เรื่องที่ไม่อยากเล่า (๒)

กระทู้สนทนา
บันทึกของผู้เฒ่า (๑๗๑)

เรื่องที่ไม่อยากเล่า (๒)

เมื่อคืน(วันรุ่งขึ้น)กางมุ้งนอนเวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. ตั้งสมาธิกราบหมอนสวดมนต์ตามปกติ พร้อมกับตั้งใจคอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายใต้หนังตาที่หลับสนิท ครู่เดียวก็ปรากฏภาพที่ว่า เหมือนคนอยู่ในมุ้งอย่างเคย ภายใต้มุ้งนั้นมีมือมีแขนยื่นเข้ามาถอยออกไป แม้จะขนลุกเกรียว แต่ใจเรายังคงนิ่งอยู่ตั้งหน้าสวดมนต์ออกเสียงให้ตนเองได้ยิน ภาพที่เห็นนั้นมีการคุกคามน้อยกว่าคืนก่อน จึงยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ กวาดไปทางขวาและซ้ายปากสวดมนต์แต่ใจคิดว่า จะมาดีหรือร้าย จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ได้ทั้งสองอย่าง แต่ก็ไม่กระทบอะไรเลย เพราะไม่ยาวไปถึงริมมุ้งของเรา สัมผัสแต่ความว่างเปล่า จนสวดจบบท แผ่เมตตา และกรวดน้ำเสร็จ จึงลืมตาขึ้น

ภาพรอบ ๆ ตัวก็เป็นปกติธรรมดา อาการขนลุกหายไปแล้ว สงบสติอารมณ์ที่ไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก ให้ราบเรียบลง ภาพที่เห็นไม่ทำให้น่ากลัวมากไปกว่าวันก่อน ไม่มีเหงื่อทั้ง ๆ ที่คืนนี้ฝนไม่ตก เมื่อสบายใจดีแล้วก็ลงนอนหงาย หลับตารำลึกพุทโธ ตามลมหายใจเข้าออก เหมือนเวลาทำสมาธิ ทันใดก็มีภาพคนต่างเพศต่างวัย โผล่ขึ้นมาข้างหน้าจากฉากหลังที่ดำมืด เพราะอยู่คนละด้านกับหลอดไฟหัวนอน แต่ใบหน้าของภาพเหล่านั้น ไม่ดูหน้ากลัวเหมือนคราวก่อน และสับเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่เข้ามาคุกคามอย่างเคย ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงในชุดขาวคล้ายแม่ชี เราจึงไม่รู้สึกขนลุกซู่ซ่าอะไร เมื่อแน่ใจแล้วว่า ไม่มีอันตรายเกิดกับเราแน่ จึงลืมตาขึ้น

แล้วก็นอนตะแคงซ้าย พร้อมกับรำลึกพุทโธ และเปลี่ยนเป็นนับเลข  ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ขึ้นต้น ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ แล้วก็ขึ้นใหม่ จนถึง ๑ ๑๐ ก็กลับมาเริ่ม ๑ ๕ ใหม่ ก็ไม่มีภาพอะไรมาให้เห็นอีกเลย

ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดูนาฬิกาเวลา ๐๒.๑๕ น. จึงลุกขึ้นฉี่ใส่กระโถน แล้วก็ลงนอนต่อ คราวนี้ไปรู้สึกตัวอีก ๒-๓ ครั้ง จึงลืมตาขึ้นเมื่อเวลา ๐๕.๕๐ น. ได้เวลาตื่นล้างหน้า แล้วออกไปซื้อขนมปังกับโกโก้เย็น มาปั่นเป็นอาหารเช้าแล้วจึงเปิดคอมพ์บันทึกเรื่องนี้  จนถึงเวลา ๐๘.๕๖ น. ตามเวลาใต้จอ

จบข่าว

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว  ก็ต้องนึกถึงเรื่องกลัวผี จะพูดว่าไม่กลัวมาตลอดชีวิตก็ไม่ถูก เพราะเมื่อเป็นเด็กก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา เมื่ออายุไม่เกินสิบขวบ อยู่บ้านในตรอกข้างโรงเรียนนายร้อย เวลาไปจ่ายตลาดนางเลิ้ง ต้องเดินลัดผ่านที่ซึ่งเป็นสนามมวยราชดำเนิน เข้าวัดโสมนัสวิหาร ตรงที่เป็นฌาปนสถานของกองทัพบกเดี๋ยวนี้ เดิมเป็นที่เปลี่ยวต้นไม้สูงใหญ่ มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แม้เป็นเวลากลางวันก็จะมืดครึ้มอยู่เสมอ สมัยนั้นก็ไม่รู้ว่าสุสานของวัดอยู่ตรงไหน แต่เมื่อเดินผ่านพื้นนี้นั้น ก็ระวังตัวอยู่เสมอ แต่ไม่เคยมีสิ่งใดผิดปกติ

โตขึ้นได้อ่านมาจากไหนไม่ทราบว่า เมื่อเราสงสัยสิ่งใดที่น่ากลัวอย่าหนี ให้หยุดดูสิ่งนั้นให้แน่ใจว่าเป็นอะไร เช่นในนิทานที่ว่าหนูอะไรไม่รู้ เดินผ่านป่าในเวลากลางคืน เห็นเปรตสูงโย่งโบกมือเท่าใบตาล ก็ตกใจวิ่งหนีมาบ้านจนจับไข้ แต่รุ่งขึ้นก็ได้ทราบว่า มันก็คือต้นตาลนั่นเอง เราจึงต้องหยุดชะงักจ้องมองสิ่งที่สงสัยว่าจะน่ากลัวเสมอ ถ้ามีไฟฉายก็เอาไฟฉายส่อง ไม่วิ่งหนี แม้จะขนหัวลุกก็ตาม เรื่องนี้ฝังใจอยู่จนแก่ จึงไม่เคยเจอผีเลย

ว่าถึงความฝัน เท่าที่พอจำได้เมื่อยังหนุ่มชอบฝันว่าตกจากที่สูง  เวลาตกใจมันเสียววูบไปถึงไหน ๆ  ฝันบ่อย ๆ เข้าชักชิน พอจะตกก็นึกในใจว่าอย่าตกเร็ว มันก็ค่อยช้าลง ก็เสียวไม่มาก

ถ้าฝันว่าทะเลาะวิวาทกับใคร ก็จะเป็นฝ่ายแพ้เสมอ จะสู้ก็สู้ไม่ได้ จะวิ่งหนีก็ไม้พ้น ต้องเจ็บตัวอยู่เรื่อย พอชินเข้าฝันอีกก็นึกว่าไม่ไหวแล้วเลิกดีกว่า ก็ตื่นเสียเลย

บางครั้งฝันว่าต้องอยู่ในห้องกว้างขวางอ้างว้างว้าเหว่ วิเหวโหว แต่บางคราวก็อยู่ในห้องแคบ ๆ  ที่แคบเข้ามาเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว ต้องบังคับตัวเองให้ตื่น

บางหนฝันว่าเดินผ่านทางที่มีงู มากบ้างน้อยบ้าง ก็หวาดกลัวขยะแขยง เป็นโรคเกลียดกลัวงู เพราะเคยถูกงูเขียวหางไหม้กัดเอาเท้าบวมมาแล้ว

เมื่อแก่ตัวลงความฝันก็กลาย ไม่เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็จำมามาเล่าให้ใครฟังไม่ได้ และไม่เคยมีคนที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันบอกเลขหวย หรือมาขอส่วนบุญแต่อย่างใด ไม่ว่าจะตายกี่ปีมาแล้วก็ตาม

แต่น่าสังเกตว่า เมื่อเห็นภาพหลอนในเวลาสวดมนต์ ทั้ง ๆ ตื่นอยู่นั้น แรก ๆ จะเห็นภาพตอนที่สวดบทแผ่เมตตา หรือกรวดน้ำ แล้วคืนหลังก็คิดว่าจะเห็นอีกไหม ก็เห็นอีก ตอนหลังนี้เห็นตั้งแต่เริ่มสวดบ้าง กลาง ๆ บ้าง  บางวันก็เป็นหน้าคน บางวันก็เป็นสถานที่ บางวันก็เห็นเป็นแมวเดินผ่านไปมาบ้าง แต่บางวคืนก็ไม่เห็นอะไรเลย

มีอยู่วันหนึ่งนอนกลางวันไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็รู้สึกตัวว่าจะตื่น แต่ยังไม่ลืมตา จะขยับมือและแขนขา เพื่อให้รู้สึกตัวเต็มที่ก่อน  เกิดมีตัวแมลงอะไรไม่รู้วิ่งผ่านขาไป  จึงลืมตาขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นแมลงสาบ เดินเพ่นพ่าน รอบตัวไปหมด แม้จะไม่กลัวแมลงสาบแต่ก็รังเกียจ จึงเอามือปัดไปทีเดียว ก็หายไปหมดทั้งฝูง จึงรู้สึกตัวว่าเห็นไปเองอีกแล้ว

แต่เมื่อไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง มันก็ต้องไม่จริงอยู่นั่นเอง  และตลอดเวลาที่เห็นติดต่อกันมานั้น  ก็ไม่ยอมตกเป็นทาสของความกลัวด้วย  อะไรจะโผล่เข้ามาก็ไมคิดจะหนี  เคราะห์ยังดีที่ไม่จับไข้หัวโกร๋น  หรือเสียสติไปอย่างคนจิตอ่อนแอทั้งหลาย

แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือ

มันไม่ใช่เรื่องจริง เราเห็นภาพจากใจของเราวาดในขึ้นมาเอง  เพราะเราเริ่มเป็นโรคจิตประสาทชนิดหนึ่ง ที่ได้เคยเจอมา ว่าผู้เป็นจะเห็นภาพ หรือได้ยินเสียงที่น่ากลัว หรือมีผู้คอยปองร้าย จะฆ่าเขา และเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นช่วยเหลือหรือปลอบโยน เมื่อไม่สามารถทำให้หายกลัวได้  ก็ต้องพึ่งหมอจิตเวช ต้องได้รับยากล่อมประสาท ให้สามารถหลับสนิทได้ ในแต่ละคืน

เราก็อาจจะเริ่มเป็นเช่นนั้น  แต่ก็จะคอยดูว่าเมื่อไรที่จะลืมตัว  เชื่อว่าเป็นจริง หรือต้องตื่นบ่อย ๆ ทำให้นอนน้อย หรืออดนอนทุกคืน ก็จะได้พาตนเองไปหาหมอเอง  หรืออาจจะอาศัยนอนที่โรงพยาบาลของสถาบันประสาทวิทยาเลยก็ได้

เวลาเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์.

############
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ 
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่