เบาหวานเข้าจอประสาทตา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ตรวจเช็กดวงตาเป็นประจำ
เพื่อป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
อย่าปล่อยให้เบาหวานทำร้ายดวงตาของคุณ
เบาหวานเข้าจอประสาทตาคืออะไร
เบาหวานเข้าจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ส่งผลกระทบต่อจอประสาทตา
ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางที่อยู่ด้านหลังลูกตาและมีบทบาทสำคัญในการมองเห็น
โรคนี้เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดในจอประสาทตา
อาจนำไปสู่การมองเห็นลดลงหรือถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
โรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสมอาจทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาเสื่อมสภาพ
หลอดเลือดเหล่านี้อาจเกิดการรั่วซึม ตีบตัน หรือเกิดเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ (Neovascularization)
ซึ่งมักจะเปราะบางและแตกง่าย กระบวนการนี้นำไปสู่การบวมของจอประสาทตา การเกิดจุดเลือดออก และการสร้างเนื้อเยื่อพังผืด
ระยะของเบาหวานเข้าจอประสาทตา
ระยะแรก (Non-Proliferative Diabetic Retinopathy - NPDR):
หลอดเลือดเล็ก ๆ รั่วซึมเกิดจุดเลือดออกและโปรตีนสะสมในจอประสาทตา
อาจมีการบวมของจุดรับภาพ (Macular Edema) ทำให้การมองเห็นพร่ามัว
ระยะรุนแรง (Proliferative Diabetic Retinopathy - PDR):
เส้นเลือดใหม่เกิดขึ้นในจอประสาทตา ซึ่งเปราะบางและแตกง่าย
อาจเกิดเลือดออกในวุ้นตา (Vitreous Hemorrhage) หรือการดึงรั้งจอประสาทตาจากพังผืด
นำไปสู่จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment)
อาการของเบาหวานเข้าจอประสาทตา
การมองเห็นพร่ามัว
เห็นจุดดำหรือเส้นขีดลอยในสายตา (Floaters)
มองเห็นแสงวาบ (Flashes)
สูญเสียการมองเห็นแบบกะทันหันในบางกรณี
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น ดังนั้นการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
แพทย์ตาจะทำการตรวจจอประสาทตาด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น
การส่องตรวจจอประสาทตา (Fundus Examination): ใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อดูจอประสาทตาอย่างละเอียด
การฉีดสี Fluorescein Angiography: เพื่อตรวจหาหลอดเลือดที่ผิดปกติ
การถ่ายภาพจอประสาทตาด้วยคลื่นแสง (Optical Coherence Tomography - OCT): เพื่อดูรายละเอียดความเสียหาย
การรักษาเบาหวานเข้าจอประสาทตา
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: การรักษาเบาหวานอย่างเคร่งครัดช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและชะลอการลุกลาม
การฉีดยารักษา (Anti-VEGF): ยากลุ่ม Anti-VEGF เช่น Ranibizumab หรือ Aflibercept ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดใหม่และลดอาการบวม
การเลเซอร์จอประสาทตา (Photocoagulation): ช่วยปิดหลอดเลือดที่ผิดปกติและลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็น
การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy): ใช้ในกรณีที่มีเลือดออกในวุ้นตาหรือจอประสาทตาลอก
การป้องกันเบาหวานเข้าจอประสาทตา
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือด
ตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยขึ้นหากมีความเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดูแลสุขภาพโดยรวม
เบาหวานเข้าจอประสาทตาเป็นโรคที่สามารถป้องกันและชะลอได้หากผู้ป่วยดูแลตนเองและเข้ารับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เมื่อตรวจพบความผิดปกติในสายตา
เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยรักษาการมองเห็นได้ดีกว่าในระยะที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงแล้ว
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=yl4wPFI_YAE
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=970717395094783&id=100064695936129&set=a.638917681608091
อย่าปล่อยให้เบาหวานทำร้ายดวงตาของคุณ
เพื่อป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้ อย่าปล่อยให้เบาหวานทำร้ายดวงตาของคุณ
เบาหวานเข้าจอประสาทตาคืออะไร
เบาหวานเข้าจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ส่งผลกระทบต่อจอประสาทตา
ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางที่อยู่ด้านหลังลูกตาและมีบทบาทสำคัญในการมองเห็น
โรคนี้เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดในจอประสาทตา
อาจนำไปสู่การมองเห็นลดลงหรือถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
โรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสมอาจทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาเสื่อมสภาพ
หลอดเลือดเหล่านี้อาจเกิดการรั่วซึม ตีบตัน หรือเกิดเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ (Neovascularization)
ซึ่งมักจะเปราะบางและแตกง่าย กระบวนการนี้นำไปสู่การบวมของจอประสาทตา การเกิดจุดเลือดออก และการสร้างเนื้อเยื่อพังผืด
ระยะของเบาหวานเข้าจอประสาทตา
ระยะแรก (Non-Proliferative Diabetic Retinopathy - NPDR):
หลอดเลือดเล็ก ๆ รั่วซึมเกิดจุดเลือดออกและโปรตีนสะสมในจอประสาทตา
อาจมีการบวมของจุดรับภาพ (Macular Edema) ทำให้การมองเห็นพร่ามัว
ระยะรุนแรง (Proliferative Diabetic Retinopathy - PDR):
เส้นเลือดใหม่เกิดขึ้นในจอประสาทตา ซึ่งเปราะบางและแตกง่าย
อาจเกิดเลือดออกในวุ้นตา (Vitreous Hemorrhage) หรือการดึงรั้งจอประสาทตาจากพังผืด
นำไปสู่จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment)
อาการของเบาหวานเข้าจอประสาทตา
การมองเห็นพร่ามัว
เห็นจุดดำหรือเส้นขีดลอยในสายตา (Floaters)
มองเห็นแสงวาบ (Flashes)
สูญเสียการมองเห็นแบบกะทันหันในบางกรณี
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น ดังนั้นการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
แพทย์ตาจะทำการตรวจจอประสาทตาด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น
การส่องตรวจจอประสาทตา (Fundus Examination): ใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อดูจอประสาทตาอย่างละเอียด
การฉีดสี Fluorescein Angiography: เพื่อตรวจหาหลอดเลือดที่ผิดปกติ
การถ่ายภาพจอประสาทตาด้วยคลื่นแสง (Optical Coherence Tomography - OCT): เพื่อดูรายละเอียดความเสียหาย
การรักษาเบาหวานเข้าจอประสาทตา
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: การรักษาเบาหวานอย่างเคร่งครัดช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและชะลอการลุกลาม
การฉีดยารักษา (Anti-VEGF): ยากลุ่ม Anti-VEGF เช่น Ranibizumab หรือ Aflibercept ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดใหม่และลดอาการบวม
การเลเซอร์จอประสาทตา (Photocoagulation): ช่วยปิดหลอดเลือดที่ผิดปกติและลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็น
การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy): ใช้ในกรณีที่มีเลือดออกในวุ้นตาหรือจอประสาทตาลอก
การป้องกันเบาหวานเข้าจอประสาทตา
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือด
ตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยขึ้นหากมีความเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดูแลสุขภาพโดยรวม
เบาหวานเข้าจอประสาทตาเป็นโรคที่สามารถป้องกันและชะลอได้หากผู้ป่วยดูแลตนเองและเข้ารับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เมื่อตรวจพบความผิดปกติในสายตา
เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยรักษาการมองเห็นได้ดีกว่าในระยะที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงแล้ว
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=yl4wPFI_YAE
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=970717395094783&id=100064695936129&set=a.638917681608091