มหาวีระ - ศาสดาแห่งศาสนาเชน ตอนที่ ๒

มหาวีระ - ศาสดาแห่งศาสนาเชน ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30011827
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

มหาวีระ

ศาสดาแห่งศาสนาเชน

ตอนที่ 2 (จบ)


เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา เจ้าชายวรรธมานทรงได้รับพิธียัชโญปวีต (พิธีสวมมงคล) คือ แสดงองค์เป็นศาสนิกตามคติของศาสนาพราหมณ์ โดยพระบิดาได้ส่งไปเล่าเรียนกับพรหมณาจารย์อยู่หลายปี แต่ปรากฏว่า แม้เจ้าชายจะสนใจในการศึกษา แต่ก็ไม่แฮ้ปปี้ในทิฐิและลัทธิของพราหมณ์ที่ว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุด (แม้วรรณะกษัตริย์ก็ยังต่ำกว่า)

แต่บรรดาพราหมณ์กลับมีความประพฤติไม่น่าเลื่อมใสนัก

เมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา เจ้าชายได้ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิง ยโศธา โดยต่อมามีธิดาชื่อ อโนชา เจ้าชายวรรธมานได้เสวยสุขในฆราวาสวิสัยจนพระชนมายุได้ 28 พรรษา ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพระองค์ไปตลอดกาล กล่าวคือ พระบิดาและพระมารดาของพระองค์ได้สิ้นพระชมน์ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน อันเนื่องมาจากการความเชื่อในช่วงเวลานั้นว่า หากผู้ใดปฏิบัติตบะอย่างเคร่งครัด จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหม ซึ่งทำให้มีผู้ปฏิบัติอย่างแรงกล้าจนถึงกับเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง

และพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ก็อยู่ในจำนวนนั้น


ชีวิตในวังของเจ้าชายวรรธมาน (มีวงแสงรอบพระเศียร)

เจ้าชายวรรธมานทรงเสียพระทัยมาก และได้เข้าเฝ้าพระเชษฐาซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์สืบแทนพระบิดา โดยทูลว่าจะขอออกผนวชบำเพ็ญตนเป็นคนพเนจรชั่วคราว เพื่อเป็นการไว้ทุกข์และรำลึกถึงพระบิดาและพระมารดา

แต่พระเชษฐาไม่ทรงเห็นด้วยและกล่าวทัดทานไว้ จนเวลาล่วงมาอีก 2 ปี เจ้าชายวรรธมานก็ทูลลาอีกครั้งหนึ่ง โดยสละพระชายาและพระธิดา เปลี่ยนผ้าคลุมพระกายเป็นแบบนักพรต ออกจากนครเวสาลีไป และได้ทรงประกาศปฏิญญาว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป 12 ปี เราจะไม่พูดกับใครๆ แม้แต่คำเดียว


มหาวีระปลงผมและเปลื้องอาภรณ์ออกบวช


เมื่อออกผนวชแล้ว มหาวีระก็ทรงปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด โดยมีจุดเด่นคือ ทมะ ขันติ และสัจจะ ที่ทำให้พระองค์มีชื่อเสียงโด่งดัง และสามารถเผยแผ่คำสอนออกไปได้อย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา

ศาสดามหาวีระบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยวิธีนิ่ง พอครบ 12 ปี (บางตำนานว่า 12 ปีครึ่ง) ก็บรรลุธรรมขั้นสูงสุดเรียกว่า เกวัล (keval) ตำราเชนระบุว่าขณะนั้นมหาวีระอยู่ในท่านั่งยองๆ คล้ายท่ารีดนมวัว การบรรลุเกวัลตามคติของศาสนาเชนเป็นการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เป็นพระอรหันต์ เป็นสัพพัญญู เรียกว่า พระชินะ คือ ผู้ชนะ (กิเลสในใจทั้งปวง) โดยสิ้นเชิง


มหาวีระขณะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เรียกว่า เกวัล

เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ชาวพุทธและคุณผู้อ่านที่นับถือศาสนาอื่น แต่พอรู้พุทธประวัติ อาจจะรำพึงในใจว่า เอ๊ะ! ทำไมประวัติของเจ้าชายวรรธมานจึงฟังเผิน ๆ แล้วคล้ายกับประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะนัก ตั้งแต่เป็นเจ้าชาย เบื่อหน่ายชีวิตทางโลกจึงออกบวช และบรรลุธรรม (นี่ยังไม่นับศัพท์แสงต่าง ๆ ที่มีส่วนคล้าย เช่น อรหันต์ และสัพพัญญู เป็นต้น) แถมอยู่ในช่วงสมัยเดียวกันอีก

นี่เองที่ทำให้ปราชญ์ฝรั่งยุคแรก ๆ สงสัยว่าศาสดาทั้งสององค์นี้อาจจะเป็นคนเดียวกัน แต่เมื่อเจาะลึกลงไป ก็ถึงบางอ้ออย่างมั่นใจว่าเป็นคนละองค์ เพราะวิถีชีวิต พฤติกรรม และคำสอนอื่น ๆ ที่เหลือ มีจุดเน้นต่างกันอย่างชัดเจน เพราะแม้ทั้งเชนและพุทธต่างก็เป็นอเทวนิยม แต่เชนเน้นอดีตกรรม ส่วนพุทธให้ความสำคัญกับปัจจุบันกรรม เชนสอนว่ามีอัตตา ส่วนพุทธสอนเรื่องอนัตตา เป็นอาทิ

หากมีข้อสงสัยว่า ทำไมศาสดามหาวีระจึงนุ่งลมห่มฟ้า เรื่องนี้มีตำนานว่า ภรรยาของพราหมณ์ยากจนคนหนึ่งบอกให้ไปขอสิ่งของจากมหาวีระ ท่านจึงมอบผ้าห่มกายของท่านให้พราหมณ์ไปครึ่งหนึ่ง ครั้นเมื่อภรรยาของพราหมร์นำผ้าดังกล่าวไปให้ช่างทอผ้าดู ช่างทอผ้าก็ว่า หากได้ครึ่งที่เหลือมา เขาก็จะเย็บผ้าเข้าด้วยกันเป็นผืนเดียวซึ่งขายได้หลายเหรียญทอง


มหาวีระมอบผ้าห่มกายแก่พราหมณ์

พราหมณ์คนนั้นจึงได้กลับไปหามหาวีระในป่าอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอ เดินไปได้ระยะหนึ่งผ้าพาดไหล่ของมหาวีระเกิดเกี่ยวติดพงหนามหลุดออกโดยอุบัติเหตุ พราหมณ์จึงฉวยโอกาสเก็บผ้าและรีบจากไป ส่วนมหาวีระนั้นก็ไม่ว่ากระไร เพราะตั้งใจว่าจะไม่กล่าวอะไรถึง 12 ปี

นับแต่นั้นมา มหาวีระจึงไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายมานับแต่นั้น (น่ารู้ไว้ว่า ศาสนาเชนมี 2 นิกายหลัก คือ นิกายทิคัมพร ซึ่งนักบวชยึดถือการนุ่งลมห่มฟ้าแบบเคร่งครัด และนิกายเศวตามพร ซึ่งนักบวชนุ่งผ้าขาว)

กลับไปช่วงเวลาหลังจากที่มหาวีระบรรลุเกวัลใหม่ ๆ  ท่านก็ได้ออกแสดงปฐมเทศนาใต้ต้นอโศก โดยตำนานกล่าวว่า องค์อินทร์และเหล่าเทพยดาทั้งปวงได้ลงมาจัดสร้างสถานที่แสดงธรรมให้


ปฐมเทศนา

ศาสดามหาวีระเสด็จท่องเที่ยวสั่งสอนศาสนาไปตามดินแดนต่าง ๆ เช่น แคว้นมคธ กาสี โกศล วัชชี และมัลละ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 72 พรรษา รวมเวลาสั่งสอนธรรมราว 30 ปีเศษ ในปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ พระองค์ได้ทรงประทับอยู่ที่ปาวา นครหลวงของแคว้นมัลละ และแสดงปัจฉิมโอวาท ณ เมืองนี้


ปัจฉิมเทศนา

ในวันที่ศาสดามหาวีระปรินิพพาน คัมภีร์ของเชนระบุว่ามีนักบวชราว 14,000 รูป มาร่วมงาน และประกาศเกียรติคุณของพระองค์ท่านไว้ว่า

“พระองค์ทรงวางเฉยเสมอกัน

ต่อกลิ่นแห่งโลกโสโครก และกลิ่นแห่งดอกไม้จันทน์

ทรงวางเฉยเสมอกันต่อ ฟางข้าว และเพชรพลอย

ต่อสิ่งโสโครก และทองคำ

ต่อความสุข และความทุกข์ ไม่ติดทั้งโลกนี้ และโลกหน้า

ไม่ต้องการชีวิต หรือความตาย”




http://www.gotoknow.org/posts/198540?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่