บันทึกของผู้เฒ่า
เรื่องที่ไม่อยากเล่า (๑)
วันนี้เป็นวันพุธ ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เรามีอายุ ๘๑ปี ๕ เดือน ๒๔ วัน เป็นวันที่ต้องบันทึกเรื่องพิเศษที่ประสบมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อ ๒-๓ วันก่อน โดยยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกประการ
มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดจะเล่า แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง อย่างไม่น่าเชื่อ
เริ่มจากการป่วยเป็นไข้หวัดเมื่อ ๒๘ สิงหาคม จนถึง ๑๐ กันยายน ซึ่งเป็นวันอาทิตย์จึงไปหาหมอ และได้ยาสามัญแก้ไข้แก้หวัดธรรมดามากิน มีกำหนดประมาณ ๕ วัน เหตุมันเกิดในระหว่างนี้เอง
ปกติเป็นคนนอนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนอนไม่หลับไม่เกิดบ่อยนัก นอกจากจะมีปัญหาหนักให้ขบคิด ตั้งแต่รับราชการ จนต่อมาคิดเขียนหนังสือ อาจมีบางเรื่องที่คิดไม่ตลอด กังวลจนนอนไม่หลับบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากเลิกเขียนหนังสือแล้ว ก็ไม่เป็นอีกเลย ก่อนนอนสวดมนต์แบบเด็กนักเรียนแล้ว หัวถึงหมอนไม่ถึงห้านาทีก็กรนแล้ว นี่ฟังจากที่คนอื่นบอก
แต่ ๓-๔ วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งหลับตาสวดมนต์อยู่บนเตียง ก็เกิดภาพให้เห็นเป็นหน้าบุคคลต่าง ๆ มากมาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่คนที่รู้จักในชีวิตนี้ เข้ามาใกล้หรือถอยห่างออกไปวุบวาบอยู่ จนต้องลืมตาขึ้น จากแสงสว่างในเวลากลางวัน และแสงไฟฟ้าหัวนอนในเวลากลางคืน ก็มีแต่ภาพฝาผนังห้อง ตู้หนังสือ สิ่งรกรุงรังเช่นที่เคยเห็นมาทุกวัน
ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี จึงไม่รู้สึกตกใจ ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นคนที่จำความฝันไม่ได้ ในเวลานอนเมื่อฝันจบเรื่องแล้วก็รู้สึกตัว แม้จะไม่ลืมตาก็บอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวอะไร ถ้ามีบุคคลร่วมอยู่ในความฝันด้วย ก็บอกตนเองได้ว่าเป็นใคร บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเช้าก็ลืมหมด
คราวนี้มาแปลกตรงที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน ยังนั่งสวดมนต์อยู่แท้ ๆ ดันเห็นภาพใต้หนังตา เป็นสีดำบ้างบางทีก็เป็นสีขาว ปกติเมื่อฝันว่าเดินไปตามทาง หรือตรอกซอกซอยอะไร ก็เห็นภาพข้างหน้าเหมือนที่ตาเราเห็นตอนตื่นอยู่ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าที่มืดก็จะรู้สึกตัว แต่ไม่ลืมตา ถ้าหลับต่อก็อาจจะเห็นต่อ แต่ไม่ใช่ที่เดิมก็ได้ และเส้นทางเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต และจะไม่ซ้ำที่กัน เพราะจะกลับมาหาจุดเดิมไม่เคยเจอเลย
แต่คราวนี้ในบรรยากาศที่มืดหรือสว่างนั้น กลับมีหน้าตาของผู้คนมากมายดังที่ว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้กลัวแต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงจะลืมตาขึ้นทันที เพราะไม่ได้หลับ ภาพที่เห็นก็เป็นปกติทุกครั้ง
จนถึงเมื่อคืนนี้ วันอังคาร ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. เข้ามุ้งแล้วก็นั่งเตรียมสวดมนต์ แต่ได้เหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจว่าทุกอย่างเป็นปกติ แล้วก็หลับตากราบหมอนเริ่มสวดมนต์ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จะเห็นภาพเหล่านั้นอีกหรือไม่ ก็ปรากฏว่าความสว่างที่อยู่ในมโนภาพนั้น กลายเป็นเหมือนมุ้ง แล้วตัวเราอยู่นอกมุ้ง แล้วมุ้งนั้นก็ขยุกขยุยเหมือนมีคนอยู่ข้างใน เกิดการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนคนในนั้นยกมือยกเท้ายื่นหน้า ตุงทางโน้นตุงทางนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำท่าคุกคามเราซึ่งยังสวดมนต์อยู่ และประสาทที่อยู่นอกความควบคุมของเรา ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้น ตลอดสันหลังจนถึงท้ายทอย และเส้นเราบนศีรษะ อย่างที่เรียกกันว่า ขนหัวลุกนั่นแหละ รู้สึกในทันทีว่าความกลัวกำลังจะเข้าครอบงำจิตใจ จึงลืมตาขึ้นเมื่อสวดจบบทแล้ว เพราะบทสวดนั้นไม่ยาวไม่ได้สวดพิสดารอะไร ภาพที่เห็นรอบ ๆ ตัวก็คงเหมือนเดิม อาการขนลุกค่อย ๆ สงบลง
นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ใหญ่ แล้วก็อยากจะทดลองใหม่ เพราะความจริงนั้นใจไม่ได้กลัว แต่กายมันพาให้ใจที่เข้มแข็งระย่อลงไปเอง จึงหลับตาแล้วเริ่มสวดมนต์บทเดิม เพียงครู่เดียวก็เกิดภาพเช่นเดิม แล้วก็เกิดอาการขนหัวลุกเช่นเดิม ทนอยู่นานกว่าคราวก่อน สวดมนต์เรื่อยไปจนจบบท จึงลืมตาขึ้นก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม
ตลอดเวลาไม่ได้นึกว่าเป็นผีหลอก แต่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นครั้งแรก ในชีวิตที่อยู่มา ๘๐ กว่าปี นั่งพิจารณาหาเหตุผล ก็ไม่สามารถตอบตนเองได้ นอกจากสงสัยว่า อย่างนี้จะเป็นการเริ่มต้น ของโรคประสาทหรือไม่ เพราะเราเคยพบคนที่เป็นโรคประสาท เห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ที่น่ากลัว แล้วก็เกิดความกลัวจนตัวสั่น เพราะเขาเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่เราไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่าฝัน แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก็ลงนอนหงาย เพราะปกติจะนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากตะแคงขวาไม่ได้ จะเกิดอาการกรดไหลย้อน คิดว่าจะห่มผ้า ห่มบาง ๆ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดดังเปาะแปะแล้วจะดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
คราวนเมื่อหลับตาลงก็เห็นว่าในพื้นที่ของความมืดนั้น เต็มไปด้วยหน้าตาผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยเช่นเดิม และทำท่าคุกคามมากกว่าเดิม ขนหัวก็ลุกอย่างเดิม แต่ข่มใจไม่ลืมตาขึ้น เพราะรู้แล้วว่า เขาเข้ามาทำอันตรายเราจริง ๆ ไม่ได้ เอาเป็นว่า ใช้จิตวิทยามาสู้กัน ใจก็นึกสวดมนต์จบหรือไม่จบก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวดูนาฬิกา เป็นเวลา ๐๒.๔๕ น.เศษ ก็กลับไปหลับตาพักอยู่จนถึงตีสี่ จึงลุกขึ้นมาล้างหน้าข้าคอมพ์ วางกระทู้ เก็บตกจากตู้หนังสือ ตอนที่ ๘๓ แล้ว อ่านกระทู้ดูบล็อกของผู้อื่นอีกนิดหน่อย จนถึงตีห้า จึงลงมือบันทึกเรื่องพิสดารนี้ ขณะที่พิมพ์ก็ขนลุกซู่ ๆ โดยไม่สามารถบังคับได้ แต่ก็ไม่ได้กลัวเช่นเดิม
ขณะนี้เวลา ๐๖.๒๐ น.แล้ว ได้เวลาออกไปหาอาหารเช้า วันนี้จะต้องไปสังสรรค์ กับเพื่อนเก่าชาวสื่อสาร ต้องรอต่อไปว่าจะมีอะไรมาเล่าต่อ
วันนี้ยังเป็นวันพุธ ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เวลา ๒๐.๑๖ น.ตามเวลาใต้จอคอมพ์ที่กำลังจะบันทึกต่อจาก ตอนต้น เมื่อเช้าออกจากบ้าน เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เพื่อไปร่วมสังสรรค์ประจำเดือนกับ เพื่อนซึ่งได้เคยทำงานรุ่นเดียวกันใน กรมการทหารสื่อสาร ที่ภัตตาคารวิเศษไห่ย่าง บางโพ เลิกงานกลับถึงบ้านประมาณ ๑๔.๓๐ น. ว่าจะนอน แต่เพื่อนให้ต้นอัญชันมาสามประถาง จึงหาที่ปลูกตรงมุมรั้วหน้าบ้าน แล้วก็เข้าอินเตอร์เนต เวปพันทิป ดูกระทู้ที่วางไว้ เมื่อตอบเสร็จแล้วก็อ่านกระทู้อื่น ๆ ต่อไป จนได้เวลากินอาหารเย็น ประมาณ ๑๗.๐๐ น. กินข้าวต้มใส่ปูผัดผงกะหรี่ถ้วยหนึ่ง แล้วก็ติดต่อกับลูกชายที่สระบุรี เพื่อส่งภาพสดหลานอายุ ๙ เดือนมาดูเล่น
เมื่อจบเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็กินยาหลังอาหารและไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวนอน ระหว่างนั้นได้นึกกึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ขนลุกเกรียว ๆ อยู่เป็นพัก ๆ ถามตัวเองว่ากลัวหรือ เพราะใกล้จะถึงเวลานอนแล้ว ก็ตอบว่าไม่ได้กลัว อยากรู้เหมือนกันว่า คืนนี้จะเป็นอย่างเดิมอีกหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งว่าคงจะกลัวแต่ไม่รู้จะหนีไปไหน ก็เลยทำเป็นกล้า ก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
ตอนอยู่ในห้องน้ำก็คิดอย่างนี้อีก เวลาหลับตาให้น้ำฝักบัวล้างสบู่บนใบหน้า จึงคิดว่า ถ้าหลับตาในเวลานี้จะเห็นอะไรไหม ก็ล้างไปเรื่อย ๆ แล้วก็เพ่งไปบนหนังตาที่ปิดสนิทไม่ให้น้ำเข้าตา เมื่ออยู่ด้านดวงไฟ พื้นหลังก็เป็นสีขาว เมื่อค่อย ๆ หมุนตัวไปทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา พื้นหลังก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำจนมืด เพ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเลิกอาบน้ำ เมื่อแต่งตัวแล้วก็เข้ามาเปิดคอมพ์ เพื่อบันทึกตรงช่วงนี้ จนจบความเมื่อเวลา ๒๐.๓๔ น. และอ่านทานจนถึงเวลา ๒๐.๔๙ น.
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในเรื่องกรรม และความมีเหตุผล เขื่อว่าเมื่อผลเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดมาแต่เหตุเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่กลัวผี แต่ก็ไม่อยากเจอผี ถ้าไม่เป็นโรคจิตประสาท ที่ต้องอาศัยยาระงับ ก็อาจจะเกิดความกลัว จนหัวใจวายไปเลย................แค่นั้นเอง.
#############
เรื่องบที่ไม่อยากเล่า
เรื่องที่ไม่อยากเล่า (๑)
วันนี้เป็นวันพุธ ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เรามีอายุ ๘๑ปี ๕ เดือน ๒๔ วัน เป็นวันที่ต้องบันทึกเรื่องพิเศษที่ประสบมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อ ๒-๓ วันก่อน โดยยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกประการ
มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดจะเล่า แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง อย่างไม่น่าเชื่อ
เริ่มจากการป่วยเป็นไข้หวัดเมื่อ ๒๘ สิงหาคม จนถึง ๑๐ กันยายน ซึ่งเป็นวันอาทิตย์จึงไปหาหมอ และได้ยาสามัญแก้ไข้แก้หวัดธรรมดามากิน มีกำหนดประมาณ ๕ วัน เหตุมันเกิดในระหว่างนี้เอง
ปกติเป็นคนนอนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนอนไม่หลับไม่เกิดบ่อยนัก นอกจากจะมีปัญหาหนักให้ขบคิด ตั้งแต่รับราชการ จนต่อมาคิดเขียนหนังสือ อาจมีบางเรื่องที่คิดไม่ตลอด กังวลจนนอนไม่หลับบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากเลิกเขียนหนังสือแล้ว ก็ไม่เป็นอีกเลย ก่อนนอนสวดมนต์แบบเด็กนักเรียนแล้ว หัวถึงหมอนไม่ถึงห้านาทีก็กรนแล้ว นี่ฟังจากที่คนอื่นบอก
แต่ ๓-๔ วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งหลับตาสวดมนต์อยู่บนเตียง ก็เกิดภาพให้เห็นเป็นหน้าบุคคลต่าง ๆ มากมาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่คนที่รู้จักในชีวิตนี้ เข้ามาใกล้หรือถอยห่างออกไปวุบวาบอยู่ จนต้องลืมตาขึ้น จากแสงสว่างในเวลากลางวัน และแสงไฟฟ้าหัวนอนในเวลากลางคืน ก็มีแต่ภาพฝาผนังห้อง ตู้หนังสือ สิ่งรกรุงรังเช่นที่เคยเห็นมาทุกวัน
ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี จึงไม่รู้สึกตกใจ ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นคนที่จำความฝันไม่ได้ ในเวลานอนเมื่อฝันจบเรื่องแล้วก็รู้สึกตัว แม้จะไม่ลืมตาก็บอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวอะไร ถ้ามีบุคคลร่วมอยู่ในความฝันด้วย ก็บอกตนเองได้ว่าเป็นใคร บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเช้าก็ลืมหมด
คราวนี้มาแปลกตรงที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน ยังนั่งสวดมนต์อยู่แท้ ๆ ดันเห็นภาพใต้หนังตา เป็นสีดำบ้างบางทีก็เป็นสีขาว ปกติเมื่อฝันว่าเดินไปตามทาง หรือตรอกซอกซอยอะไร ก็เห็นภาพข้างหน้าเหมือนที่ตาเราเห็นตอนตื่นอยู่ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าที่มืดก็จะรู้สึกตัว แต่ไม่ลืมตา ถ้าหลับต่อก็อาจจะเห็นต่อ แต่ไม่ใช่ที่เดิมก็ได้ และเส้นทางเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต และจะไม่ซ้ำที่กัน เพราะจะกลับมาหาจุดเดิมไม่เคยเจอเลย
แต่คราวนี้ในบรรยากาศที่มืดหรือสว่างนั้น กลับมีหน้าตาของผู้คนมากมายดังที่ว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้กลัวแต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงจะลืมตาขึ้นทันที เพราะไม่ได้หลับ ภาพที่เห็นก็เป็นปกติทุกครั้ง
จนถึงเมื่อคืนนี้ วันอังคาร ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. เข้ามุ้งแล้วก็นั่งเตรียมสวดมนต์ แต่ได้เหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจว่าทุกอย่างเป็นปกติ แล้วก็หลับตากราบหมอนเริ่มสวดมนต์ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จะเห็นภาพเหล่านั้นอีกหรือไม่ ก็ปรากฏว่าความสว่างที่อยู่ในมโนภาพนั้น กลายเป็นเหมือนมุ้ง แล้วตัวเราอยู่นอกมุ้ง แล้วมุ้งนั้นก็ขยุกขยุยเหมือนมีคนอยู่ข้างใน เกิดการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนคนในนั้นยกมือยกเท้ายื่นหน้า ตุงทางโน้นตุงทางนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำท่าคุกคามเราซึ่งยังสวดมนต์อยู่ และประสาทที่อยู่นอกความควบคุมของเรา ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้น ตลอดสันหลังจนถึงท้ายทอย และเส้นเราบนศีรษะ อย่างที่เรียกกันว่า ขนหัวลุกนั่นแหละ รู้สึกในทันทีว่าความกลัวกำลังจะเข้าครอบงำจิตใจ จึงลืมตาขึ้นเมื่อสวดจบบทแล้ว เพราะบทสวดนั้นไม่ยาวไม่ได้สวดพิสดารอะไร ภาพที่เห็นรอบ ๆ ตัวก็คงเหมือนเดิม อาการขนลุกค่อย ๆ สงบลง
นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ใหญ่ แล้วก็อยากจะทดลองใหม่ เพราะความจริงนั้นใจไม่ได้กลัว แต่กายมันพาให้ใจที่เข้มแข็งระย่อลงไปเอง จึงหลับตาแล้วเริ่มสวดมนต์บทเดิม เพียงครู่เดียวก็เกิดภาพเช่นเดิม แล้วก็เกิดอาการขนหัวลุกเช่นเดิม ทนอยู่นานกว่าคราวก่อน สวดมนต์เรื่อยไปจนจบบท จึงลืมตาขึ้นก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม
ตลอดเวลาไม่ได้นึกว่าเป็นผีหลอก แต่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นครั้งแรก ในชีวิตที่อยู่มา ๘๐ กว่าปี นั่งพิจารณาหาเหตุผล ก็ไม่สามารถตอบตนเองได้ นอกจากสงสัยว่า อย่างนี้จะเป็นการเริ่มต้น ของโรคประสาทหรือไม่ เพราะเราเคยพบคนที่เป็นโรคประสาท เห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ที่น่ากลัว แล้วก็เกิดความกลัวจนตัวสั่น เพราะเขาเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่เราไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่าฝัน แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก็ลงนอนหงาย เพราะปกติจะนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากตะแคงขวาไม่ได้ จะเกิดอาการกรดไหลย้อน คิดว่าจะห่มผ้า ห่มบาง ๆ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดดังเปาะแปะแล้วจะดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
คราวนเมื่อหลับตาลงก็เห็นว่าในพื้นที่ของความมืดนั้น เต็มไปด้วยหน้าตาผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยเช่นเดิม และทำท่าคุกคามมากกว่าเดิม ขนหัวก็ลุกอย่างเดิม แต่ข่มใจไม่ลืมตาขึ้น เพราะรู้แล้วว่า เขาเข้ามาทำอันตรายเราจริง ๆ ไม่ได้ เอาเป็นว่า ใช้จิตวิทยามาสู้กัน ใจก็นึกสวดมนต์จบหรือไม่จบก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวดูนาฬิกา เป็นเวลา ๐๒.๔๕ น.เศษ ก็กลับไปหลับตาพักอยู่จนถึงตีสี่ จึงลุกขึ้นมาล้างหน้าข้าคอมพ์ วางกระทู้ เก็บตกจากตู้หนังสือ ตอนที่ ๘๓ แล้ว อ่านกระทู้ดูบล็อกของผู้อื่นอีกนิดหน่อย จนถึงตีห้า จึงลงมือบันทึกเรื่องพิสดารนี้ ขณะที่พิมพ์ก็ขนลุกซู่ ๆ โดยไม่สามารถบังคับได้ แต่ก็ไม่ได้กลัวเช่นเดิม
ขณะนี้เวลา ๐๖.๒๐ น.แล้ว ได้เวลาออกไปหาอาหารเช้า วันนี้จะต้องไปสังสรรค์ กับเพื่อนเก่าชาวสื่อสาร ต้องรอต่อไปว่าจะมีอะไรมาเล่าต่อ
วันนี้ยังเป็นวันพุธ ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เวลา ๒๐.๑๖ น.ตามเวลาใต้จอคอมพ์ที่กำลังจะบันทึกต่อจาก ตอนต้น เมื่อเช้าออกจากบ้าน เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เพื่อไปร่วมสังสรรค์ประจำเดือนกับ เพื่อนซึ่งได้เคยทำงานรุ่นเดียวกันใน กรมการทหารสื่อสาร ที่ภัตตาคารวิเศษไห่ย่าง บางโพ เลิกงานกลับถึงบ้านประมาณ ๑๔.๓๐ น. ว่าจะนอน แต่เพื่อนให้ต้นอัญชันมาสามประถาง จึงหาที่ปลูกตรงมุมรั้วหน้าบ้าน แล้วก็เข้าอินเตอร์เนต เวปพันทิป ดูกระทู้ที่วางไว้ เมื่อตอบเสร็จแล้วก็อ่านกระทู้อื่น ๆ ต่อไป จนได้เวลากินอาหารเย็น ประมาณ ๑๗.๐๐ น. กินข้าวต้มใส่ปูผัดผงกะหรี่ถ้วยหนึ่ง แล้วก็ติดต่อกับลูกชายที่สระบุรี เพื่อส่งภาพสดหลานอายุ ๙ เดือนมาดูเล่น
เมื่อจบเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็กินยาหลังอาหารและไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวนอน ระหว่างนั้นได้นึกกึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ขนลุกเกรียว ๆ อยู่เป็นพัก ๆ ถามตัวเองว่ากลัวหรือ เพราะใกล้จะถึงเวลานอนแล้ว ก็ตอบว่าไม่ได้กลัว อยากรู้เหมือนกันว่า คืนนี้จะเป็นอย่างเดิมอีกหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งว่าคงจะกลัวแต่ไม่รู้จะหนีไปไหน ก็เลยทำเป็นกล้า ก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
ตอนอยู่ในห้องน้ำก็คิดอย่างนี้อีก เวลาหลับตาให้น้ำฝักบัวล้างสบู่บนใบหน้า จึงคิดว่า ถ้าหลับตาในเวลานี้จะเห็นอะไรไหม ก็ล้างไปเรื่อย ๆ แล้วก็เพ่งไปบนหนังตาที่ปิดสนิทไม่ให้น้ำเข้าตา เมื่ออยู่ด้านดวงไฟ พื้นหลังก็เป็นสีขาว เมื่อค่อย ๆ หมุนตัวไปทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา พื้นหลังก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำจนมืด เพ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเลิกอาบน้ำ เมื่อแต่งตัวแล้วก็เข้ามาเปิดคอมพ์ เพื่อบันทึกตรงช่วงนี้ จนจบความเมื่อเวลา ๒๐.๓๔ น. และอ่านทานจนถึงเวลา ๒๐.๔๙ น.
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในเรื่องกรรม และความมีเหตุผล เขื่อว่าเมื่อผลเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดมาแต่เหตุเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่กลัวผี แต่ก็ไม่อยากเจอผี ถ้าไม่เป็นโรคจิตประสาท ที่ต้องอาศัยยาระงับ ก็อาจจะเกิดความกลัว จนหัวใจวายไปเลย................แค่นั้นเอง.
#############