อินโดนีเซียกำลังตรวจสอบความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงานของเครื่องบิน Rafale

อินโดนีเซียกำลังตรวจสอบความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงานของเครื่องบิน Rafale
อินโดนีเซียกำลังทบทวนข้อตกลงมูลค่า 8.1 พันล้านดอลลาร์ในการจัดซื้อเครื่องบินรบ Rafale จำนวน 42 ลำจากฝรั่งเศส หลังจากมีข้อกล่าวหาที่เผยแพร่ทางออนไลน์ว่าเครื่องบินรุ่นนี้อาจมีประสิทธิภาพต่ำในการรบ โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ปะทะทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานล่าสุด ซึ่งทำให้กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียตัดสินใจเริ่มการตรวจสอบข้อมูลอย่างจริงจัง

ข้อกล่าวหาดังกล่าวมาจากเว็บไซต์ Galaxi Amilitar ซึ่งแม้จะไม่ได้แสดงหลักฐานชัดเจน แต่ก็เพียงพอจะทำให้ทางการอินโดนีเซียต้องทบทวนรายละเอียดในสัญญากับบริษัท Dassault Aviation ผู้ผลิต Rafale การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความสนใจและข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในแวดวงความมั่นคง เนื่องจากเป็นหนึ่งในข้อตกลงทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้ยังไม่มีการประกาศว่าจะยกเลิกข้อตกลง แต่การตรวจสอบที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความซับซ้อนในการจัดซื้ออาวุธในยุคที่ข้อมูลหลากหลายและข่าวปลอมแพร่กระจายได้รวดเร็ว อินโดนีเซียกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงศักยภาพกองทัพอากาศ ซึ่งมีความสำคัญต่อการปกป้องน่านฟ้าเหนือหมู่เกาะจำนวนมากของประเทศ

Rafale เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ผลิตโดยบริษัท Dassault Aviation ของฝรั่งเศส เป็นรุ่นที่ออกแบบให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลากหลาย ทั้งโจมตีภาคพื้นดินและสู้รบกลางอากาศ ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟน Snecma M88-2 จำนวน 2 เครื่อง ความเร็วสูงสุด 1.8 มัค หรือราว 1,389 ไมล์ต่อชั่วโมง และบินได้สูงถึง 50,000 ฟุต ตัวเครื่องมีดีไซน์ปีกสามเหลี่ยมพร้อมปีกแคนาร์ด ช่วยเพิ่มความคล่องตัวสูง และสามารถบรรทุกอาวุธได้มากถึง 9 ตัน

ระบบอาวุธของ Rafale มีความทันสมัย โดยติดตั้งเรดาร์ RBE2 และระบบตรวจจับเป้าหมายด้วยอินฟราเรด อีกทั้งยังมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ SPECTRA ที่สามารถรับมือกับขีปนาวุธศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องบินนี้สามารถทำภารกิจได้หลายประเภท ทั้งการลาดตระเวน การสนับสนุนทางอากาศ การโจมตีเรือ หรือแม้แต่ภารกิจป้องปรามนิวเคลียร์ โดยมีพิสัยการบินถึง 2,300 ไมล์ และสามารถเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศเพื่อยืดเวลาการบินเกิน 10 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยคือ การสู้รบเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 ที่ชายแดนแคชเมียร์ ซึ่งปากีสถานอ้างว่าเครื่องบิน J-10C ของตนสามารถยิง Rafale ของอินเดียตกได้ถึง 5 ลำ อินเดียไม่ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางรายก็ยอมรับว่ามีการสูญเสียเกิดขึ้น ขณะที่ฝรั่งเศสเองก็ยืนยันการสูญเสีย Rafale อย่างน้อยหนึ่งลำ

อินโดนีเซียสั่งซื้อ Rafale เพื่อแทนที่เครื่องบินรุ่นเก่าหลายประเภท เช่น F-16, Su-27, Su-30, Hawk และ KAI T-50 โดยการส่งมอบแบ่งเป็น 3 ช่วง และคาดว่าจะส่งมอบครบทั้งหมดภายในปี 2026 ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงอาวุธจำลองการฝึกบิน และการฝึกนักบินในฝรั่งเศสด้วย

รัฐมนตรีกลาโหมของอินโดนีเซียยืนยันว่า Rafale จะมีบทบาทสำคัญในการปกป้องน่านฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่เกาะนาตูนา ซึ่งมีข้อพิพาทกับจีน ขณะที่ Rafale จะประจำการในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น เปกันบารู และปอนเตียนัค

สำหรับเหตุการณ์ในแคชเมียร์นั้น ปากีสถานอ้างว่าชนะการรบอย่างขาดลอยด้วยระบบเรดาร์และขีปนาวุธ PL-15E ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายจากระยะไกลได้ถึง 120 ไมล์ ขณะที่ J-10C เป็นเครื่องบินราคาประหยัดกว่ามาก โดยตกอยู่ที่ราว 40 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ Rafale ที่สูงถึง 193 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง

ถึงแม้ว่า J-10C จะมีข้อได้เปรียบด้านราคา แต่ระบบของ Rafale ได้รับการยอมรับว่าล้ำสมัยกว่า นักวิเคราะห์จากตะวันตกมองว่าการปะทะครั้งนี้เปิดโอกาสให้ประเมินประสิทธิภาพของเครื่องบินทั้งสองในสถานการณ์จริง กระทรวงกลาโหมของอินโดนีเซียเองก็ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของการสอบสวน แต่มีสมาชิกสภาบางคนเตือนว่าไม่ควรด่วนสรุปจากข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ

นักวิจัยด้านความมั่นคงในภูมิภาคยังเสริมว่า การใช้งาน Rafale ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ และการฝึกที่เข้มข้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยในการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความเข้ากันได้กับระบบเดิมของอินโดนีเซีย และข้อจำกัดด้านงบประมาณที่เคยทำให้ยกเลิกแผนจัดซื้อ Mirage 2000-5 มาก่อน

Rafale มีผลงานการรบที่พิสูจน์แล้วในหลายพื้นที่ เช่น ลิเบีย มาลี และซีเรีย โดยเน้นภารกิจโจมตีภาคพื้นดิน แต่ยังไม่มีประสบการณ์มากนักในการรบกลางอากาศกับเครื่องบินขับไล่ขั้นสูงอย่างในแคชเมียร์

แม้ Rafale จะมีขีปนาวุธ Meteor ที่ออกแบบมาเพื่อต่อกรกับ PL-15E ได้ แต่ประสิทธิภาพจริงขึ้นอยู่กับการฝึก การวางแผน และระบบสนับสนุนอื่นๆ อีกมาก การที่ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า Rafale ที่ตกได้ติดตั้ง Meteor หรือไม่ ทำให้การประเมินผลกระทบของเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องยาก

การตรวจสอบของอินโดนีเซียในครั้งนี้ ยังเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระดับนานาชาติ เพราะข้อตกลงกับฝรั่งเศสไม่ได้มีแค่เรื่องการซื้อขายอาวุธ แต่รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทูต ซึ่งจะได้รับการกระชับมากขึ้นเมื่อประธานาธิบดีฝรั่งเศสเยือนอินโดนีเซียในเร็วๆ นี้

ในขณะเดียวกัน อินโดนีเซียก็กำลังเจรจาซื้อ F-15EX จากสหรัฐฯ และเข้าร่วมโครงการ KF-21 ของเกาหลีใต้ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเพียงรายใดรายหนึ่ง

การแข่งขันในตลาดเครื่องบินรบระดับโลกนั้นดุเดือด Rafale ต้องแย่งตลาดกับ F-35 ของสหรัฐฯ ซึ่งมีเทคโนโลยีล้ำกว่า แต่ต้นทุนการดูแลรักษาสูง รวมถึง Su-35 ของรัสเซียที่มีสมรรถนะดีแต่เผชิญกับข้อจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตร

ความท้าทายของอินโดนีเซียจึงอยู่ที่การตัดสินใจเลือกเครื่องบินที่สมดุลระหว่างราคา ความสามารถ และความร่วมมือระหว่างประเทศในระยะยาว ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นคงของชาติในอนาคต

สุดท้าย บทเรียนที่สำคัญจากกรณีนี้คือ ในยุคข่าวสารท่วมท้น การตัดสินใจเรื่องความมั่นคงต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลักษณ์หรือกระแสในโลกออนไลน์ เพราะในโลกของการทหาร ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ใหญ่หลวง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่