หากพูดถึงเรื่องห่วงโซ่อาหาร ที่มนุษย์จำเป็นต้องกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป โดยให้ได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่
หลายคนอาจจะหันไปรับประทานอาหารมังสวิรัติ เพื่อลด ละ เลิก การเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
โดยได้โปรตีนจากพืชบางชนิดแทนเนื้อสัตว์
หลายคนเต็มอิ่มกับรสสัมผัสของความสด หอม หวาน ของการปรุงอาหารแบบสดๆ เป็นๆ ยิ่งสด ยิ่งอร่อย
ชี้เป็น ชี้ตาย กันต่อหน้าต่อตา
และมีอีกหลายคนที่กิน เพื่อความอยู่รอด
ทุกวัน เราจะขับรถผ่านร้านขายกุ้งเผาที่มีป้ายเขียนแปะไว้ว่า "กุ้งเป็นๆ ย่างฟรี"
หากลองนึกเล่นๆ ว่าเราอาศัยอยู่ในเมืองยักษ์ แล้วมีป้ายเขียนแปะไว้ว่า "คนเป็นๆ ย่างฟรี" คงน่ากลัวพิลึก
และหากเทียบกันจริงๆ ระหว่าง "กุ้งตาย" กับ "กุ้งเป็น" รสชาติมันหวานต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ?
ตอนเด็กๆ เราชอบกินกุ้งเผาที่สุด แม่เป็นคนซื้อมาฝาก ไม่เคยเห็นวิธีการทำกุ้งเผามาก่อน
แล้ววันที่เลิกกินก็มาถึง ตอนนั้นเราเรียนอยู่ประถมปลายน่าจะได้
วันนั้นกลับจากอยุธยาเลยแวะตลาดกลาง ซื้อกุ้งกลับบ้าน
แม่หิ้วกระติกเก็บความเย็นลงไป พอถึงร้านก็เลือกขนาดกุ้งว่าจะเอาขนาดไหน
เห็นกุ้งว่ายหนีกระชอนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเหมือนตอนล้างตู้ปลาที่บ้าน ช้อนปลาแล้วปลาว่ายหนีแค่นั้นเอง
กุ้งส่วนหนึ่ง ถูกใส่ลงในกระติกเก็บความเย็นที่เตรียมมาพร้อมกับน้ำแข็งบดอัดเต็มกระติก
อีกส่วนหนึ่งถูกวางอยู่บนตระแกรงที่มีไฟร้อนๆ และฝาครอบ
"โป้งเป้ง แกรกๆ โป้งเป้ง" เสียงกุ้งที่ดิ้นกระทบกับฝาครอบ สร้างความหวาดหวั่นใจกับตัวเรามากๆ
วันนั้น เรายังจำได้ดี ไม่เคยลืม
หันไปถามแม่ว่า "แม่จ๋า กุ้งที่แม่ซื้อมาให้น้องข้าวกินตลอด มันยังไม่ตายก่อนโดนเผาใช่ไหม?"
แม่ได้แต่ส่งสายตาที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกมาให้เรา "ไม่ต้องพูดลูก" แม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
โดยส่วนตัว เราเป็นคนขี้สงสาร และเมตตาสัตว์อยู่แล้ว ชอบเก็บหมา เก็บแมวมาเลี้ยง มดตกน้ำก็ช่วย
หอยทากจะโดนคนเหยียบก็ช่วยไปวางให้ห่างคน ยุงกัดต่อให้คันแค่ไหนก็จะพยายามไม่ตบ "สงสาร"
เมื่อเห็นกรรมวิธีการย่างกุ้งแล้ว
ตั้งแต่นั้น ไม่เคย "ชี้เป็น ชี้ตาย" ใครอีกเลย
หลังจากจ่ายเงินแล้วเอากระติกที่มีกุ้งอยู่ขึ้นรถ เสียงที่หลอกหลอนเราไปตลอดทางกลับบ้านคือ
มันยังมีชีวิตอยู่ กำลังดิ้นหนีความหนาวเย็นในกระติกมรณะอยู่
ได้แต่บอกแม่ว่า แม่ไม่ต้องซื้อกุ้งเผามาให้น้องข้าวกินแล้วนะ อันนี้ก็เอาไปให้คนอื่น ไม่กินแล้ว
พอถึงบ้านก็รีบไปเทกุ้งออกแล้วหาว่าตัวไหนยังไม่ตาย มีแค่ 3 ตัวที่รอด ถูกหย่อนลงตู้ปลาที่บ้านทันที
โตวันโตคืน พร้อมกับปลาในตู้ที่หายไป และต้องแยกเลี้ยง
สงสาร เวทนา หดหู่ใจ ไม่อาจบรรยายความรู้สึกของวันนั้นได้ทั้งหมด
กุ้งพวกนั้นไม่ได้เข้าปากเราแม้แต่คำเดียว
หลังจากบอกความรู้สึกกับคนในครอบครัว ตั้งแต่นั้น บ้านดิฉันไม่เคยชี้เป็น ชี้ตาย ชีวิตน้อยๆ เหล่านั้นอีกเลย
หากแต่จะซื้อที่เขาตายแล้ว และนำมาปรุงแต่งอย่างรู้คุณค่า และสำนึกในคุณประโยชน์ที่เขาให้เรา
เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาโดยหวังว่า จะมีคนส่วนหนึ่งเลิกกินอาหารที่แฝงความทรมานเอาไว้
อาจจะจริงที่กุ้งเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นเดียวกับปลา ฯลฯ ที่สมองมีขนาดเล็ก ตอบสนองกับสิ่งเร้า ไม่ได้มีความรู้สึกกลัว
แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเช่น วัว หมู คน ที่มีจิตปรุงแต่งถึงความกลัวก่อนที่จะถูกฆ่า
*** Ps. ถึงคนที่อาจจะเข้ามาต้มมาม่าในกระทู้นี้ ว่าถ้าสงสารนัก ทำไมเราไม่เลิกกินเนื้อสัตว์? ***
1. เราแพ้แป้งสาลี แพ้โฮลวีต แพ้ถั่วเหลือง แพ้นม แพ้ไข่ และกลูเตน ซึ่งนั่นทำให้เราทานมังสวิรัติไม่ได้
2. เราขาดโปรตีน ซึ่งนั่นทำให้เรายังต้องทานเนื้อสัตว์อยู่ แต่เราไม่ทานเนื้อวัว และเนื้อสัตว์แปลกๆ ค่ะ
"ชี้เป็น ชี้ตาย" (กระทู้นี้งดมาม่า แพ้แป้งสาลีค่ะ อิอิ)
หลายคนอาจจะหันไปรับประทานอาหารมังสวิรัติ เพื่อลด ละ เลิก การเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
โดยได้โปรตีนจากพืชบางชนิดแทนเนื้อสัตว์
หลายคนเต็มอิ่มกับรสสัมผัสของความสด หอม หวาน ของการปรุงอาหารแบบสดๆ เป็นๆ ยิ่งสด ยิ่งอร่อย
ชี้เป็น ชี้ตาย กันต่อหน้าต่อตา
และมีอีกหลายคนที่กิน เพื่อความอยู่รอด
ทุกวัน เราจะขับรถผ่านร้านขายกุ้งเผาที่มีป้ายเขียนแปะไว้ว่า "กุ้งเป็นๆ ย่างฟรี"
หากลองนึกเล่นๆ ว่าเราอาศัยอยู่ในเมืองยักษ์ แล้วมีป้ายเขียนแปะไว้ว่า "คนเป็นๆ ย่างฟรี" คงน่ากลัวพิลึก
และหากเทียบกันจริงๆ ระหว่าง "กุ้งตาย" กับ "กุ้งเป็น" รสชาติมันหวานต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ?
ตอนเด็กๆ เราชอบกินกุ้งเผาที่สุด แม่เป็นคนซื้อมาฝาก ไม่เคยเห็นวิธีการทำกุ้งเผามาก่อน
แล้ววันที่เลิกกินก็มาถึง ตอนนั้นเราเรียนอยู่ประถมปลายน่าจะได้
วันนั้นกลับจากอยุธยาเลยแวะตลาดกลาง ซื้อกุ้งกลับบ้าน
แม่หิ้วกระติกเก็บความเย็นลงไป พอถึงร้านก็เลือกขนาดกุ้งว่าจะเอาขนาดไหน
เห็นกุ้งว่ายหนีกระชอนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเหมือนตอนล้างตู้ปลาที่บ้าน ช้อนปลาแล้วปลาว่ายหนีแค่นั้นเอง
กุ้งส่วนหนึ่ง ถูกใส่ลงในกระติกเก็บความเย็นที่เตรียมมาพร้อมกับน้ำแข็งบดอัดเต็มกระติก
อีกส่วนหนึ่งถูกวางอยู่บนตระแกรงที่มีไฟร้อนๆ และฝาครอบ
"โป้งเป้ง แกรกๆ โป้งเป้ง" เสียงกุ้งที่ดิ้นกระทบกับฝาครอบ สร้างความหวาดหวั่นใจกับตัวเรามากๆ
วันนั้น เรายังจำได้ดี ไม่เคยลืม
หันไปถามแม่ว่า "แม่จ๋า กุ้งที่แม่ซื้อมาให้น้องข้าวกินตลอด มันยังไม่ตายก่อนโดนเผาใช่ไหม?"
แม่ได้แต่ส่งสายตาที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกมาให้เรา "ไม่ต้องพูดลูก" แม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
โดยส่วนตัว เราเป็นคนขี้สงสาร และเมตตาสัตว์อยู่แล้ว ชอบเก็บหมา เก็บแมวมาเลี้ยง มดตกน้ำก็ช่วย
หอยทากจะโดนคนเหยียบก็ช่วยไปวางให้ห่างคน ยุงกัดต่อให้คันแค่ไหนก็จะพยายามไม่ตบ "สงสาร"
เมื่อเห็นกรรมวิธีการย่างกุ้งแล้ว
ตั้งแต่นั้น ไม่เคย "ชี้เป็น ชี้ตาย" ใครอีกเลย
หลังจากจ่ายเงินแล้วเอากระติกที่มีกุ้งอยู่ขึ้นรถ เสียงที่หลอกหลอนเราไปตลอดทางกลับบ้านคือ
มันยังมีชีวิตอยู่ กำลังดิ้นหนีความหนาวเย็นในกระติกมรณะอยู่
ได้แต่บอกแม่ว่า แม่ไม่ต้องซื้อกุ้งเผามาให้น้องข้าวกินแล้วนะ อันนี้ก็เอาไปให้คนอื่น ไม่กินแล้ว
พอถึงบ้านก็รีบไปเทกุ้งออกแล้วหาว่าตัวไหนยังไม่ตาย มีแค่ 3 ตัวที่รอด ถูกหย่อนลงตู้ปลาที่บ้านทันที
โตวันโตคืน พร้อมกับปลาในตู้ที่หายไป และต้องแยกเลี้ยง
สงสาร เวทนา หดหู่ใจ ไม่อาจบรรยายความรู้สึกของวันนั้นได้ทั้งหมด
กุ้งพวกนั้นไม่ได้เข้าปากเราแม้แต่คำเดียว
หลังจากบอกความรู้สึกกับคนในครอบครัว ตั้งแต่นั้น บ้านดิฉันไม่เคยชี้เป็น ชี้ตาย ชีวิตน้อยๆ เหล่านั้นอีกเลย
หากแต่จะซื้อที่เขาตายแล้ว และนำมาปรุงแต่งอย่างรู้คุณค่า และสำนึกในคุณประโยชน์ที่เขาให้เรา
เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาโดยหวังว่า จะมีคนส่วนหนึ่งเลิกกินอาหารที่แฝงความทรมานเอาไว้
อาจจะจริงที่กุ้งเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นเดียวกับปลา ฯลฯ ที่สมองมีขนาดเล็ก ตอบสนองกับสิ่งเร้า ไม่ได้มีความรู้สึกกลัว
แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเช่น วัว หมู คน ที่มีจิตปรุงแต่งถึงความกลัวก่อนที่จะถูกฆ่า
*** Ps. ถึงคนที่อาจจะเข้ามาต้มมาม่าในกระทู้นี้ ว่าถ้าสงสารนัก ทำไมเราไม่เลิกกินเนื้อสัตว์? ***
1. เราแพ้แป้งสาลี แพ้โฮลวีต แพ้ถั่วเหลือง แพ้นม แพ้ไข่ และกลูเตน ซึ่งนั่นทำให้เราทานมังสวิรัติไม่ได้
2. เราขาดโปรตีน ซึ่งนั่นทำให้เรายังต้องทานเนื้อสัตว์อยู่ แต่เราไม่ทานเนื้อวัว และเนื้อสัตว์แปลกๆ ค่ะ