สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เมื่อตายแล้ว เกิดใหม่ทันที ไม่มีระหว่างคั่น ปัญหาสำคัญก็คือว่า เราไม่รู้ว่าเขาเกิดเป็นอะไร แต่ก็ควรทำบุญอุทิศให้
การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับ ผลจะเกิดแก่บุคคลนั้นในสองลักษณะ และบุคคลนั้นจะรับรู้และอนุโมทนาได้ ก็มีข้อจำกัด คือ
๑. บุคคลนั้นเกิดในนรก เกิดเป็นเปรตประเภทที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากอกุศลกรรมแสนสาหัส เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาชั้นสูง ๆ บุคคลเหล่านี้ รับส่วนบุญ และอนุโมทนาส่วนบุญที่เราอุทิศให้ไม่ได้
๒. บุคคลนั้นเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีวิเปรต เป็นภุมมัฏฐเทวดา หรือเทวดาชั้นล่างๆ หรือเป็นเทาวดาในสวรรค์ ๖ ชั้น (โดยมากไม่เกินกว่าชั้นที่ ๒) เหล่านี้อนุโมทนาบุญได้ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นนั้นต่างกัน คือ
เปรต เมื่ออนุโมทนาส่วนบุญ เมื่อได้รับบุญที่เราอุทิศให้แล้ว เขาจะ"มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" หรือเรียกว่า มีปัจจัย ๔ ไว้ใช้ เช่น มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม มีสถานที่อยู่อาศัย
กรณีที่เป็นภุมมัฏฐเทวดา หรือเป็นเทวดาชั้นที่ไม่สูงมากนัก เขาอนุโมทนาบุญ (ถ้าเขารับรู้ว่าเราทำบุญให้แล้วเขาอนุโมทนา) สิ่งที่เขาจะได้คือ กำลังบุญที่มีมากขึ้น เช่น มีรัศมีมากขึ้น มีอำนาจในภพภูมิที่ตนเองอยู่มากขึ้น หรือเสวยทิพยสมบัติได้นานขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ บุญกุศลไม่อาจตามไปถึงเขาได้โดยอัตโนมัติ ถ้าเราทำบุญให้แล้ว แม้เขาอยู่ในฐานะจะรับส่วนบุญได้ แต่เขาไม่อนุโมทนา ผลบุญนั้นก็ไม่เกิดขึ้นแก่เขา เพราะกำลังจิตที่ผ่องใสนั้นไม่เกิดขึ้น การที่บุคคลจะได้รับส่วนบุญ เขาจะต้องอนุโมทนา คือแสดงความชื่นชมยินดีในการทำบุญของเรา และเราได้รำลึกถึงเขา เมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายมีต่อกันเช่นนี้ บุญจึงจะอุทิศไปได้
แต่แม้ว่าเราจะไม่ทราบว่าเขาไปเกิดที่ไหน แต่เราก็ควรทำบุญอุทิศให้ นั่นเพราะอะไร เพราะว่าการที่เราอุทิศส่วนบุญให้กับผู้อื่น เรายิ่งได้บุญมากขึ้น คือมีจิตที่ผ่องใสมากขึ้น เนื่องจากการอุทิศส่วนบุญ เป็นการแสดงถึงใจที่ปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น เราทำบุญแล้ว มีจิตผ่องใส อยากให้บุคคลอื่นได้มีจิตผ่องใสอย่างเราบ้าง จึงอุทิศส่วนบุญให้กับเขา การที่เรามีใจปรารถนาดีต่อผู้เป็นญาติ ก็คือแสดงถึงความเมตตา เมื่อจิตเกิดเมตตา ก็ย่อมเป็นบุญขึ้นมานั่นเอง ในขณะเดียวกัน ญาติผู้ล่วงลับ เมื่อมีใจชื่นชมยินดีในการทำบุญของเรา เขาเห็นการทำความดีแล้ว เขายินดีด้วย ใจก็เกิดมุทิตา ชื่นชมอนุโมทนาในความดีของเรา ข้อนี้ทำให้บุญเกิดขึ้นแก่เขา และเมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว กำลังจิตย่อมมีกำลัง กรณีที่เป็นเปรต หรือเป็นเทวดาชั้นล่าง ๆ เนื่องจากกุศลจิตจากการอนุโมทนานั้น ไม่มีกำลังมากพอจะทำให้จุติ (ตาย) จากภพเดิมไปเกิดในภพใหม่ได้ จึงมีผลอย่างสูงที่สุดก็คือทำให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ถ้าหากเขาไปเกิดในภูมิสูง หรือเกิดในภูมิต่ำที่ไม่อาจจะรับรู้การทำบุญและอนุโมทนาบุญได้ เขาก็ไม่ได้รับส่วนบุญ แต่ตัวผู้อุทิศส่วนบุญนั้นได้อยู่แล้ว คือได้บุญจากการทำความดีนั้นอย่างหนึ่ง และจากการอุทิศส่วนบุญด้วยใจปรารถนาดีนั้นอีกอย่างหนึ่ง
การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับ ผลจะเกิดแก่บุคคลนั้นในสองลักษณะ และบุคคลนั้นจะรับรู้และอนุโมทนาได้ ก็มีข้อจำกัด คือ
๑. บุคคลนั้นเกิดในนรก เกิดเป็นเปรตประเภทที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากอกุศลกรรมแสนสาหัส เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาชั้นสูง ๆ บุคคลเหล่านี้ รับส่วนบุญ และอนุโมทนาส่วนบุญที่เราอุทิศให้ไม่ได้
๒. บุคคลนั้นเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีวิเปรต เป็นภุมมัฏฐเทวดา หรือเทวดาชั้นล่างๆ หรือเป็นเทาวดาในสวรรค์ ๖ ชั้น (โดยมากไม่เกินกว่าชั้นที่ ๒) เหล่านี้อนุโมทนาบุญได้ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นนั้นต่างกัน คือ
เปรต เมื่ออนุโมทนาส่วนบุญ เมื่อได้รับบุญที่เราอุทิศให้แล้ว เขาจะ"มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" หรือเรียกว่า มีปัจจัย ๔ ไว้ใช้ เช่น มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม มีสถานที่อยู่อาศัย
กรณีที่เป็นภุมมัฏฐเทวดา หรือเป็นเทวดาชั้นที่ไม่สูงมากนัก เขาอนุโมทนาบุญ (ถ้าเขารับรู้ว่าเราทำบุญให้แล้วเขาอนุโมทนา) สิ่งที่เขาจะได้คือ กำลังบุญที่มีมากขึ้น เช่น มีรัศมีมากขึ้น มีอำนาจในภพภูมิที่ตนเองอยู่มากขึ้น หรือเสวยทิพยสมบัติได้นานขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ บุญกุศลไม่อาจตามไปถึงเขาได้โดยอัตโนมัติ ถ้าเราทำบุญให้แล้ว แม้เขาอยู่ในฐานะจะรับส่วนบุญได้ แต่เขาไม่อนุโมทนา ผลบุญนั้นก็ไม่เกิดขึ้นแก่เขา เพราะกำลังจิตที่ผ่องใสนั้นไม่เกิดขึ้น การที่บุคคลจะได้รับส่วนบุญ เขาจะต้องอนุโมทนา คือแสดงความชื่นชมยินดีในการทำบุญของเรา และเราได้รำลึกถึงเขา เมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายมีต่อกันเช่นนี้ บุญจึงจะอุทิศไปได้
แต่แม้ว่าเราจะไม่ทราบว่าเขาไปเกิดที่ไหน แต่เราก็ควรทำบุญอุทิศให้ นั่นเพราะอะไร เพราะว่าการที่เราอุทิศส่วนบุญให้กับผู้อื่น เรายิ่งได้บุญมากขึ้น คือมีจิตที่ผ่องใสมากขึ้น เนื่องจากการอุทิศส่วนบุญ เป็นการแสดงถึงใจที่ปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น เราทำบุญแล้ว มีจิตผ่องใส อยากให้บุคคลอื่นได้มีจิตผ่องใสอย่างเราบ้าง จึงอุทิศส่วนบุญให้กับเขา การที่เรามีใจปรารถนาดีต่อผู้เป็นญาติ ก็คือแสดงถึงความเมตตา เมื่อจิตเกิดเมตตา ก็ย่อมเป็นบุญขึ้นมานั่นเอง ในขณะเดียวกัน ญาติผู้ล่วงลับ เมื่อมีใจชื่นชมยินดีในการทำบุญของเรา เขาเห็นการทำความดีแล้ว เขายินดีด้วย ใจก็เกิดมุทิตา ชื่นชมอนุโมทนาในความดีของเรา ข้อนี้ทำให้บุญเกิดขึ้นแก่เขา และเมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว กำลังจิตย่อมมีกำลัง กรณีที่เป็นเปรต หรือเป็นเทวดาชั้นล่าง ๆ เนื่องจากกุศลจิตจากการอนุโมทนานั้น ไม่มีกำลังมากพอจะทำให้จุติ (ตาย) จากภพเดิมไปเกิดในภพใหม่ได้ จึงมีผลอย่างสูงที่สุดก็คือทำให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ถ้าหากเขาไปเกิดในภูมิสูง หรือเกิดในภูมิต่ำที่ไม่อาจจะรับรู้การทำบุญและอนุโมทนาบุญได้ เขาก็ไม่ได้รับส่วนบุญ แต่ตัวผู้อุทิศส่วนบุญนั้นได้อยู่แล้ว คือได้บุญจากการทำความดีนั้นอย่างหนึ่ง และจากการอุทิศส่วนบุญด้วยใจปรารถนาดีนั้นอีกอย่างหนึ่ง
แสดงความคิดเห็น
เราจะทราบได้อย่างไรว่าคนที่ตายไปนั้นไปเกิดหรือยัง และ...
หากคนที่ตายไปนั้นเขาไปเกิดแล้ว แต่ฝ่ายเรายังคงทำบุญ-แผ่เมตตาถึงเขาในชื่อ-นามสกุลเดิมของเขา
(ตามภพนี้ ชาตินี้ที่เขาเกิดมารู้จักเรา) ตามตัวตนเดิมของเขา (ที่เรารู้จักตลอดมาก่อนที่เขาจะตาย)
บุญที่ส่งไปนั้นจะไปถึงเขาได้โดยอัตโนมัติหรือเปล่าคะ
(ซึ่งเขาไปเกิดใหม่แล้ว...แต่ในภพภูมิใด ในรูปแบบใดเราก็ไม่อาจจะหยั่งรู้...ใช่ไหมคะ)
เช่น สมมุติถ้าพี่ชายเรา ชื่อ นาย ประตู นามสกุล หน้าต่าง เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2550
พี่เราน่าจะไปเกิดใหม่ (เป็นใด ๆ ภพภูมิไหนก็ตาม) แล้วใช่ไหมคะ
แต่ว่าเรากับพ่อและแม่ยังคงทำบุญ-แผ่เมตตาให้กับ นายประตู หน้าต่าง เป็นประจำต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในวันครบรอบวันตายทุก ๆ ปี
อย่างนี้ถ้าพี่ไปเกิดแล้ว (ซึ่งอาจจะไปเป็นกิ้งกือ ผู้หญิงสวย นก ฯลฯ)
ผลบุญจะส่งตามไปถึงชีวิตที่เกิดใหม่ของพี่โดยอัตโนมัติได้หรือเปล่าคะ
หวังว่าเราคงไม่ตั้งคำถามที่ทำให้งงนะคะ -.-" ขอโทษด้วยหากเป็นคำถามโง่ ๆ แต่เราไม่ทราบจริง ๆ
และขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบและความคิดเห็นค่ะ