อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงโชว์หลักฐานหนังสือคัดค้านการประมูลการก่อสร้างโรงพักของผู้รับเหมาที่รวมตัวกันยื่นต่อ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” สมัยเรืองอำนาจกำกับดูแล สตช.
วันนี้ (6 ก.พ.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าวประจำสัปดาห์กรณีความคืบหน้าการสอบสวนโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) และการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า ล่าสุดดีเอสไอพบหลักฐานสำคัญว่าก่อนหน้าที่จะมีการยกเลิกคำสั่งอนุมัติก่อสร้างเป็นรายกองบัญชาการ 1-9 มาเป็นการประมูลแบบรวมสัญญา
บริษัทผู้รับเหมาเคยรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล สตช.ในขณะนั้น ซึ่งมีสาระสำคัญระบุว่า หาก สตช.จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมจากการประมูลรายภาคมาเป็นสัญญาเดียวทั้ง 2 โครงการ ก็ขอให้นายกฯ อย่าได้ลงนามอนุมัติหรือเห็นชอบโดยเด็ดขาด เพราะการจัดซื้อจัดจ้างวิธีดังกล่าวจะเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รับจ้างส่วนใหญ่ของประเทศ นายกฯ เห็นชอบและอนุมัติจะเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างเพียงรายเดียวทันที เพราะผู้รับจ้างในภูมิภาคมีผลงานการก่อสร้างและวงเงินค้ำประกันสัญญาไม่สูงพอที่จะรับงาน อีกทั้งการก่อสร้างโดยรวมเพียงสัญญาเดียวก็ขัดต่อความเป็นจริงโดยทั่วไป เพราะผู้รับจ้างรายเดียวไม่สามารถก่อสร้างอาคารในสถานที่ห่างไกลทั่วประเทศได้ภายในระยะเวลาพร้อมกัน
นายธาริตยังกล่าวต่อว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังยกตัวอย่างความล้มเหลวการจัดจ้างแบบรวบสัญญาที่ สตช.เคยประสบมาแล้ว คือ แฟลตตำรวจ ที่มอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการแล้วไม่สามารถแล้วเสร็จตามสัญญา เช่น ในจังหวัดภาคเหนือ และชายแดนภาคใต้ ที่ใช้เวลาก่อสร้างนาน 4-5 ปี อีกทั้งที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดใช้แนวทางจัดจ้างแบบรวมงบประมาณเป็นสัญญาเดียว เช่น การก่อสร้างโรงพยาบาล หอพักแพทย์ พยาบาลทั่วประเทศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี 2) เช่นเดียวกับ สตช.ก็ไม่ใช้วิธีจัดจ้างแบบรวมสัญญา ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายฮั้วประมูล โดยหนังสือฉบับดังกล่าวมีการเข้าชื่อกันเป็นหางว่าวรวม 8 บริษัท โดยชื่อแรกที่ร่วมคัดค้านคือบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งนี้ ดีเอสไอจึงเห็นควรว่าจำเป็นต้องเรียกนายอภิสิทธิ์เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเช่นกัน และหากพบว่ามีมูลความผิดก็ต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไต่สวนต่อไป
“ขณะนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งหนังสือฉบับดังกล่าวส่งบุคคลทั้งสอง แต่การคัดค้านไม่เป็นผล ฝ่ายการเมืองยังคงสั่งอนุมัติยกเลิกให้รวมเป็นสัญญาเดียว เมื่อมีหลักฐานโยงไปถึงนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นจึงได้หารือพนักงานสอบสวนแล้วว่า นอกจากนายสุเทพแล้วจำเป็นต้องเชิญนายอภิสิทธิ์มาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม” นายธาริตกล่าว
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000015567
แมงสาบหนอแมงสาบ โกหกทีไรโดนเค้าจับได้ไล่xxxทุกที อยู่มาถึงป่านนี้ได้ไง งงจุงเบย
ดีเอสไอโชว์หลักฐานเด็ดเอาผิด แมงสาบ อนุมัติสร้างโรงพักฉาว
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงโชว์หลักฐานหนังสือคัดค้านการประมูลการก่อสร้างโรงพักของผู้รับเหมาที่รวมตัวกันยื่นต่อ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” สมัยเรืองอำนาจกำกับดูแล สตช.
วันนี้ (6 ก.พ.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าวประจำสัปดาห์กรณีความคืบหน้าการสอบสวนโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) และการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า ล่าสุดดีเอสไอพบหลักฐานสำคัญว่าก่อนหน้าที่จะมีการยกเลิกคำสั่งอนุมัติก่อสร้างเป็นรายกองบัญชาการ 1-9 มาเป็นการประมูลแบบรวมสัญญา บริษัทผู้รับเหมาเคยรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล สตช.ในขณะนั้น ซึ่งมีสาระสำคัญระบุว่า หาก สตช.จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมจากการประมูลรายภาคมาเป็นสัญญาเดียวทั้ง 2 โครงการ ก็ขอให้นายกฯ อย่าได้ลงนามอนุมัติหรือเห็นชอบโดยเด็ดขาด เพราะการจัดซื้อจัดจ้างวิธีดังกล่าวจะเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รับจ้างส่วนใหญ่ของประเทศ นายกฯ เห็นชอบและอนุมัติจะเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างเพียงรายเดียวทันที เพราะผู้รับจ้างในภูมิภาคมีผลงานการก่อสร้างและวงเงินค้ำประกันสัญญาไม่สูงพอที่จะรับงาน อีกทั้งการก่อสร้างโดยรวมเพียงสัญญาเดียวก็ขัดต่อความเป็นจริงโดยทั่วไป เพราะผู้รับจ้างรายเดียวไม่สามารถก่อสร้างอาคารในสถานที่ห่างไกลทั่วประเทศได้ภายในระยะเวลาพร้อมกัน
นายธาริตยังกล่าวต่อว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังยกตัวอย่างความล้มเหลวการจัดจ้างแบบรวบสัญญาที่ สตช.เคยประสบมาแล้ว คือ แฟลตตำรวจ ที่มอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการแล้วไม่สามารถแล้วเสร็จตามสัญญา เช่น ในจังหวัดภาคเหนือ และชายแดนภาคใต้ ที่ใช้เวลาก่อสร้างนาน 4-5 ปี อีกทั้งที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดใช้แนวทางจัดจ้างแบบรวมงบประมาณเป็นสัญญาเดียว เช่น การก่อสร้างโรงพยาบาล หอพักแพทย์ พยาบาลทั่วประเทศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี 2) เช่นเดียวกับ สตช.ก็ไม่ใช้วิธีจัดจ้างแบบรวมสัญญา ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายฮั้วประมูล โดยหนังสือฉบับดังกล่าวมีการเข้าชื่อกันเป็นหางว่าวรวม 8 บริษัท โดยชื่อแรกที่ร่วมคัดค้านคือบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งนี้ ดีเอสไอจึงเห็นควรว่าจำเป็นต้องเรียกนายอภิสิทธิ์เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเช่นกัน และหากพบว่ามีมูลความผิดก็ต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไต่สวนต่อไป
“ขณะนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งหนังสือฉบับดังกล่าวส่งบุคคลทั้งสอง แต่การคัดค้านไม่เป็นผล ฝ่ายการเมืองยังคงสั่งอนุมัติยกเลิกให้รวมเป็นสัญญาเดียว เมื่อมีหลักฐานโยงไปถึงนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นจึงได้หารือพนักงานสอบสวนแล้วว่า นอกจากนายสุเทพแล้วจำเป็นต้องเชิญนายอภิสิทธิ์มาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม” นายธาริตกล่าว
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000015567
แมงสาบหนอแมงสาบ โกหกทีไรโดนเค้าจับได้ไล่xxxทุกที อยู่มาถึงป่านนี้ได้ไง งงจุงเบย