายการช่อง 9 ก็สู้ เอาความจริงขึ้นมาเผย เรื่องละเมิดจัดพิธีใหญ่ที่วัดพระแก้ว แล้วในที่สุดตนก็ถูกปลดกลางอากาศ
ตอนที่สู้กับทักษิณครั้งนั้น แล้วทักษิณยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคอื่นไม่ลงสมัคร ให้ทักษิณลงพรรคเดียว ในที่สุดทักษิณก็ไปจ้างนอมินีมา ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่พอมามองย้อนหลังก็รู้ว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้งเพราะรู้ว่าลงยังไงก็แพ้ แต่ก็ถือว่าเขากล้าตัดสินใจ และอยากให้เก็บตรงนี้เอาไว้แล้วเปรียบเทียบกับตอนที่มาเป็นรัฐบาลร่วมกับนายเนวิน ชิดชอบ จะได้ให้เห็นว่าคนเรามันเปลี่ยนไปเยอะ อุดมการณ์มันหายไปแล้ว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า 5 ปีกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาล เราต้องยอมรับความจริงว่านักการเมืองถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล จน ผลประโยชน์ไม่มี พอการชุมนุมของพันธมิตรฯจุดติด พรรคประชาธิปัตย์ก็แห่แหนเข้ามาร่วมเลยทันที ส.ส.ภาคใต้ เอาพรรคพวกขึ้นมาร่วมชุมนุม พอมองย้อนไปพวกที่มาจากสายประชาธิปัตย์ต้องการจะล้มทักษิณอย่างเดียว เพื่อให้ประชาธิปัตย์ขึ้น เขามองคนละประเด็นกับเรา เพราะเราต้องการหาทางปฏิรูปการเมือง
แต่ประชาธิปัตย์ บอกว่าพันธมิตรไล่ทักษิณออกไปแล้วเอาประชาธิปัตย์ขึ้น คล้ายๆพฤษภาทมิฬ 2535 ที่พล.ต.จำลองออกไปสู้กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สู้อะไรเลยหลบมุมอยู่ รอจังหวะ พอพล.ต.จำลอง มีปัญหาปั๊บ เขาเสียบเข้ามาทันที แล้วความที่กลัวว่าพล.ต.จำลองจะดึงมวลชนได้ ก็เลยเกิดวลีที่บอกว่า "จำลองพาคนไปตาย" เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ยุคหนึ่งสมัยนั้นนานแล้ว ที่ให้คนวิ่งเข้าไปโรงหนัง ตะโกนบอกปรีดีฆ่ารัชกาลที่ 8 นี่คือผีมือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการใส่ร้ายคน อย่างหน้าด้านๆเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว แล้วมันก็ถ่ายทอดมาตลอด ไม่หยุดเลย
หลังจากนั้นเกิดการปฏิวัติ พ.ต.ท.ทักษิณออกไปนอกประเทศ ประชาธิปัตย์ก็มองว่าทักษิณไปแล้วจบ รีบเลือกตั้งใหม่ แต่พอเลือกตั้งใหม่ประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้ เลยไม่รู้จะพึ่งใครก็ต้องพึ่งไอ้สนธิ พี่ลอง พี่พิภพ สมเกียรติ แล้วตอนนั้นสมศักดิ์ โกศัยสุข ก็อยู่ด้วย ก็หวังว่าพวกเราจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง เพราะว่าพวกเราเป็นตัวขับเคลื่อนจริงๆ
แล้วจุดเปลี่ยนคือการชุมนุมที่สนามบิน แทนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะมองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองแบบนี้มันเป็นเพราะว่า ระบบการเมืองมันใช้ไม่ได้ ควรจะยุติให้นักการเมืองพัก อย่างน้อย 2-3 ปี แต่ดันไปแอบจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์และนายเนวิน
จนกระทั่งประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล หลังจากไม่ได้เป็นมานาน ทุกคนเลยลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยปฏิเสธการเลือกตั้ง เขามองว่ากูเป็นรัฐบาลแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วกูเกาะเอวเนวินได้ เข้าใจไหม นี่คือการเกี๊ยะเซี๊ยะ และเนวินคือใคร เนวินแท้ที่จริงแล้วคือตัวการที่สร้างกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา เป็นบิดาแห่งเสื้อแดงเลย ทุกคนกระเหี้ยนกระหือรือ ลืมอุดมการณ์ไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แล้วพวกสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็สร้างชุดภาษาว่าอย่างน้อยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลที่โปร่งใส แล้วจะได้ควบคุมเนวินได้ ทำให้ทักษิณไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงข้ามกับที่เชื่อหมดเลย เช่น เนวินกลายเป็นฝ่ายมาควบคุมพวกเขา เกิดการทุจริตเต็มไปหมด
ตนโดนยิง จับคนร้ายไม่ได้ พอมาตอนหลังถึงรู้ว่าเขาเริ่มสืบแล้วมันเข้าไปถึงรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ในรัฐบาลเก่าเลยสั่งให้หยุด
มีการแอบเจรจาผลประโยชน์กับเขมร กรณีวีระ - ราตรี ก็ไม่กล้าปกป้องรักษาดินแดนไทย รวมไปถึงเอ็มโอยู 2543 ตัวเองไม่สามารถยกเลิก แต่เอ็มโอยู 2544 ก็ไม่ยกเลิก ถอดยศทักษิณก็ไม่ทำ มันเลยทำให้มีความรู้สึกว่าไอ้พรรคนี้ ทำไมโกหกเก่งเลย ตนลูกเจ๊กธรรมดายังอายมันเลย
โดยที่เราแตกหักกันจริงๆตอนที่ชุมนุม 158 วัน เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เพราะเป็นครั้งแรกที่จับโกหกอภิสิทธิ์ได้รายวัน นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ บอกการเมืองมันต้องเล่นในสภา มาเล่นการเมืองนอกถนน ริมถนน บนถนนได้ยังไง แต่พอตัวเองโดนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ยุให้ทุกคนมาเล่นการเมืองริมถนน จะเห็นว่าความลงตับของคนพวกนี้มันมีอย่างชนิดที่เรียกว่ามันโกหกแบบหน้าด้านๆ
เรื่องแกนนำเสื้อแดงก็ไปเกี้ยเซียะตลอดเวลา ตอนที่เหตุการณ์การเผาบ้านเผาเมืองจบจับแกนนำเสื้อแดง ไปอยู่รีสอร์ตที่ค่ายนเรศวร มีอินเทอร์เน็ตให้เล่น มีหนังสือพิมพ์ให้ดู แล้วแอบเจรจากันตลอด ประประนอมส่งคนไปประกันตัว จะเห็นชัดว่าไอ้คนที่เกี๊ยะเซี๊ยะเสื้อแดงไม่ใช่เรา แต่เป็นพวกนี้ตลอดเวลา
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ที่น่าทุเรศที่สุดคือเรื่อง น.ส.ราตรี อันนี้ตนรับไม่ได้ที่พวกประชาธิปัตย์ออกมาต่อว่าเรื่องเข้าพบนายกฯ ถ้าฉลาดสักนิดน่าจะดูออกว่าเขาไปตามมารยาทในฐานะที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญเขาไปยืนยันต่อหน้ายิ่งลักษณ์ว่าเขายืนอยู่บนแผ่นดินไทย เป็นมัดตัวยิ่งลักษณ์และหวังว่าจะปกป้องชาติบ้านเมือง อย่าให้เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่อุบาทว์ที่สุดคือ นายพนิช วันที่เดินเข้าไปที่พื้นที่ซึ่งมีคลิปยืนยันชัดเจน พูดโทรศัพท์เองว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนสั่งการ นายอภิสิทธิ์ก็ยอมรับ แต่พอวันที่ไปรับน.ส.ราตรี กลับมา ดันบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ ไม่มีใครสั่งการ
สรุปด้วยเหตุนี้มันเลวพอๆ กับพรรคเพื่อไทย โครงการไทยเข้มแข็งก็โกง เหมือนกับไอ้โครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย ขอให้เป็นนักการเมืองมันทั้งสิ้น
...................................................
นายสนธิ ยังกล่าวถึงการตัดสินใจเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ว่า จะเลือกคนไหนก็ได้ มันเป็นอิสระเสรีภาพ ตนมองว่าชีวิตตนไม่ต้องการเป็นทาสความคิดใคร ไม่ต้องการเป็นทาสความกลัวใดๆ ตัดสินใจยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องที่คิดว่าการเลือกของตนนี่ถูกต้องแล้ว และจะไม่ยอมเลือกใครเพียงเพราะว่ากลัวอีกคนจะได้
อย่างสมมุติถ้าตนจะเลือกใครคนนึงเป็นผู้ว่าฯ ถึงเขาจะไม่ได้ แต่ตนอยากให้กำลังใจ ถึงเขาจะแพ้แต่อย่างน้อยที่สุด 1 เสียงของตนให้เขาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ดีควรแก่การให้กำลังใจ เพื่ออีกหน่อยคนดีๆจะได้กล้าออกมาบ้าง อย่าตกอยู่ในหลุมพรางแห่งความกลัว
ถ้ายังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเน่าๆเหมือนเดิม ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เราผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาแล้ว ต้องคิดเป็น เพราะว่า คนที่คิดไม่เป็น และโง่ถูกชุดภาษาและวาทกรรมหลอกไปอย่างนี้ วนอยู่เพียงแค่นี้ ถ้าไม่ชอบแล้วยังไง ถึงไม่ชอบก็ต้องเลือก เพราะอีกฝ่ายมันเผาบ้านเผาเมือง แล้วยังไง ก็อธิบายให้ฟังแล้วไง ไอ้ 2 ตัวนี้ มีตัวไหนดี เลวพอๆกัน ไม่มีเลวกว่าใคร
................ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000019863
ซี๊ดดดดด~ฟรูรูรูรูรู๊ บายจัยจุงเบ๊ยยยยยย
ยาวไปเลยครับพี่น้อง งิ๊~งิ๊ ผมเริ่มเชื่อสนธิแล้วจิก๊าบบบบ