เรื่องสั้น
ภาพหลอน
เพทาย
เขาเป็นคนธรรมะธรรมโม รักษาศีลห้าบ้างตามที่สามารถทำได้ ครบบ้างไม่ครบบ้าง แต่ชอบศึกษาธรรมะจากข้อเขียนของ ท่านอาจารย์ชื่อดังทั้งหลาย เขาเชื่อกรรม แต่ไม่เชื่อนรกสวรรค์ เขาเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด แต่เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสี
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบ เรื่องที่เขาไม่เคยเชื่อ เรื่องซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ปกติเขาเป็นคนนอนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนอนไม่หลับไม่เกิดบ่อยนัก นอกจากจะมีปัญหาหนักให้ขบคิด และ กังวลจนนอนไม่หลับบ้างเป็นครั้งคราว เขาสวดมนต์ก่อนนอนแบบเด็กนักเรียน สวดที่โรงเรียน จบแล้วพอหัวถึงหมอนไม่ทันห้านาที ก็กรนครอกแล้ว
แต่ ๓-๔ วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งหลับตาสวดมนต์อยู่บนเตียง ก็เกิดภาพให้เห็นเป็นหน้าบุคคลต่าง ๆ มากมาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่คนที่รู้จักในชีวิตนี้ เข้ามาใกล้หรือถอยห่างออกไปวูบวาบอยู่ จนต้องลืมตาขึ้น
จากแสงสว่างในเวลากลางวัน และแสงไฟฟ้าหัวนอนในเวลากลางคืน ก็มีแต่ภาพฝาผนังห้อง ตู้หนังสือ สิ่งรกรุงรังเช่นที่เคยเห็นมาทุกวัน
ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นคนที่จำความฝันไม่ได้ ในเวลานอนเมื่อฝันจบเรื่องแล้วก็รู้สึกตัว แม้จะไม่ลืมตาก็บอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวอะไร ถ้ามีบุคคลร่วมอยู่ในความฝันด้วย ก็บอกตนเองได้ว่าเป็นใคร บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วพอตื่นเช้าก็ลืมหมด
คราวนี้มาแปลกตรงที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน ยังนั่งสวดมนต์อยู่แท้ ๆ ดันเห็นภาพใต้หนังตา เป็นสีดำบ้างบางทีก็เป็นสีขาว ปกติเมื่อฝันว่าเดินไปตามทาง หรือตรอกซอกซอยอะไร ก็เห็นภาพข้างหน้าเหมือนที่ตาเขาเห็นตอนตื่นอยู่ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าที่มืดก็จะรู้สึกตัว แต่ไม่ลืมตา
ถ้าหลับต่อก็อาจจะเห็นต่อ แต่ไม่ใช่ที่เดิมก็ได้ และเส้นทางเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต และจะไม่ซ้ำที่กัน เพราะจะกลับมาหาจุดเดิมไม่เคยเจอเลย
แต่คราวนี้ในบรรยากาศที่มืดหรือสว่างนั้น กลับมีหน้าตาของผู้คนมากมายดังที่ว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาไม่ได้กลัวแต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงจะลืมตาขึ้นทันที เพราะไม่ได้หลับ ภาพที่เห็นก็เป็นปกติทุกครั้ง
จนถึงเมื่อคืนนี้ เขาเข้ามุ้งที่ครอบเตียงหวายเล็ก ๆ เพราะไม่ใช่ห้องติดแอร์ และมุ้งลวดชำรุด แล้วก็นั่งเตรียมสวดมนต์ แต่ได้เหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจว่าทุกอย่างเป็นปกติ แล้วก็หลับตากราบหมอนเริ่มสวดมนต์ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จะเห็นภาพเหล่านั้นอีกหรือไม่
ก็ปรากฏว่าความสว่างที่อยู่ในมโนภาพนั้น กลายเป็นเหมือนมุ้ง แล้วตัวเขาออกมาอยู่นอกมุ้ง แล้วมุ้งนั้นก็ขยุกขยิกเหมือนมีคนอยู่ข้างใน เกิดการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนคนในนั้นยกมือยกเท้ายื่นหน้า ตุงทางโน้นตุงทางนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำท่าคุกคามเขาซึ่งยังสวดมนต์อยู่
ประสาทที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเขา ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้น ตลอดสันหลังจนถึงท้ายทอย และเส้นผมบนศีรษะ อย่างที่เรียกกันว่า ขนหัวลุกนั่นแหละ รู้สึกในทันทีว่าความกลัวกำลังจะเข้าครอบงำจิตใจ เขาจึงลืมตาขึ้นเมื่อสวดจบบทแล้ว เพราะบทสวดนั้นไม่ยาวไม่ได้สวดพิสดารอะไร ภาพที่เห็น รอบ ๆ ตัวก็คงเหมือนเดิม อาการขนลุกค่อย ๆ สงบลง
เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ใหญ่ แล้วก็อยากจะทดลองใหม่ เพราะความจริงนั้นใจไม่ได้กลัว แต่กายมันพาให้ใจที่เข้มแข็งระย่อลงไปเอง จึงหลับตาแล้วเริ่มสวดมนต์บทเดิม เพียงครู่เดียวก็เกิดภาพเช่นเดิม แล้วก็เกิดอาการขนหัวลุกเช่นเดิม ทนอยู่นานกว่าคราวก่อน สวดมนต์เรื่อยไปจนจบบท จึงลืมตาขึ้นก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม
ตลอดเวลาเขาไม่ได้นึกว่าเป็นผีหลอก แต่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต เขานั่งพิจารณาหาเหตุผล ก็ไม่สามารถตอบตนเองได้ นอกจากสงสัยว่า อย่างนี้จะเป็นการเริ่มต้น ของโรคประสาทหรือไม่ เพราะเขาเคยพบคนที่เป็นโรคประสาท เห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ที่น่ากลัว แล้วก็เกิดความกลัวจนตัวสั่น เพราะมีความเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่าฝัน แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาลงนอนหงาย เพราะปกติจะนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากตะแคงขวาไม่ได้ จะเกิดอาการกรดไหลย้อน คิดว่าจะห่มผ้า ห่มบาง ๆ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดดังเปาะแปะแล้ว จะดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
คราวนี้เมื่อเขาหลับตาลง ก็เห็นว่าในพื้นที่ของความมืดนั้น เต็มไปด้วยหน้าตาของผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยเช่นเดิม และทำท่าคุกคามมากกว่าเดิม ดวงตาดุดันน่ากลัว อ้าปากกว้างแสยะแยกเขี้ยว บางทีก็ยื่นเข้ามาใกล้จนหน้าจะชนกัน กางมือเหมือนจะเข้ามาบีบคอ ขนหัวก็ลุกชัน
แต่เขาก็ข่มใจไม่ลืมตาขึ้น ใจก็นึกสวดมนต์จบหรือไม่จบก็ไม่รู้ เขารู้สึกว่าเป็นเวลานานมาก จนกระทั่งผลอยไปเมื่อไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็เกือบเช้าวันรุ่งขึ้น
แม้เขาจะไม่เชื่อว่าเป็นผี หรือวิญญาณ แต่เขาก็สวดบทแผ่เมตตา และกรวดน้ำ เหมือนอย่างทุกคืน แต่ความวิตกกังวลก็ยังไม่ลดลง
เวลานี้ก็ค่ำแล้ว ตอนสวดมนต์คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก และจะเพิ่มความหวาดเสียวน่ากลัวกว่าคืนก่อนหรือไม่
ถ้าไม่ใช่โรคประสาทแล้วมันคืออะไร เขาคิดวนเวียนอยู่ทั้งวัน และจะรักษาด้วยวิธีใด หรือว่าจะต้องอดทนไปทุกคืน จนกว่าวันหนึ่งสติของเขาจะจะขาดผึง แล้วเกิดความกลัว
จนหัวใจวายไปเลย
###########
Create Date : 20 กันยายน 2555
ภาพหลอน ๑๐ ธ.ค.๕๘
ภาพหลอน
เพทาย
เขาเป็นคนธรรมะธรรมโม รักษาศีลห้าบ้างตามที่สามารถทำได้ ครบบ้างไม่ครบบ้าง แต่ชอบศึกษาธรรมะจากข้อเขียนของ ท่านอาจารย์ชื่อดังทั้งหลาย เขาเชื่อกรรม แต่ไม่เชื่อนรกสวรรค์ เขาเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด แต่เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสี
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบ เรื่องที่เขาไม่เคยเชื่อ เรื่องซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ปกติเขาเป็นคนนอนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนอนไม่หลับไม่เกิดบ่อยนัก นอกจากจะมีปัญหาหนักให้ขบคิด และ กังวลจนนอนไม่หลับบ้างเป็นครั้งคราว เขาสวดมนต์ก่อนนอนแบบเด็กนักเรียน สวดที่โรงเรียน จบแล้วพอหัวถึงหมอนไม่ทันห้านาที ก็กรนครอกแล้ว
แต่ ๓-๔ วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งหลับตาสวดมนต์อยู่บนเตียง ก็เกิดภาพให้เห็นเป็นหน้าบุคคลต่าง ๆ มากมาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่คนที่รู้จักในชีวิตนี้ เข้ามาใกล้หรือถอยห่างออกไปวูบวาบอยู่ จนต้องลืมตาขึ้น
จากแสงสว่างในเวลากลางวัน และแสงไฟฟ้าหัวนอนในเวลากลางคืน ก็มีแต่ภาพฝาผนังห้อง ตู้หนังสือ สิ่งรกรุงรังเช่นที่เคยเห็นมาทุกวัน
ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นคนที่จำความฝันไม่ได้ ในเวลานอนเมื่อฝันจบเรื่องแล้วก็รู้สึกตัว แม้จะไม่ลืมตาก็บอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวอะไร ถ้ามีบุคคลร่วมอยู่ในความฝันด้วย ก็บอกตนเองได้ว่าเป็นใคร บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วพอตื่นเช้าก็ลืมหมด
คราวนี้มาแปลกตรงที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน ยังนั่งสวดมนต์อยู่แท้ ๆ ดันเห็นภาพใต้หนังตา เป็นสีดำบ้างบางทีก็เป็นสีขาว ปกติเมื่อฝันว่าเดินไปตามทาง หรือตรอกซอกซอยอะไร ก็เห็นภาพข้างหน้าเหมือนที่ตาเขาเห็นตอนตื่นอยู่ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าที่มืดก็จะรู้สึกตัว แต่ไม่ลืมตา
ถ้าหลับต่อก็อาจจะเห็นต่อ แต่ไม่ใช่ที่เดิมก็ได้ และเส้นทางเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต และจะไม่ซ้ำที่กัน เพราะจะกลับมาหาจุดเดิมไม่เคยเจอเลย
แต่คราวนี้ในบรรยากาศที่มืดหรือสว่างนั้น กลับมีหน้าตาของผู้คนมากมายดังที่ว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาไม่ได้กลัวแต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงจะลืมตาขึ้นทันที เพราะไม่ได้หลับ ภาพที่เห็นก็เป็นปกติทุกครั้ง
จนถึงเมื่อคืนนี้ เขาเข้ามุ้งที่ครอบเตียงหวายเล็ก ๆ เพราะไม่ใช่ห้องติดแอร์ และมุ้งลวดชำรุด แล้วก็นั่งเตรียมสวดมนต์ แต่ได้เหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจว่าทุกอย่างเป็นปกติ แล้วก็หลับตากราบหมอนเริ่มสวดมนต์ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จะเห็นภาพเหล่านั้นอีกหรือไม่
ก็ปรากฏว่าความสว่างที่อยู่ในมโนภาพนั้น กลายเป็นเหมือนมุ้ง แล้วตัวเขาออกมาอยู่นอกมุ้ง แล้วมุ้งนั้นก็ขยุกขยิกเหมือนมีคนอยู่ข้างใน เกิดการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนคนในนั้นยกมือยกเท้ายื่นหน้า ตุงทางโน้นตุงทางนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำท่าคุกคามเขาซึ่งยังสวดมนต์อยู่
ประสาทที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเขา ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้น ตลอดสันหลังจนถึงท้ายทอย และเส้นผมบนศีรษะ อย่างที่เรียกกันว่า ขนหัวลุกนั่นแหละ รู้สึกในทันทีว่าความกลัวกำลังจะเข้าครอบงำจิตใจ เขาจึงลืมตาขึ้นเมื่อสวดจบบทแล้ว เพราะบทสวดนั้นไม่ยาวไม่ได้สวดพิสดารอะไร ภาพที่เห็น รอบ ๆ ตัวก็คงเหมือนเดิม อาการขนลุกค่อย ๆ สงบลง
เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ใหญ่ แล้วก็อยากจะทดลองใหม่ เพราะความจริงนั้นใจไม่ได้กลัว แต่กายมันพาให้ใจที่เข้มแข็งระย่อลงไปเอง จึงหลับตาแล้วเริ่มสวดมนต์บทเดิม เพียงครู่เดียวก็เกิดภาพเช่นเดิม แล้วก็เกิดอาการขนหัวลุกเช่นเดิม ทนอยู่นานกว่าคราวก่อน สวดมนต์เรื่อยไปจนจบบท จึงลืมตาขึ้นก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม
ตลอดเวลาเขาไม่ได้นึกว่าเป็นผีหลอก แต่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต เขานั่งพิจารณาหาเหตุผล ก็ไม่สามารถตอบตนเองได้ นอกจากสงสัยว่า อย่างนี้จะเป็นการเริ่มต้น ของโรคประสาทหรือไม่ เพราะเขาเคยพบคนที่เป็นโรคประสาท เห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ที่น่ากลัว แล้วก็เกิดความกลัวจนตัวสั่น เพราะมีความเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่าฝัน แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาลงนอนหงาย เพราะปกติจะนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากตะแคงขวาไม่ได้ จะเกิดอาการกรดไหลย้อน คิดว่าจะห่มผ้า ห่มบาง ๆ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดดังเปาะแปะแล้ว จะดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
คราวนี้เมื่อเขาหลับตาลง ก็เห็นว่าในพื้นที่ของความมืดนั้น เต็มไปด้วยหน้าตาของผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยเช่นเดิม และทำท่าคุกคามมากกว่าเดิม ดวงตาดุดันน่ากลัว อ้าปากกว้างแสยะแยกเขี้ยว บางทีก็ยื่นเข้ามาใกล้จนหน้าจะชนกัน กางมือเหมือนจะเข้ามาบีบคอ ขนหัวก็ลุกชัน
แต่เขาก็ข่มใจไม่ลืมตาขึ้น ใจก็นึกสวดมนต์จบหรือไม่จบก็ไม่รู้ เขารู้สึกว่าเป็นเวลานานมาก จนกระทั่งผลอยไปเมื่อไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็เกือบเช้าวันรุ่งขึ้น
แม้เขาจะไม่เชื่อว่าเป็นผี หรือวิญญาณ แต่เขาก็สวดบทแผ่เมตตา และกรวดน้ำ เหมือนอย่างทุกคืน แต่ความวิตกกังวลก็ยังไม่ลดลง
เวลานี้ก็ค่ำแล้ว ตอนสวดมนต์คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก และจะเพิ่มความหวาดเสียวน่ากลัวกว่าคืนก่อนหรือไม่
ถ้าไม่ใช่โรคประสาทแล้วมันคืออะไร เขาคิดวนเวียนอยู่ทั้งวัน และจะรักษาด้วยวิธีใด หรือว่าจะต้องอดทนไปทุกคืน จนกว่าวันหนึ่งสติของเขาจะจะขาดผึง แล้วเกิดความกลัว
จนหัวใจวายไปเลย
###########
Create Date : 20 กันยายน 2555