หากจะต้อง...เลือก(ลงทุน)
24 ม.ค. 2556 เวลา 14:55:09 น.
คิดวิเคราะห์แยกแยะ โดย ธันวา เลาหศิริวงศ์
ในอนาคตอันใกล้จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ผู้มีภูมิลำเนาในเขตเมืองหลวงของประเทศใช้โอกาส "ตัดสินใจเลือก" ผู้สมัครที่รับอาสาเข้ามาพัฒนา "มหานคร" ที่มีประชากรหนาแน่นอันดับที่ 13 ของโลกแห่งนี้ จากการเปิดตัวผู้สมัคร ซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองสำคัญและผู้สมัครอิสระ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งอาจตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่ตนชื่นชอบไว้แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งอาจยังลังเลและลำบากใจในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ เพราะผู้สมัครแต่ละคนล้วนมีคุณสมบัติเด่นและด้อยแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ไปใช้สิทธิทุกคนต้องตัดสินใจเลือก "ผู้สมัครที่ดีที่สุด" ของตนเมื่อเข้าคูหาในวันเลือกตั้งนั่นเอง
ในยามที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 63%, 41%, -1%, 36% ไม่รวมเงินปันผลปีละกว่า 3% ในปี 2009, 2010, 2011, 2012 ตามลำดับ และอีก 3% ใน 3 สัปดาห์แรกของปี 2013 ด้วยปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอย่างมาก หุ้นขนาดกลางและเล็กมีจำนวนหุ้นซื้อขายในปริมาณสูงมากเทียบกับหุ้นหมุนเวียนและถูกบังคับซื้อด้วยเงินสด (cash balance) บ่งบอกถึงภาวะ "ร้อนแรง" ของตลาดหุ้นไทย เปรียบเช่น "งานเลี้ยงที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยง" ในสถานการณ์ "หากจะต้อง…เลือก" เช่นนี้ นักลงทุนมี "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ในการตัดสินใจของตนอย่างไร
สถานการณ์แรก นักลงทุนที่มั่นใจในตัวเอง กล้าได้กล้าเสีย พร้อมร่วมสนุกกับสภาวะร้อนแรง มีเทคนิคการลงทุนที่เชื่อว่าได้ผล อยู่ใกล้ชิดแหล่งข้อมูล นักลงทุนขั้นเทพหรือเซียนหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและไม่เคยพลาดมาก่อน มีเวลาติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิด ถนัดในการตัดสินใจเข้าออกเร็ว บังคับภาวะอารมณ์ สภาพจิตใจได้ดี และ "เอาตัวรอด" จากความผันผวนของตลาดได้ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเหมาะกับสไตล์การลงทุนดังกล่าว แต่ต้องไม่ลืมสุภาษิตจีนที่ว่า "ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา"
สถานการณ์ที่ 2 นักลงทุนที่อนุรักษนิยม ไม่ชอบเสี่ยง ไม่กล้า กลัวความสูง จึงเลือกถือเงินสดที่เกิดจากการขายหุ้นหรือจากเม็ดเงินใหม่เพิ่มเติม หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกเช่นนี้ อาจมองหาทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 0.75% ของเงินฝากออมทรัพย์ และยังมีสภาพคล่องสูงเผื่อซื้อหุ้นที่ดีเมื่อราคาปรับตัวลงชั่วคราว (panic sell) ได้แก่ เก็บเงินลงทุนไว้ในบัญชีซื้อขายแบบ cash balance เพื่อผลตอบแทน 1.9% ต่อปี ลงทุนกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อผลตอบแทน 2.5% ต่อปี หรือหากรับความผันผวนได้บ้างก็ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงกว่า 5% ต่อปี อย่างไรก็ตาม แม้ทางเลือกเช่นนี้มีความเสี่ยงต่ำในสภาวะเศรษฐกิจเติบโตและสภาวะหุ้นขาขึ้น แต่ก็อาจพลาดโอกาสในการลงทุนกิจการที่มีผลประกอบการดีและราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกเช่นกัน
สถานการณ์สุดท้าย นักลงทุนที่เชื่อมั่นว่าผลตอบแทนของการลงทุนหุ้นที่ยอดเยี่ยมในระยะยาวจะสูงกว่าผลตอบแทนในการลงทุนประเภทอื่น หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกเช่นนี้ อาจพิจารณาลงทุนในกิจการแข็งแกร่งแม้จะมีส่วนต่างความปลอดภัยของราคา (margin of safety) ไม่มากนักเช่นในอดีต ทั้งนี้ เพราะตลาดโดยรวมได้ถูกปรับเพิ่มระดับราคาส่วนเพิ่ม (premium) จากปัจจัยบวกที่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม การลงทุน การบริโภค และการใช้จ่ายจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ การตัดสินใจลงทุนจำเป็นต้องเลือกเฟ้นกิจการที่มั่นใจว่าจะมีโอกาสผิดพลาดน้อย และเป็นกิจการ "ผู้ชนะสิบทิศ" เลยทีเดียว นั่นคือ ผู้ชนะอย่างโดดเด่นในอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโต มีป้อมค่ายคูเมืองที่แข็งแกร่งที่ได้เปรียบในการแข่งขัน กิจการไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น กิจการเช่นนี้แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลง ก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราวและจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าตลาดโดยรวมจากผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
หากพบกิจการยอดเยี่ยมดังกล่าว แต่ไม่มั่นใจในจังหวะเหมาะสมเพื่อเข้าลงทุน (market timing) เทคนิคที่ควรพิจารณานำมาใช้ คือ กdollar cost average (DCA) หรือการลงทุนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องในระยะยาว โดยกำหนดช่วงเวลาสำหรับการลงทุนไว้อย่างแน่นอน เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือนด้วยเงินลงทุนที่เท่ากัน การลงทุนเช่นนี้จะช่วยให้เฉลี่ยราคาต้นทุนซื้อหุ้นทั้งในสภาวะราคาหุ้นปรับตัวต่ำลงและสูงขึ้น เพื่อช่วยลดความผันผวนของราคาและความผิดพลาดในการตัดสินใจนั่นเอง กลยุทธ์นี้นักลงทุนจำเป็นต้องมีวินัยในการลงทุนและปฏิบัติตามแนวทางที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่กล่าวมา อาจเคยเกิดขึ้นกับนักลงทุนที่ลงทุนมาอย่างยาวนานทุกคน ผู้เริ่มสนใจลงทุนอาจเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าว่ามีข้อดีข้อเสีย ตลอดจนผลลัพธ์ของแต่ละแนวทางว่าเหมาะกับแนวทางการลงทุนและวิถีการใช้ชีวิตของตนอย่างไร ในฐานะ อvalue investor "หากจะต้อง…เลือก" ต้องไม่เลือกแบบสถานการณ์แรกแน่ ๆ คอนเฟิร์ม !
หากจะต้อง…เลือก (ลงทุน )
24 ม.ค. 2556 เวลา 14:55:09 น.
คิดวิเคราะห์แยกแยะ โดย ธันวา เลาหศิริวงศ์
ในอนาคตอันใกล้จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ผู้มีภูมิลำเนาในเขตเมืองหลวงของประเทศใช้โอกาส "ตัดสินใจเลือก" ผู้สมัครที่รับอาสาเข้ามาพัฒนา "มหานคร" ที่มีประชากรหนาแน่นอันดับที่ 13 ของโลกแห่งนี้ จากการเปิดตัวผู้สมัคร ซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองสำคัญและผู้สมัครอิสระ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งอาจตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่ตนชื่นชอบไว้แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งอาจยังลังเลและลำบากใจในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ เพราะผู้สมัครแต่ละคนล้วนมีคุณสมบัติเด่นและด้อยแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ไปใช้สิทธิทุกคนต้องตัดสินใจเลือก "ผู้สมัครที่ดีที่สุด" ของตนเมื่อเข้าคูหาในวันเลือกตั้งนั่นเอง
ในยามที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 63%, 41%, -1%, 36% ไม่รวมเงินปันผลปีละกว่า 3% ในปี 2009, 2010, 2011, 2012 ตามลำดับ และอีก 3% ใน 3 สัปดาห์แรกของปี 2013 ด้วยปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอย่างมาก หุ้นขนาดกลางและเล็กมีจำนวนหุ้นซื้อขายในปริมาณสูงมากเทียบกับหุ้นหมุนเวียนและถูกบังคับซื้อด้วยเงินสด (cash balance) บ่งบอกถึงภาวะ "ร้อนแรง" ของตลาดหุ้นไทย เปรียบเช่น "งานเลี้ยงที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยง" ในสถานการณ์ "หากจะต้อง…เลือก" เช่นนี้ นักลงทุนมี "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ในการตัดสินใจของตนอย่างไร
สถานการณ์แรก นักลงทุนที่มั่นใจในตัวเอง กล้าได้กล้าเสีย พร้อมร่วมสนุกกับสภาวะร้อนแรง มีเทคนิคการลงทุนที่เชื่อว่าได้ผล อยู่ใกล้ชิดแหล่งข้อมูล นักลงทุนขั้นเทพหรือเซียนหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและไม่เคยพลาดมาก่อน มีเวลาติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิด ถนัดในการตัดสินใจเข้าออกเร็ว บังคับภาวะอารมณ์ สภาพจิตใจได้ดี และ "เอาตัวรอด" จากความผันผวนของตลาดได้ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเหมาะกับสไตล์การลงทุนดังกล่าว แต่ต้องไม่ลืมสุภาษิตจีนที่ว่า "ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา"
สถานการณ์ที่ 2 นักลงทุนที่อนุรักษนิยม ไม่ชอบเสี่ยง ไม่กล้า กลัวความสูง จึงเลือกถือเงินสดที่เกิดจากการขายหุ้นหรือจากเม็ดเงินใหม่เพิ่มเติม หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกเช่นนี้ อาจมองหาทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 0.75% ของเงินฝากออมทรัพย์ และยังมีสภาพคล่องสูงเผื่อซื้อหุ้นที่ดีเมื่อราคาปรับตัวลงชั่วคราว (panic sell) ได้แก่ เก็บเงินลงทุนไว้ในบัญชีซื้อขายแบบ cash balance เพื่อผลตอบแทน 1.9% ต่อปี ลงทุนกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อผลตอบแทน 2.5% ต่อปี หรือหากรับความผันผวนได้บ้างก็ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงกว่า 5% ต่อปี อย่างไรก็ตาม แม้ทางเลือกเช่นนี้มีความเสี่ยงต่ำในสภาวะเศรษฐกิจเติบโตและสภาวะหุ้นขาขึ้น แต่ก็อาจพลาดโอกาสในการลงทุนกิจการที่มีผลประกอบการดีและราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกเช่นกัน
สถานการณ์สุดท้าย นักลงทุนที่เชื่อมั่นว่าผลตอบแทนของการลงทุนหุ้นที่ยอดเยี่ยมในระยะยาวจะสูงกว่าผลตอบแทนในการลงทุนประเภทอื่น หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกเช่นนี้ อาจพิจารณาลงทุนในกิจการแข็งแกร่งแม้จะมีส่วนต่างความปลอดภัยของราคา (margin of safety) ไม่มากนักเช่นในอดีต ทั้งนี้ เพราะตลาดโดยรวมได้ถูกปรับเพิ่มระดับราคาส่วนเพิ่ม (premium) จากปัจจัยบวกที่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม การลงทุน การบริโภค และการใช้จ่ายจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ การตัดสินใจลงทุนจำเป็นต้องเลือกเฟ้นกิจการที่มั่นใจว่าจะมีโอกาสผิดพลาดน้อย และเป็นกิจการ "ผู้ชนะสิบทิศ" เลยทีเดียว นั่นคือ ผู้ชนะอย่างโดดเด่นในอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโต มีป้อมค่ายคูเมืองที่แข็งแกร่งที่ได้เปรียบในการแข่งขัน กิจการไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น กิจการเช่นนี้แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลง ก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราวและจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าตลาดโดยรวมจากผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
หากพบกิจการยอดเยี่ยมดังกล่าว แต่ไม่มั่นใจในจังหวะเหมาะสมเพื่อเข้าลงทุน (market timing) เทคนิคที่ควรพิจารณานำมาใช้ คือ กdollar cost average (DCA) หรือการลงทุนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องในระยะยาว โดยกำหนดช่วงเวลาสำหรับการลงทุนไว้อย่างแน่นอน เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือนด้วยเงินลงทุนที่เท่ากัน การลงทุนเช่นนี้จะช่วยให้เฉลี่ยราคาต้นทุนซื้อหุ้นทั้งในสภาวะราคาหุ้นปรับตัวต่ำลงและสูงขึ้น เพื่อช่วยลดความผันผวนของราคาและความผิดพลาดในการตัดสินใจนั่นเอง กลยุทธ์นี้นักลงทุนจำเป็นต้องมีวินัยในการลงทุนและปฏิบัติตามแนวทางที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่กล่าวมา อาจเคยเกิดขึ้นกับนักลงทุนที่ลงทุนมาอย่างยาวนานทุกคน ผู้เริ่มสนใจลงทุนอาจเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าว่ามีข้อดีข้อเสีย ตลอดจนผลลัพธ์ของแต่ละแนวทางว่าเหมาะกับแนวทางการลงทุนและวิถีการใช้ชีวิตของตนอย่างไร ในฐานะ อvalue investor "หากจะต้อง…เลือก" ต้องไม่เลือกแบบสถานการณ์แรกแน่ ๆ คอนเฟิร์ม !