อธิบายให้ฟังคร่าวๆก่อนนะครับ เมื่อประมาณ เดือนมีนาคมปี 54 ผมมีเหตุต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ โรงพยาบาล (การรักษาเป็นเรื่องเล็กนิดหน่อยไม่มีอะไรมากครับเลยไม่เล่าให้ฟัง) โดยใช้สิทธิประกันสังคม โดยก่อนเข้ารับการรักษาได้มีการตรวจวัดส่วนสูง น้ำหนัก และวัดความดันตามปกติแต่พยาบาลที่ทำการตรวจได้แจ้งว่า ความดันโลหิตสูง เมื่อรักษาอาการแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงต้องพบแพทย์ ประกันสังคมเพื่อทำการรักษาเรื่อง ความดันโลหิตสูง
แล้วก็ทำการรักษาและพบแพทย์เพื่อตรวจความเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3 เดือน จนความดันโลหิตอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง และเมื่อประมาณ เดือนมิถุนายนยนปี 55 ตรวจด้วยการเจาะเลือด 1 ครั้ง พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด คือ 6.2 (เกือบจะถึงค่าสูงสุดของค่าปกติคือ 4.3 - 6.3 ซึ่งระบุในใบตรวจเลือด และแพทย์อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า ยังไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงที่จะเป็น) แนะนำให้ควบคุมน้ำตาลด้วยตนเองและเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลอีกครั้งใน วันที่ 18 กันยายน 2555 แต่เพิ่มการตรวจเบาหวานที่จอประสาทตาด้วยครับ (ในรูปใบตรวจระดับน้ำตาลใบแรกนะครับ)ผบตรวจคือ ระดับน้ำตาลในเลือด 6.1 หมอบอกว่าอยู่ในระดับเดิม แต่ที่โชคดีก็คือ ไม่พบเบาหวานในจอประสาทตา แพทย์จึงยังไม่ทำการรักษาให้ เพราะยังไม่ได้เป็นเบาหวาน
ผลการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ในวันที่ 18 กันยายน 2555 ผลการตรวจคือ 6.1
แต่แล้ววันนี้ดีใจยิ่งกว่าก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดของผมลดลงครับจากเดิมที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานคือ 6.1 แต่วันนี้อยู่ที่ 5.8 ครับ คุณหมอยังชมเลยว่ามีการควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น แต่คุณหมอไม่ไ้ด้ถามหรอกนะว่าด้วยวิธีไหน ซึ่งผมเองก็ยังงงๆกับตัวเองเลยวา่าทำไมน้ำตาลในเลืดถึงได้ลดลง เพราะ ตอนที่ตรวจระดับน้ำตาลครั้งแรกแล้วพบว่าสูงนั้น ผมเริ่มลดการบริโภคน้ำตาลลงคือ งดน้ำอัดลม น้ำหวานทุกชนิด อาหารก็ลดปริมาณน้ำตาลลง แต่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ลดลงเลย แต่ครั้งหลังช่วงประมาณ 2 เดือนก่อนตรวจผมเริ่มหันมาดื่นน้ำอัดลม และน้ำตาล แต่ปริมาณน้ำตาลในเลือดกับลดลง
ผลการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ของวันนี้ครับ ผลการตรวจคือ 5.8
ผมเองก็พยายามหาความเป็นไปได้ที่ทำให้ระดับน้ำตาลลดลง แล้วสิ่งที่นึกได้ขึ้นมาก็คือ วันที่เจาะเลือดเพื่อตรวจเบาหวานครั้งที่ 2เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มการปั่นจักรยานให้จริงจังขึ้น ซึ่งก่อนหน้าการตรวจเลือดครั้งที่สองยังปั่นเบาๆ วันนึงปั่นได้สูงสุด 10 กิโลเมตร นิดหน่อย แต่หลังจากการตรวจเลือดครั้งที่สอง ผมก็เริ่มปั่นไกลขึ้นๆ บางวันปั่น 50 โลได้โดยที่ไม่ต้องหยุดพักเลย จนออกทริป 100 โลประมาณ 5 ครั้งแล้ว ระยะทางรวมก็น่าจะประมาณ 2 พันกิโลเมตร ได้แล้ว
ลองวิเคราะห์ข้อมูลคร่าวๆพบว่า ช่วงเวลาตั้งแต่ตรวจเลือดครั้งแรก กับครั้งสอง ลดการบริโภคน้ำตาล อย่างจริงจัง ระดับน้ำตาลในเลือดแทบไม่ลดลง ตอนนี้ยังไม่ได้ปั่นจักรยานเป็นจริงๆเป็นจัง แต่พอ ผ่านการตรวจเลือดครั้งที่สอง ผมก็เริ่มปั่นจักรยานเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ระดับน้ำตาลกับลดลง
การสรุปอาจจะดูค้านสายตาไปบ้าง แต่ผมก็เชื่อว่าการปั่นจักรยานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้เป็นแรงผลักกดันในการปั่นจักรยานของผมอีกเรื่อยขึ้นไปครับ แต่ผมก็จะไม่มองข้ามสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องลดและควบคุมการบริโภทน้ำตาลให้ได้ดีกว่าตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ความคิดของผมที่ว่า "การปั่นจักรยานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง" นั้นเป็นแค่ความเชื่อที่ผมจะใช้เป็นแรงผลักดันให้เพิ่มการออกกำลังกายเท่านั้นนะครับ ผมเองก็ไม่กล้าที่จะยืนยันว่ามันทำใ้ห้ลดลงได้จริงๆ ผู้ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ควรปรึกษาและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่ควรเอาข้อมูลของผมไปอ้างอิงเพื่อใช้เป็นแนวทางในการรักษาโรคเบาหวานนะครับ และขอให้ทุกท่าน ประสบผลสำเร็จในการดูแลสุขภาพ และการออกกำลังกาย ขอบคุณครับ
วันนี้ดีใจมากเลยครับ ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ถึงจะลดลงนิดหน่อย แต่สำหรับผมมีค่ามหาศาล ครับ
แล้วก็ทำการรักษาและพบแพทย์เพื่อตรวจความเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3 เดือน จนความดันโลหิตอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง และเมื่อประมาณ เดือนมิถุนายนยนปี 55 ตรวจด้วยการเจาะเลือด 1 ครั้ง พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด คือ 6.2 (เกือบจะถึงค่าสูงสุดของค่าปกติคือ 4.3 - 6.3 ซึ่งระบุในใบตรวจเลือด และแพทย์อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า ยังไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงที่จะเป็น) แนะนำให้ควบคุมน้ำตาลด้วยตนเองและเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลอีกครั้งใน วันที่ 18 กันยายน 2555 แต่เพิ่มการตรวจเบาหวานที่จอประสาทตาด้วยครับ (ในรูปใบตรวจระดับน้ำตาลใบแรกนะครับ)ผบตรวจคือ ระดับน้ำตาลในเลือด 6.1 หมอบอกว่าอยู่ในระดับเดิม แต่ที่โชคดีก็คือ ไม่พบเบาหวานในจอประสาทตา แพทย์จึงยังไม่ทำการรักษาให้ เพราะยังไม่ได้เป็นเบาหวาน
ผลการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ในวันที่ 18 กันยายน 2555 ผลการตรวจคือ 6.1
แต่แล้ววันนี้ดีใจยิ่งกว่าก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดของผมลดลงครับจากเดิมที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานคือ 6.1 แต่วันนี้อยู่ที่ 5.8 ครับ คุณหมอยังชมเลยว่ามีการควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น แต่คุณหมอไม่ไ้ด้ถามหรอกนะว่าด้วยวิธีไหน ซึ่งผมเองก็ยังงงๆกับตัวเองเลยวา่าทำไมน้ำตาลในเลืดถึงได้ลดลง เพราะ ตอนที่ตรวจระดับน้ำตาลครั้งแรกแล้วพบว่าสูงนั้น ผมเริ่มลดการบริโภคน้ำตาลลงคือ งดน้ำอัดลม น้ำหวานทุกชนิด อาหารก็ลดปริมาณน้ำตาลลง แต่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ลดลงเลย แต่ครั้งหลังช่วงประมาณ 2 เดือนก่อนตรวจผมเริ่มหันมาดื่นน้ำอัดลม และน้ำตาล แต่ปริมาณน้ำตาลในเลือดกับลดลง
ผลการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ของวันนี้ครับ ผลการตรวจคือ 5.8
ผมเองก็พยายามหาความเป็นไปได้ที่ทำให้ระดับน้ำตาลลดลง แล้วสิ่งที่นึกได้ขึ้นมาก็คือ วันที่เจาะเลือดเพื่อตรวจเบาหวานครั้งที่ 2เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มการปั่นจักรยานให้จริงจังขึ้น ซึ่งก่อนหน้าการตรวจเลือดครั้งที่สองยังปั่นเบาๆ วันนึงปั่นได้สูงสุด 10 กิโลเมตร นิดหน่อย แต่หลังจากการตรวจเลือดครั้งที่สอง ผมก็เริ่มปั่นไกลขึ้นๆ บางวันปั่น 50 โลได้โดยที่ไม่ต้องหยุดพักเลย จนออกทริป 100 โลประมาณ 5 ครั้งแล้ว ระยะทางรวมก็น่าจะประมาณ 2 พันกิโลเมตร ได้แล้ว
ลองวิเคราะห์ข้อมูลคร่าวๆพบว่า ช่วงเวลาตั้งแต่ตรวจเลือดครั้งแรก กับครั้งสอง ลดการบริโภคน้ำตาล อย่างจริงจัง ระดับน้ำตาลในเลือดแทบไม่ลดลง ตอนนี้ยังไม่ได้ปั่นจักรยานเป็นจริงๆเป็นจัง แต่พอ ผ่านการตรวจเลือดครั้งที่สอง ผมก็เริ่มปั่นจักรยานเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ระดับน้ำตาลกับลดลง
การสรุปอาจจะดูค้านสายตาไปบ้าง แต่ผมก็เชื่อว่าการปั่นจักรยานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้เป็นแรงผลักกดันในการปั่นจักรยานของผมอีกเรื่อยขึ้นไปครับ แต่ผมก็จะไม่มองข้ามสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องลดและควบคุมการบริโภทน้ำตาลให้ได้ดีกว่าตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ความคิดของผมที่ว่า "การปั่นจักรยานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง" นั้นเป็นแค่ความเชื่อที่ผมจะใช้เป็นแรงผลักดันให้เพิ่มการออกกำลังกายเท่านั้นนะครับ ผมเองก็ไม่กล้าที่จะยืนยันว่ามันทำใ้ห้ลดลงได้จริงๆ ผู้ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ควรปรึกษาและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่ควรเอาข้อมูลของผมไปอ้างอิงเพื่อใช้เป็นแนวทางในการรักษาโรคเบาหวานนะครับ และขอให้ทุกท่าน ประสบผลสำเร็จในการดูแลสุขภาพ และการออกกำลังกาย ขอบคุณครับ