เราอาจคุ้นหูว่า “ดาวเคราะห์น้อย" ซึ่งมีวงโคจรคล้ายโลก อาจทำร้ายดาวของเราเข้าสักวัน แต่ด่้วยความใกล้ทั้งในแง่ระยะทางและคุณลักษณะบางอย่าง มนุษย์อันชาญฉลาดเลยมองเห็นว่าน่าจะใช้ทรัพยากรจากวัตถุใกล้โลกเหล่านี้ได้ โดยแนวคิดการขุดดาวถลุงแร่มีมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีบริษัทเอกชนประกาศเอาจริงถึง 2 รายแล้ว และมูลค่าของอุตสาหกรรมนี้ ช่างมากมายมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการ
หินอุกกาบาตที่ทางดีฟสเปซอินดัสทรีส์นำมาแสดงโชว์วันแถลงข่าวเปิดเป้าหมายทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อยเพื่อการพาณิชย์ ก้อนหินจากอวกาศเหล่านี้บรรจุไปด้วยแร่ที่มีมูลค่า ทั้งทองคำและแพลตินัม นับเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่จะก่อรายได้มหาศาล และยังอาจจะนำไปสู่การสร้างนิคมอวกาศให้มนุษย์ได้ไปอยู่ในอนาคต (Jonathan Alcorn)
หลังจากปีก่อน แพลเนทารีรีซอร์ส อิงค์ (Planetary Resources, Inc) ที่นำโดยเหล่าคนดังอย่าง เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับอวตาร และลาร์รี เพจ แห่งกูเกิล ได้ประกาศเดินหน้าทำเหมืองอวกาศ ยังไม่ทันครบปีก็เกิดมีบริษัทคู่แข่งขึ้นมาบ้างแล้ว
ดีพ สเปซ อินดัสทรีส์ อิงค์ (Deep Space Industries, Inc.,) ได้ประกาศตัวเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2013 ที่ผ่านมาว่า มีแผนจะทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อย เพื่อค้นหาโลหะ น้ำ และทรัพยากรอื่นๆ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ เช่นเดียวกับแพลเนทารีรีซอร์ส โดยทั้ง 2 บริษัทไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน และสามารถหาประโยชน์จากการทำกิจการที่เหมือนกันได้ เพราะอวกาศนั้นกว้างใหญ่ มีที่ว่างพอให้สำหรับทุกคน
ทั้งนี้ ดีพสเปซฯ และ แพลเนทารีรีซอร์สจะตามหาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำ และแร่โลหะหลายชนิด โดยทั้งคู่ต้องการจะนำน้ำจากดาวเคราะห์น้อยมาแยกไฮโดรเจนและออกซิเจน ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของเชื้อเพลิงจรวด ช่วยให้ดาวเทียมหรือยานอวกาศสามารถเดินทางได้ยาวนานมากขึ้่น โดยไม่จำเป็นต้องบรรทุกเชื้อเพลิงที่แสนแพงและในปริมาณที่จำกัดมาจากโลก อีกทั้งยังจะนำโลหะมีค่า กลับมาใช้บนโลกของเรา
ดาวเคราะห์น้อยมีมากมายเกินจะใช้ไหว
นักดาราศาสตร์ระบุว่า มีดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกมากกว่า 9,000 ดวง ซึ่งค้นพบใหม่อีกราว 1,000 ดวงในทุกๆ ปี นั่นหมายความว่า ถึงจะมี 2 บริษัทแข่งกันทำเหมืองบนอวกาศ พวกเขาก็คงจะมีงานมากมายไม่หวาดไม่ไหว
พวกเรารู้จักดาวเคราะห์น้อยกันมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 1772 ที่นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ด้วยระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้น อาจจะมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส และในปี 1801 นักดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียนพบวัตถุพร่ามัวที่ระยะดังกล่าว นั่นก็คือ "เซเรส" (Ceres) ต่อมาวัตถุที่มีลักษณะคล้ายเซเรสจึงได้รับการจัดลำดับว่า เป็น "ดาวเคราะห์น้อย" (asteroids / minor planets)
เรารู้จักดาวเคราะห์น้อยเกือบ 9,000 ดวงที่อยู่ใกล้โลก และในนั้นมีประมาณ 1,500 ดวงที่น่าจะลงจอดได้ง่ายกว่าพื้นผิวดวงจันทร์ (Planetary Resources, Inc.)
ปัจจุบันมีดาวเคราะห์น้อยที่ได้รับการบันทึกไว้แล้วมากกว่า 20,000 ดวง ซึ่งมีรูปทรงและขนาดต่างๆ ตั้งแต่รัศมี 1 กิโลเมตร ไปยังหลายร้อยกิโลเมตร (เซเรสเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุดมีรัศมี 457 กิโลเมตร) รวมถึงทิศทางการหมุนที่ยังมีความหลากหลาย
เราสามารถจัดประเภทตามส่วนประกอบได้ดังนี้
ชนิดซี (C) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่มากที่สุด คือประมาณ 75% ลักษณะของดาวมีผิวเป็นหินสีทึบ น่าจะมีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบหลัก
ชนิดเอส (S) มีอยู่ประมาณ 17% ผิวดาวมีส่วนผสมระหว่างโลหะบริสุทธิ์ เช่น นิกเกิล เหล็ก และแมกนีเซียม ทำให้สว่างกว่าแบบซีถึง 2 เท่า
ชนิดเอ็ม (M) มีอยู่น้อย องค์ประกอบคล้ายอุกกาบาตหรือหินแร่เหล็ก มีส่วนประกอบหลักเป็นนิกเกิลและเหล็ก
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ดาวเคราะห์น้อยคือชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ และอาจจะเป็นชิ้นส่วนของระบบสุริยะในยุคแรก โดยมารวมกันก่อตัวขึ้นที่แนวระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีอันเป็นรอยต่อระหว่างดาวเคราะห์หินและดาวเคราะห์ก๊าซ
เปลี่ยนก้อนหินอวกาศให้เป็นความร่ำรวย
แม้จะยังไม่เคยมีมนุษย์ลงไปเหยียบที่พื้นผิวดาวเคราะห์น้อย แต่แค่ใช้เทคนิคการสะท้อนแสง นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นแล้วว่า ดาวหน้าตาประหลาดเหล่านี้มีส่วนผสมอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก นิกเกิล แมกนีเซียม น้ำ ออกซิเจน ทองคำ และแพลตินัม ล้วนปรากฎให้เห็นบนดาวเคราะห์น้อยหลายดวง
"น้ำ" เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษในการสำรวจอวกาศ เพราะแสดงถึงความเป็นไปได้ในการตั้งนิคมอวกาศเพื่อให้มนุษย์ได้บริโภค อีกทั้งยังสามารถนำน้ำไปแยกเอาไฮโดรเจนและออกซิเจนมาใช้เพื่อการขับเคลื่อนจรวด
"แร่โลหะ" บนดาวเคราะห์น้อยก็สามารถนำมาสร้างยานอวกาศ หรือโครงสร้างอื่นๆ ที่จะประกอบกันเป็นอาคารของนิคมอวกาศ
ข้อมูลจากรายงานของวารสารทางอวกาศ (Acta Astronautica) ระบุว่า ดาวเคราะห์น้อยชนิดเอสนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งโลหะ แร่กึ่งตัวนำ และแม้แต่ออกซิเจนหรือน้ำ ซึ่งในบรรดาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก เป็นชนิดเอสอยู่ประมาณ 40% ซึ่งดาวเคราะห์น้อยขนาด 24 เมตรแบบเอสอาจมีแร่เหล็ก 1,100 - 4,400 ตัน นั่นมากพอที่จะสร้างแผงเซลล์สุริยะขนาดใหญ่ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ในระดับกิกะวัตต์ได้ทั้งเป็นสถานีอวกาศหรือส่งถึงโลก
ภาพจำลองจากศิลปิน กับโครงการที่อยู่อาศัยนอกโลก พร้อมๆ กับการทำเหมืองขุดหาแร่จากดาวเคราะห์น้อย (Deep Space Industries)
อีกทั้งดาวเคราะห์น้อยขนาดเดียวกันที่ประกอบไปด้วยสารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลของน้ำ จะผลิตน้ำได้หลายล้านลิตร นั่นถือเป็นอีกแผนการหนึ่งของแพลเนทารีรีซอสร์ซ ที่ต้องการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากดาวเคราะห์น้อย เพื่อผลิตพลังงานขับเคลื่อนจรวด น้ำดื่ม และแหล่งออกซิเจน โดยเชื่อว่านี่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาล และถ้าจะมีคนอื่นๆ กระโดดมาทำธุรกิจนี้ด้วยก็ไม่น่าจะแปลกใจมากนัก
อย่างไรก็ดี เหล่าเอกชนต่างๆ อาจไม่ได้สนใจกับการสำรวจอวกาศหรือการทดลองวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาน่าจะกำลังมองหาขุมสมบัติ และนำกลับสู่โลก
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เคยทำรายงานคาดการณ์ว่า มูลค่าแร่โลหะที่สกัดได้จากแถบดาวเคราะห์น้อยนั้นมีมากมายมหาศาล เรียกได้ว่าสามารถแจกประชากรบนโลกได้ต่อคนมากกว่าแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 3 ล้านล้านบาท)
ดาวเคราะห์น้อย 1 ดวงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีมวลประมาณ 2 พันล้านตัน และในระบบสุริยะมีดาวเคราะห์น้อยขนาดที่ว่านี้อยู่ประมาณ 1 ล้านดวง เมื่อบวกรวมกันแล้วหมายความว่า จะมีนิกเกิล 30 ล้านตัน โคบอล์ต 1.5 ล้านตัน และแพลตินัมอีก 7,500 ตัน ถ้านับเฉพาะแพลตินัมก็มีมูลค่ามากกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว
ยานสำรวจเหมือง พร้อมเดินหน้า
ขุมทรัพย์มหาศาลที่ลอยคว้างอยู่ในอวกาศ ก็ต้องมีการลงทุนเตรียมการอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้มา แม้ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มูลค่าตามที่ประมาณมาก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าเสียยิ่งกว่า
อย่างดีพสเปซฯ ก็เตรียมการจะสร้างยานสำรวจลำเล็กน้ำหนักเบาและต้นทุนต่ำที่ชื่อว่า “ไฟร์ฟลายส์” (Fireflies) ออกไปสำรวจแหล่งทรัพยากรอวกาศใกล้โลกในปี 2015 โดยใช้เวลาเก็บข้อมูลบนอวกาศประมาณ 2-6 เดือน
จากนั้นในปี 2016 ดีฟสเปซฯ ก็จะส่งยานอวกาศขนาดใหญ่คือ "ดรากอนฟลายส์" ไปเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยประมาณ 30-70 กิโลกรัมกลับสู่โลก โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี ขึ้นอยู่กับดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย ซึ่งตัวอย่างบางส่วนที่นำกลับมานี้จะช่วยให้บริษัทพิจารณาแหล่งดำเนินการทำเหมือง ขณะที่อีกส่วนจะนำไปขายให้แก่นักวิจัยและนักสะสมทั้งหลาย
นอกจากนีี้ ระหว่างการเดินทางสำรวจของยานทั้ง 2 ทางดีฟสเปซฯ ก็จะอัพเดทภารกิจแบบสดๆ ผ่านโลกออนไลน์ พร้อมกันนี้ยังเปิดโอกาสให้บริษัทหรือเอกชนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน ทั้งกูเกิล ลูนาร์ เอ็กซ์ ไพรซ์ (The Google Lunar X Prize) ยูนิลิเวอร์ (Unilever) และเรดบูล (Red Bull) ที่มีทุนให้แก่การแข่งขันทางด้านอวกาศมากกว่า 10 ล้านเหรียญ ทางผู้บริหารของดีฟสเปซฯ ก็ขอเชิญชวน
อย่างไรก็ดี เป้าหมายสูงสุดของดีฟเสปซนั้น ก็คือต้องการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากดาวเคราะห์น้อย และใช้ประโยชน์จากอวกาศให้ได้มากที่สุด โดยมีแผนจะถลุงแร่โลหะและวัตถุอื่นๆ จากก้อนหินอวกาศภายใน 10 ปี โดยวัถตุเหล่านี้แรกสุดจะถูกนำไปสร้างดาวเทียมสื่อสารนอกโลก พร้อมทั้งทำโครงสร้างแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ส่งกลับสู่โลก ในอนาคต
ส่วนโลหะที่มีค่าอย่างเช่น แพลตินัมก็จะถูกนำส่งมาใช้ที่สู่โลก
แผนของแพลเนทารี รีซอร์ซ ที่ประกาศไปเมืือปี 2012 ด้วยการส่งกล้องโทรทัศน์อวกาศ Arkyd-100 ออกไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยในวงโคจรต่ำใกล้โลก จากนั้นก็ส่งข้อมูลส่วนประกอบของดาวกลับมา และหุ่นยนต์กรรไกรก็จะจัดการแบ่งดาวเพื่อเก็บแร่โลหะต่างๆ ส่วนดาวที่เป็นน้ำแข็งก็จะเก็บน้ำกลับมายังโลก
แผนการของดีพ สเปซ อินดัสทรีส์ที่เพิ่งประกาศเมื่อปี 2013 คือการใช้ยานสำรวจลำน้อยบินหาดาวเคราะห์น้อยที่เหมาะสม จากนั้นยานดรากอนฟลายที่ใหญ่กว่าจะไปเก็บตัวอย่างกลับมายังโลก และหากมีแร่ที่ต้องการจะส่งยานสำหรับเก็บเกี่ยวเข้าไป หรือไม่เช่นนั้นก็จะสร้างเป็นเหมืองพร้อมที่อยู่อาศัย หากดาวมีขนาดใหญ่
"เหมืองอวกาศ" ถลุงดาวเคราะห์น้อยได้สมบัติมูลค่ามหาศาล
หินอุกกาบาตที่ทางดีฟสเปซอินดัสทรีส์นำมาแสดงโชว์วันแถลงข่าวเปิดเป้าหมายทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อยเพื่อการพาณิชย์ ก้อนหินจากอวกาศเหล่านี้บรรจุไปด้วยแร่ที่มีมูลค่า ทั้งทองคำและแพลตินัม นับเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่จะก่อรายได้มหาศาล และยังอาจจะนำไปสู่การสร้างนิคมอวกาศให้มนุษย์ได้ไปอยู่ในอนาคต (Jonathan Alcorn)
หลังจากปีก่อน แพลเนทารีรีซอร์ส อิงค์ (Planetary Resources, Inc) ที่นำโดยเหล่าคนดังอย่าง เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับอวตาร และลาร์รี เพจ แห่งกูเกิล ได้ประกาศเดินหน้าทำเหมืองอวกาศ ยังไม่ทันครบปีก็เกิดมีบริษัทคู่แข่งขึ้นมาบ้างแล้ว
ดีพ สเปซ อินดัสทรีส์ อิงค์ (Deep Space Industries, Inc.,) ได้ประกาศตัวเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2013 ที่ผ่านมาว่า มีแผนจะทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อย เพื่อค้นหาโลหะ น้ำ และทรัพยากรอื่นๆ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ เช่นเดียวกับแพลเนทารีรีซอร์ส โดยทั้ง 2 บริษัทไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน และสามารถหาประโยชน์จากการทำกิจการที่เหมือนกันได้ เพราะอวกาศนั้นกว้างใหญ่ มีที่ว่างพอให้สำหรับทุกคน
ทั้งนี้ ดีพสเปซฯ และ แพลเนทารีรีซอร์สจะตามหาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำ และแร่โลหะหลายชนิด โดยทั้งคู่ต้องการจะนำน้ำจากดาวเคราะห์น้อยมาแยกไฮโดรเจนและออกซิเจน ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของเชื้อเพลิงจรวด ช่วยให้ดาวเทียมหรือยานอวกาศสามารถเดินทางได้ยาวนานมากขึ้่น โดยไม่จำเป็นต้องบรรทุกเชื้อเพลิงที่แสนแพงและในปริมาณที่จำกัดมาจากโลก อีกทั้งยังจะนำโลหะมีค่า กลับมาใช้บนโลกของเรา
ดาวเคราะห์น้อยมีมากมายเกินจะใช้ไหว
นักดาราศาสตร์ระบุว่า มีดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกมากกว่า 9,000 ดวง ซึ่งค้นพบใหม่อีกราว 1,000 ดวงในทุกๆ ปี นั่นหมายความว่า ถึงจะมี 2 บริษัทแข่งกันทำเหมืองบนอวกาศ พวกเขาก็คงจะมีงานมากมายไม่หวาดไม่ไหว
พวกเรารู้จักดาวเคราะห์น้อยกันมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 1772 ที่นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ด้วยระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้น อาจจะมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส และในปี 1801 นักดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียนพบวัตถุพร่ามัวที่ระยะดังกล่าว นั่นก็คือ "เซเรส" (Ceres) ต่อมาวัตถุที่มีลักษณะคล้ายเซเรสจึงได้รับการจัดลำดับว่า เป็น "ดาวเคราะห์น้อย" (asteroids / minor planets)
เรารู้จักดาวเคราะห์น้อยเกือบ 9,000 ดวงที่อยู่ใกล้โลก และในนั้นมีประมาณ 1,500 ดวงที่น่าจะลงจอดได้ง่ายกว่าพื้นผิวดวงจันทร์ (Planetary Resources, Inc.)
ปัจจุบันมีดาวเคราะห์น้อยที่ได้รับการบันทึกไว้แล้วมากกว่า 20,000 ดวง ซึ่งมีรูปทรงและขนาดต่างๆ ตั้งแต่รัศมี 1 กิโลเมตร ไปยังหลายร้อยกิโลเมตร (เซเรสเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุดมีรัศมี 457 กิโลเมตร) รวมถึงทิศทางการหมุนที่ยังมีความหลากหลาย
เราสามารถจัดประเภทตามส่วนประกอบได้ดังนี้
ชนิดซี (C) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่มากที่สุด คือประมาณ 75% ลักษณะของดาวมีผิวเป็นหินสีทึบ น่าจะมีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบหลัก
ชนิดเอส (S) มีอยู่ประมาณ 17% ผิวดาวมีส่วนผสมระหว่างโลหะบริสุทธิ์ เช่น นิกเกิล เหล็ก และแมกนีเซียม ทำให้สว่างกว่าแบบซีถึง 2 เท่า
ชนิดเอ็ม (M) มีอยู่น้อย องค์ประกอบคล้ายอุกกาบาตหรือหินแร่เหล็ก มีส่วนประกอบหลักเป็นนิกเกิลและเหล็ก
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ดาวเคราะห์น้อยคือชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ และอาจจะเป็นชิ้นส่วนของระบบสุริยะในยุคแรก โดยมารวมกันก่อตัวขึ้นที่แนวระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีอันเป็นรอยต่อระหว่างดาวเคราะห์หินและดาวเคราะห์ก๊าซ
เปลี่ยนก้อนหินอวกาศให้เป็นความร่ำรวย
แม้จะยังไม่เคยมีมนุษย์ลงไปเหยียบที่พื้นผิวดาวเคราะห์น้อย แต่แค่ใช้เทคนิคการสะท้อนแสง นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นแล้วว่า ดาวหน้าตาประหลาดเหล่านี้มีส่วนผสมอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก นิกเกิล แมกนีเซียม น้ำ ออกซิเจน ทองคำ และแพลตินัม ล้วนปรากฎให้เห็นบนดาวเคราะห์น้อยหลายดวง
"น้ำ" เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษในการสำรวจอวกาศ เพราะแสดงถึงความเป็นไปได้ในการตั้งนิคมอวกาศเพื่อให้มนุษย์ได้บริโภค อีกทั้งยังสามารถนำน้ำไปแยกเอาไฮโดรเจนและออกซิเจนมาใช้เพื่อการขับเคลื่อนจรวด
"แร่โลหะ" บนดาวเคราะห์น้อยก็สามารถนำมาสร้างยานอวกาศ หรือโครงสร้างอื่นๆ ที่จะประกอบกันเป็นอาคารของนิคมอวกาศ
ข้อมูลจากรายงานของวารสารทางอวกาศ (Acta Astronautica) ระบุว่า ดาวเคราะห์น้อยชนิดเอสนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งโลหะ แร่กึ่งตัวนำ และแม้แต่ออกซิเจนหรือน้ำ ซึ่งในบรรดาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก เป็นชนิดเอสอยู่ประมาณ 40% ซึ่งดาวเคราะห์น้อยขนาด 24 เมตรแบบเอสอาจมีแร่เหล็ก 1,100 - 4,400 ตัน นั่นมากพอที่จะสร้างแผงเซลล์สุริยะขนาดใหญ่ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ในระดับกิกะวัตต์ได้ทั้งเป็นสถานีอวกาศหรือส่งถึงโลก
ภาพจำลองจากศิลปิน กับโครงการที่อยู่อาศัยนอกโลก พร้อมๆ กับการทำเหมืองขุดหาแร่จากดาวเคราะห์น้อย (Deep Space Industries)
อีกทั้งดาวเคราะห์น้อยขนาดเดียวกันที่ประกอบไปด้วยสารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลของน้ำ จะผลิตน้ำได้หลายล้านลิตร นั่นถือเป็นอีกแผนการหนึ่งของแพลเนทารีรีซอสร์ซ ที่ต้องการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากดาวเคราะห์น้อย เพื่อผลิตพลังงานขับเคลื่อนจรวด น้ำดื่ม และแหล่งออกซิเจน โดยเชื่อว่านี่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาล และถ้าจะมีคนอื่นๆ กระโดดมาทำธุรกิจนี้ด้วยก็ไม่น่าจะแปลกใจมากนัก
อย่างไรก็ดี เหล่าเอกชนต่างๆ อาจไม่ได้สนใจกับการสำรวจอวกาศหรือการทดลองวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาน่าจะกำลังมองหาขุมสมบัติ และนำกลับสู่โลก
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เคยทำรายงานคาดการณ์ว่า มูลค่าแร่โลหะที่สกัดได้จากแถบดาวเคราะห์น้อยนั้นมีมากมายมหาศาล เรียกได้ว่าสามารถแจกประชากรบนโลกได้ต่อคนมากกว่าแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 3 ล้านล้านบาท)
ดาวเคราะห์น้อย 1 ดวงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีมวลประมาณ 2 พันล้านตัน และในระบบสุริยะมีดาวเคราะห์น้อยขนาดที่ว่านี้อยู่ประมาณ 1 ล้านดวง เมื่อบวกรวมกันแล้วหมายความว่า จะมีนิกเกิล 30 ล้านตัน โคบอล์ต 1.5 ล้านตัน และแพลตินัมอีก 7,500 ตัน ถ้านับเฉพาะแพลตินัมก็มีมูลค่ามากกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว
ยานสำรวจเหมือง พร้อมเดินหน้า
ขุมทรัพย์มหาศาลที่ลอยคว้างอยู่ในอวกาศ ก็ต้องมีการลงทุนเตรียมการอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้มา แม้ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มูลค่าตามที่ประมาณมาก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าเสียยิ่งกว่า
อย่างดีพสเปซฯ ก็เตรียมการจะสร้างยานสำรวจลำเล็กน้ำหนักเบาและต้นทุนต่ำที่ชื่อว่า “ไฟร์ฟลายส์” (Fireflies) ออกไปสำรวจแหล่งทรัพยากรอวกาศใกล้โลกในปี 2015 โดยใช้เวลาเก็บข้อมูลบนอวกาศประมาณ 2-6 เดือน
จากนั้นในปี 2016 ดีฟสเปซฯ ก็จะส่งยานอวกาศขนาดใหญ่คือ "ดรากอนฟลายส์" ไปเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยประมาณ 30-70 กิโลกรัมกลับสู่โลก โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี ขึ้นอยู่กับดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย ซึ่งตัวอย่างบางส่วนที่นำกลับมานี้จะช่วยให้บริษัทพิจารณาแหล่งดำเนินการทำเหมือง ขณะที่อีกส่วนจะนำไปขายให้แก่นักวิจัยและนักสะสมทั้งหลาย
นอกจากนีี้ ระหว่างการเดินทางสำรวจของยานทั้ง 2 ทางดีฟสเปซฯ ก็จะอัพเดทภารกิจแบบสดๆ ผ่านโลกออนไลน์ พร้อมกันนี้ยังเปิดโอกาสให้บริษัทหรือเอกชนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน ทั้งกูเกิล ลูนาร์ เอ็กซ์ ไพรซ์ (The Google Lunar X Prize) ยูนิลิเวอร์ (Unilever) และเรดบูล (Red Bull) ที่มีทุนให้แก่การแข่งขันทางด้านอวกาศมากกว่า 10 ล้านเหรียญ ทางผู้บริหารของดีฟสเปซฯ ก็ขอเชิญชวน
อย่างไรก็ดี เป้าหมายสูงสุดของดีฟเสปซนั้น ก็คือต้องการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากดาวเคราะห์น้อย และใช้ประโยชน์จากอวกาศให้ได้มากที่สุด โดยมีแผนจะถลุงแร่โลหะและวัตถุอื่นๆ จากก้อนหินอวกาศภายใน 10 ปี โดยวัถตุเหล่านี้แรกสุดจะถูกนำไปสร้างดาวเทียมสื่อสารนอกโลก พร้อมทั้งทำโครงสร้างแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ส่งกลับสู่โลก ในอนาคต
ส่วนโลหะที่มีค่าอย่างเช่น แพลตินัมก็จะถูกนำส่งมาใช้ที่สู่โลก
แผนของแพลเนทารี รีซอร์ซ ที่ประกาศไปเมืือปี 2012 ด้วยการส่งกล้องโทรทัศน์อวกาศ Arkyd-100 ออกไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยในวงโคจรต่ำใกล้โลก จากนั้นก็ส่งข้อมูลส่วนประกอบของดาวกลับมา และหุ่นยนต์กรรไกรก็จะจัดการแบ่งดาวเพื่อเก็บแร่โลหะต่างๆ ส่วนดาวที่เป็นน้ำแข็งก็จะเก็บน้ำกลับมายังโลก
แผนการของดีพ สเปซ อินดัสทรีส์ที่เพิ่งประกาศเมื่อปี 2013 คือการใช้ยานสำรวจลำน้อยบินหาดาวเคราะห์น้อยที่เหมาะสม จากนั้นยานดรากอนฟลายที่ใหญ่กว่าจะไปเก็บตัวอย่างกลับมายังโลก และหากมีแร่ที่ต้องการจะส่งยานสำหรับเก็บเกี่ยวเข้าไป หรือไม่เช่นนั้นก็จะสร้างเป็นเหมืองพร้อมที่อยู่อาศัย หากดาวมีขนาดใหญ่