ย้อนรอย...จดหมายเปิดผนึกของนายอภิสิทธิ์ฯ "ตอแ_ลทุกบรรทัด เดอะ ซีรี่ย์" ตอนที่ 1/8
จากการที่นายอภิสิทธิ์ฯ ออกอาการกินปูนร้อนท้อง
เขียน "จดหมายเปิดผนึก จากใจ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงคนไทยทั้งประเทศ"
ด้วยข้อความที่แสดงความเห็นแก่ตัว และแสดงพฤติการณ์เลวทรามได้อย่าง
ครบถ้วน อันได้แก่
- พฤติการณ์การ “โกหก..ตอแ_ล..ปั้นน้ำเป็นตัว” เอาดีใส่ตัวแล้วโยน
ความชั่วให้คนอื่นๆ โดยไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังชอบสร้าง “วาทกรรมทางการเมือง” เพื่อเอาไว้ใช้แก้ตัว
หรือใส่ร้ายคนอื่นโดยเฉพาะ
- พฤติการณ์ “ฉ้อฉล..ตลบแตลง” ไม่มีความจริงใจกับใครทั้งสิ้นในโลกนี้
แม้กระทั่งสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งประเทศ มันยัง
แสดงพฤติการณ์ “หน้าไหว้ หลังหลอก” ตลอดระยะเวลาที่มันอยู่ในวง
การเมืองภายใต้ชื่อ “พรรคประชาธิปัตย์”
- พฤติการณ์ “กลืนเสลดตัวเอง” หรือ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”
ลืมคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่น แต่ตัวเองกลับทำเรื่อง
เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าที่ตัวเองเคยกล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่นไว้
- พฤติการณ์ “ไร้สำนึกของความเป็นมนุษย์” คำนึงถึงผลประโยชน์
ทางการเมืองของตนเอง ไม่มีความสำนึกและความรับผิดชอบต่อชีวิต
ของประชาชนอย่างแท้จริง มองเห็นชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นเพียง
เครื่องมือทางการเมืองของมันเท่านั้น ใครที่ไม่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
มันจะมองชีวิตคนเหล่านั้น เหมือนหมู เหมือนหมา ไม่อยู่ในสายตาของพวกมัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติการณ์ “เฮงซวย” ของนักการเมือง
ในพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาจนถึงยุคนายอภิสิทธิ์ฯ
ที่สืบทอดสันดานเฮงซวยกันมาได้อย่างยาวนาน และเพื่อความเข้าใจ
ทั้งในประเด็นข้อเท็จจริง และในประเด็นข้อกฎหมาย ตลอดจน
สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ฯ "สำราก" ผ่านจดหมายเปิดผนึกของมัน
ผมจึงขอแจกแจงรายละเอียดทีละประเด็น (ทั้งหมด 8 ประเด็น) เพื่อชี้ให้เห็น
ว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ฯ ได้เขียนไว้ในจดหมายของมันนั้น "ตอแ_ล ทุกบรรทัด" จริงๆ
1.) นายอภิสิทธิ์ฯ เขียนเอาไว้ในจดหมายเปิดผนึกของมันโดยกล่าวอ้างว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้อำนาจ บิดเบือน ยัดเยียด ข้อกล่าวหา
ให้กับนายอภิสิทธิ์ฯและนายสุเทพฯว่าเป็น “ฆาตกร”
นี่คือ “สันดานดิบ” ของนายอภิสิทธิ์ฯ ที่มักจะชอบกล่าวหาบุคคลอื่นๆ อย่างเลื่อนลอย
ใครที่ยังจำความได้ดีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ฯ เคยยื่นหน้าออกมาปกป้อง DSI
และนายธาริตฯ อย่างเต็มปากเต็มคำใช่หรือไม่?
และใครๆ ก็รู้กันว่าในตอนนั้น นายธาริตฯ กับนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ
แทบจะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ฯ
เขาก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนายธาริตฯ แต่อย่างใด เพราะเขาเห็นว่า
นายธาริตฯ ก็ปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อผ้า
แต่พอนายธาริตฯ ทำทุกอย่างตรงไปตรงมากับทั้งนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ
มันก็พากันแสดง “สันดานดิบ” ออกมาให้ประชาชนมองเห็นด้วยความสังเวชใจ
ไปตามๆ กัน ด้วยการประสานเสียงกล่าวโจมตีนายธาริตฯ ออกสื่อแบบ “สาดเสียเทเสีย”
ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่มขู่ไปต่างๆ นานา และที่เลวทรามที่สุด คือการกล่าวหา
นายธาริตฯ ว่า “กลั่นแกล้ง” พวกตนจากการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ฯ
และนายสุเทพฯ ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84, 288
ทั้งๆ ที่นายธาริตฯ เขาเพียงแต่ทำตามหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพราะเมื่อศาล
มีคำสั่งระบุสาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสั่ง
ของนายอภิสิทธิ์ฯ โดยนายสุเทพฯ ที่ได้มีคำสั่งให้ ศอฉ. นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร
พร้อมอาวุธปืนสงครามและกระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในช่วง
เดือนเมษายน 2553 ตามบันทึกการแจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาของ DSI
ความละเอียดปรากฏอยู่ใน หน้า 2 ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่
14 ธันวาคม 2555
ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ฯ จะระบุว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ด้วยการปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น
กับคำสั่งสลายการชุมนุม ก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมีพยานแวดล้อม
มากมายที่ยืนยันตรงกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นนายอภิสิทธิ์ฯ ได้พักอาศัย
อยู่ภายในกรมทหารราบ 11 รอ. อันเป็นที่ตั้งศูนย์อำนวยการของ ศอฉ. และ
ประกอบกับตลอดระยะเวลาที่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม
ของกลุ่ม นปช. สื่อมวลชนทุกแขนงก็ได้มีการรายงานข่าวการสูญเสียชีวิตของ
ผู้ร่วมชุมนุม และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ศอฉ. ก็ได้มีการประชุมสรุปรายงานความสูญเสียที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แต่นายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชา
หรือกำกับดูแล ศอฉ. อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับไม่เคยมีคำสั่งการให้ระงับยับยั้ง
หรือปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการสลายการชุมนุมเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการสูญเสีย
ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม นายอภิสิทธิ์ฯ ยัง “รู้เห็นเป็นใจ” กับนายสุเทพฯ ในฐานะ
ผู้อำนวยการ ศอฉ. อนุมัติให้มีการใช้พลซุ่มยิง (Sniper) เข้าปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่
การชุมนุม ซึ่งอยู่นอกเหนือการปฏิบัติตามหลักสากล
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ฯ ยังไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา
กับแกนนำ นปช. ที่ได้มีการแถลงร่วมกันผ่านสื่อสารมวลชนถึงข้อตกลงและเงื่อนไข
ที่จะยุติการชุมนุม โดยนายอภิสิทธิ์ฯ ยังคงยืนยันให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสลาย
การชุมนุมต่อไปจนเกิดการเสียชีวิตของประชาชน ผู้ร่วมชุมนุม และเจ้าหน้าที่
รวมทั้งสิ้น 99 ชีวิต มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โหดเหี้ยมอำมหิต
ยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการทหารทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายพิจารณาด้วย “สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์”
ก็จะตระหนักว่า นายอภิสิทธิ์ฯ นั้น มีความเป็นเดรัจฉานอยู่ในกมลสันดาน
เหี้ยมโหดอำมหิต ไร้สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อเป็น “ฆาตกร
กระหายเลือด” อย่างแท้จริง และการที่นายอภิสิทธิ์ฯ พยายามบอกว่า
ตนเองถูก "ยัดเยียด" ข้อกล่าวหานั้น ก็แสดงให้เห็นถึงสันดานเฮงซวย
ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นปะไร
....
ย้อนรอย...จดหมายเปิดผนึกของนายอภิสิทธิ์ฯ "ตอแ_ลทุกบรรทัด เดอะ ซีรี่ย์" ตอนที่ 1/8
จากการที่นายอภิสิทธิ์ฯ ออกอาการกินปูนร้อนท้อง
เขียน "จดหมายเปิดผนึก จากใจ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงคนไทยทั้งประเทศ"
ด้วยข้อความที่แสดงความเห็นแก่ตัว และแสดงพฤติการณ์เลวทรามได้อย่าง
ครบถ้วน อันได้แก่
- พฤติการณ์การ “โกหก..ตอแ_ล..ปั้นน้ำเป็นตัว” เอาดีใส่ตัวแล้วโยน
ความชั่วให้คนอื่นๆ โดยไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังชอบสร้าง “วาทกรรมทางการเมือง” เพื่อเอาไว้ใช้แก้ตัว
หรือใส่ร้ายคนอื่นโดยเฉพาะ
- พฤติการณ์ “ฉ้อฉล..ตลบแตลง” ไม่มีความจริงใจกับใครทั้งสิ้นในโลกนี้
แม้กระทั่งสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งประเทศ มันยัง
แสดงพฤติการณ์ “หน้าไหว้ หลังหลอก” ตลอดระยะเวลาที่มันอยู่ในวง
การเมืองภายใต้ชื่อ “พรรคประชาธิปัตย์”
- พฤติการณ์ “กลืนเสลดตัวเอง” หรือ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”
ลืมคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่น แต่ตัวเองกลับทำเรื่อง
เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าที่ตัวเองเคยกล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่นไว้
- พฤติการณ์ “ไร้สำนึกของความเป็นมนุษย์” คำนึงถึงผลประโยชน์
ทางการเมืองของตนเอง ไม่มีความสำนึกและความรับผิดชอบต่อชีวิต
ของประชาชนอย่างแท้จริง มองเห็นชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นเพียง
เครื่องมือทางการเมืองของมันเท่านั้น ใครที่ไม่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
มันจะมองชีวิตคนเหล่านั้น เหมือนหมู เหมือนหมา ไม่อยู่ในสายตาของพวกมัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติการณ์ “เฮงซวย” ของนักการเมือง
ในพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาจนถึงยุคนายอภิสิทธิ์ฯ
ที่สืบทอดสันดานเฮงซวยกันมาได้อย่างยาวนาน และเพื่อความเข้าใจ
ทั้งในประเด็นข้อเท็จจริง และในประเด็นข้อกฎหมาย ตลอดจน
สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ฯ "สำราก" ผ่านจดหมายเปิดผนึกของมัน
ผมจึงขอแจกแจงรายละเอียดทีละประเด็น (ทั้งหมด 8 ประเด็น) เพื่อชี้ให้เห็น
ว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ฯ ได้เขียนไว้ในจดหมายของมันนั้น "ตอแ_ล ทุกบรรทัด" จริงๆ
1.) นายอภิสิทธิ์ฯ เขียนเอาไว้ในจดหมายเปิดผนึกของมันโดยกล่าวอ้างว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้อำนาจ บิดเบือน ยัดเยียด ข้อกล่าวหา
ให้กับนายอภิสิทธิ์ฯและนายสุเทพฯว่าเป็น “ฆาตกร”
นี่คือ “สันดานดิบ” ของนายอภิสิทธิ์ฯ ที่มักจะชอบกล่าวหาบุคคลอื่นๆ อย่างเลื่อนลอย
ใครที่ยังจำความได้ดีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ฯ เคยยื่นหน้าออกมาปกป้อง DSI
และนายธาริตฯ อย่างเต็มปากเต็มคำใช่หรือไม่?
และใครๆ ก็รู้กันว่าในตอนนั้น นายธาริตฯ กับนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ
แทบจะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ฯ
เขาก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนายธาริตฯ แต่อย่างใด เพราะเขาเห็นว่า
นายธาริตฯ ก็ปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อผ้า
แต่พอนายธาริตฯ ทำทุกอย่างตรงไปตรงมากับทั้งนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ
มันก็พากันแสดง “สันดานดิบ” ออกมาให้ประชาชนมองเห็นด้วยความสังเวชใจ
ไปตามๆ กัน ด้วยการประสานเสียงกล่าวโจมตีนายธาริตฯ ออกสื่อแบบ “สาดเสียเทเสีย”
ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่มขู่ไปต่างๆ นานา และที่เลวทรามที่สุด คือการกล่าวหา
นายธาริตฯ ว่า “กลั่นแกล้ง” พวกตนจากการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ฯ
และนายสุเทพฯ ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84, 288
ทั้งๆ ที่นายธาริตฯ เขาเพียงแต่ทำตามหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพราะเมื่อศาล
มีคำสั่งระบุสาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสั่ง
ของนายอภิสิทธิ์ฯ โดยนายสุเทพฯ ที่ได้มีคำสั่งให้ ศอฉ. นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร
พร้อมอาวุธปืนสงครามและกระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในช่วง
เดือนเมษายน 2553 ตามบันทึกการแจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาของ DSI
ความละเอียดปรากฏอยู่ใน หน้า 2 ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่
14 ธันวาคม 2555
ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ฯ จะระบุว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ด้วยการปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น
กับคำสั่งสลายการชุมนุม ก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมีพยานแวดล้อม
มากมายที่ยืนยันตรงกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นนายอภิสิทธิ์ฯ ได้พักอาศัย
อยู่ภายในกรมทหารราบ 11 รอ. อันเป็นที่ตั้งศูนย์อำนวยการของ ศอฉ. และ
ประกอบกับตลอดระยะเวลาที่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม
ของกลุ่ม นปช. สื่อมวลชนทุกแขนงก็ได้มีการรายงานข่าวการสูญเสียชีวิตของ
ผู้ร่วมชุมนุม และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ศอฉ. ก็ได้มีการประชุมสรุปรายงานความสูญเสียที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แต่นายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชา
หรือกำกับดูแล ศอฉ. อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับไม่เคยมีคำสั่งการให้ระงับยับยั้ง
หรือปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการสลายการชุมนุมเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการสูญเสีย
ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม นายอภิสิทธิ์ฯ ยัง “รู้เห็นเป็นใจ” กับนายสุเทพฯ ในฐานะ
ผู้อำนวยการ ศอฉ. อนุมัติให้มีการใช้พลซุ่มยิง (Sniper) เข้าปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่
การชุมนุม ซึ่งอยู่นอกเหนือการปฏิบัติตามหลักสากล
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ฯ ยังไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา
กับแกนนำ นปช. ที่ได้มีการแถลงร่วมกันผ่านสื่อสารมวลชนถึงข้อตกลงและเงื่อนไข
ที่จะยุติการชุมนุม โดยนายอภิสิทธิ์ฯ ยังคงยืนยันให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสลาย
การชุมนุมต่อไปจนเกิดการเสียชีวิตของประชาชน ผู้ร่วมชุมนุม และเจ้าหน้าที่
รวมทั้งสิ้น 99 ชีวิต มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โหดเหี้ยมอำมหิต
ยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการทหารทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายพิจารณาด้วย “สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์”
ก็จะตระหนักว่า นายอภิสิทธิ์ฯ นั้น มีความเป็นเดรัจฉานอยู่ในกมลสันดาน
เหี้ยมโหดอำมหิต ไร้สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อเป็น “ฆาตกร
กระหายเลือด” อย่างแท้จริง และการที่นายอภิสิทธิ์ฯ พยายามบอกว่า
ตนเองถูก "ยัดเยียด" ข้อกล่าวหานั้น ก็แสดงให้เห็นถึงสันดานเฮงซวย
ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นปะไร
....