ทำไมบางนโยบายที่ดูเหมือน “ช่วยคนจน” อาจกำลังทำลายพวกเขาอยู่เงียบ ๆ
หลังปี 2544 รัฐไทยเริ่มใช้ “นโยบายประชานิยม” เต็มรูปแบบ เช่น OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน ซึ่งภายนอกดูเหมือนช่วยคนจน-ชุมชน แต่แท้จริงแล้ว ได้เปลี่ยน “ผู้ริเริ่ม” ให้กลายเป็น “ผู้รอรับ”
ชุมชนไม่ได้ออกแบบกิจกรรมเอง แต่ต้องทำตามที่รัฐกำหนด
ความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นสินค้าโชว์ในงานประกวด
เงินกู้เข้าถึงง่าย แต่ไม่มีการเสริมสร้างวินัยทางการเงิน
ระบบช่วยเหลือกันเองในชุมชนถูกแทนที่ด้วยระบบราชการ
ผลระยะยาวคือ:
ทุนมนุษย์เสื่อมถอย เพราะไม่มีโอกาสฝึกคิดและบริหารตนเอง
ทุนสังคมอ่อนแอ เพราะพึ่งรัฐมากกว่าพึ่งพากัน
วัฒนธรรมพึ่งพิงฝังลึก ชุมชนรอรัฐมากกว่าพึ่งพาตนเอง
🧭 ทางออกไม่ใช่ “ให้มากขึ้น” แต่คือ “คืนอำนาจ”
ให้ชุมชนเป็นผู้ออกแบบและบริหารเอง
รัฐควรเป็นเพียงภาคีสนับสนุน ไม่ใช่เจ้าของโครงการ
ยกเลิกการประเมินแบบยอดขาย-ตัวเลข
วัดผลจาก “ความเข้มแข็งของระบบชุมชน”
📌 สรุปสั้น ๆ:
“อย่าหลงคิดว่า การแจก คือการช่วยเสมอไป บางครั้งมันคือการผูกขาดพลังของประชาชนไว้กับรัฐ”
คำตอบของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งไม่มีอคติ อาจทำให้บางคนไม่พอใจครับ เพราะตั้งอยู่บนความจริงครับ
หลังปี 2544 รัฐไทยเริ่มใช้ “นโยบายประชานิยม” เต็มรูปแบบ เช่น OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน ซึ่งภายนอกดูเหมือนช่วยคนจน-ชุมชน แต่แท้จริงแล้ว ได้เปลี่ยน “ผู้ริเริ่ม” ให้กลายเป็น “ผู้รอรับ”
ชุมชนไม่ได้ออกแบบกิจกรรมเอง แต่ต้องทำตามที่รัฐกำหนด
ความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นสินค้าโชว์ในงานประกวด
เงินกู้เข้าถึงง่าย แต่ไม่มีการเสริมสร้างวินัยทางการเงิน
ระบบช่วยเหลือกันเองในชุมชนถูกแทนที่ด้วยระบบราชการ
ผลระยะยาวคือ:
ทุนมนุษย์เสื่อมถอย เพราะไม่มีโอกาสฝึกคิดและบริหารตนเอง
ทุนสังคมอ่อนแอ เพราะพึ่งรัฐมากกว่าพึ่งพากัน
วัฒนธรรมพึ่งพิงฝังลึก ชุมชนรอรัฐมากกว่าพึ่งพาตนเอง
🧭 ทางออกไม่ใช่ “ให้มากขึ้น” แต่คือ “คืนอำนาจ”
ให้ชุมชนเป็นผู้ออกแบบและบริหารเอง
รัฐควรเป็นเพียงภาคีสนับสนุน ไม่ใช่เจ้าของโครงการ
ยกเลิกการประเมินแบบยอดขาย-ตัวเลข
วัดผลจาก “ความเข้มแข็งของระบบชุมชน”
📌 สรุปสั้น ๆ:
“อย่าหลงคิดว่า การแจก คือการช่วยเสมอไป บางครั้งมันคือการผูกขาดพลังของประชาชนไว้กับรัฐ”