ย้อนเวลาไปสัก 13 ปีก่อน(ขอใช้ภาษาแบบบ้านๆนะ เพราะผมคนบ้านๆ)
ผมมีอาชีพค้าขาย ตลาดนัด เราจะมีเพื่อนพ่อค้าแม่ค้า ที่สนิทกันมากจริงๆ สัก10 คน แต่ละคนจะชอบ อวดของดี ว่าขายดีเพราะ ของศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองมี ส่วนผมนะไม่เชื่อหรอกครับ อยากขายของดี ก็ต้องบริการลูกค้าดีดี มีสินค้าให้พร้อม แต่เมียผมคล้อยตามกลุ่มนี้ครับ จัดรถตู้ เต็ม 14 ที่นั่ง ไปวัดพุน้อยครับ ไปบูชา เรือแม่ตะเคียนทอง
เธอเล่าว่า ตอนทำพิธี หลายคนมีอาการแปลกๆ ส่วนเธอ ร้องไห้ไม่หยุด อารมณ์คล้ายมีคนยกเรือเธอขึ้นเหนือศรีษะ
จากนั้นเธอก็เริมบูชา แบบที่เพื่อนเธอว่า หลายคนถูกหวย หลายคนค้าขายดี แต่ร้านผมเหมือนเดิม จนผ่านมาสัก 3 เดือน เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง ถูกหวย ได้เงินมา 2.5 แสน นั่นละครับ ทำให้ผมตาโต งวดต่อๆมา ผมฝากเขาซื้อทุกงวด งวดละ 2-3 พัน จนผ่านไปเกือบปี ไม่เคยถูกสักงวด จนเพื่อนขอให้เราเลิกฝาก เพื่อนกลับถูกหวยอีก แสนกว่าบาท
กลับถึงบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ซื้อหวยมาทั้งปี ไม่เคยถูกสักบาท เลยยืนต่อหน้า เรือตะเคียนทอง พร้อมกล่าวด้วยอารมณ์ เฮ้ย มีตัวตนจริงมั้ยวะ กุไม่เคยถูกหวยเลย แน่จริงก็มาให้เห็นสิวะ จะได้รู้..(จริงๆคือหยาบและท้าทาย)
หลังจากเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม ที่นอนของผมก็ หน้าทีวีนั่นละเหนือทีวี ก็ หิ้งพระ กับ เรือตะเคียนทอง ปิคนิคกาง หมอนใบ ผ้าห่มผืน นี่ละสไตล์ผม ส่วนลูกเมียผม เตียงหนานุ่ม เปิดแอร์เย็นสบาย
ผมไม่รู้จักสมาธิ หรอกนะ แต่เมื่อผมจะหลับ ก็นอนหงายเหยียดตรง มือทาบหน้าอก ไล่ลมแบบถอนหายใจสัก 2-3 ที จากนี้จะรู้สึกเคลิ้ม เห็นแสงเห็นสี แต่ผมไม่สนใจหรอ ผมง่วง ไม่ถึงนาที เหมือนปิดสวิตช์ หลับสบาย...
เวลาประมาณสักเที่ยงคืน เริ่มรู้สึกเย็นที่ปลายเท้า เหมือนมีลมพัดเบาๆ ผมก็จะยกขา เพื่อขยับผ้าห่ม แต่ขยับไม่ได้ จากเย็นกลายเป็นหนาว คลืบคลาน มาเรื่อยๆ ฺจากเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าอก ผมดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่ร่างกายยังแข็งทื่อจากความหนาวกลายเป็นความเจ็บปวด ตามโครงกระดูก ปวดมากถ้าร้องได้คงสุดเสียง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนหุ่นโครงกระดูก ที่ให้นักเรียนดู จากปวดเริ่มชา จนผมเริ่มไม่มีความรู้สึกทางร่างกายเลย นี่ผมตายแล้วใช่ไหม ผมยังไม่อยากตายยยยย
สักพัก ผมเริ่มลืมตาขึ้น ก็ยังเห็นเพดานบ้านตัวเอง หูเริ่มได้ยินเสียง เครื่องดนตรีไทย ร่างกายผมเริ่มลุกขึ้นมา เริ่มฟ้อนรำตามจังหวะทำนองผมรำไปรำมาในบ้าน สัก ชั่วโมง
เมียผมเปิดห้องออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ เธอเห็นผมกำลังทำอะไรไม่ร้ เลยเปิดไฟทั้งบ้าน ความงัวเงีย หายไปทันที เธอกรีดร้อง วี้ดๆๆๆ ปิดประตูห้องไป ผมอยากจะเรียก ให้มาช่วยผม แต่ทำไม่ได้
ร่างกายผมค่อยๆรำไป หยุดที่หน้าห้อง จากนั้นประตูก็เปิดออก (จนวันนี้เธอยังสงสัยว่าเปิดได้ยังไงทั้งที่ล็อคอย่างดี และร่างกายผมก็ไม่ได้จับลูกบิดเลย) ร่างกายก็เดินรำ เข้าในห้อง ตาผมมองเห็น เมียผมนั่งพนมมือ พุทโธๆๆๆ เธอตกใจ กรีดร้อง วี้ดๆๆๆแล้ววิ่งสวนออกมา เธอไปเอาพระมาถือไว้ ร่างกายผมเดินไปหาความกลัวทำให้เธอหยุดนิ่ง เธอยัดพระเหรียญ.ใส่ในมือผมจากนั้นหยิบพระประจำบ้านมาอุ้มไว้
จากนี้คือบทสนทนา ที่เมียผมเล่าให้ฟัง (ผมมองเห็นแต่ตา ส่วนหูผมได้ยินแต่เสียงดนตรีไทย) สำเนียงที่พูด ไพเราะ มีเมตตา
" น้องหญิง ไม่ต้องกลัว นี่แม่เอง แม่ชื่อว่า......... (จำไม่ได้ กลัว) เธอห้ามเรียกว่านางตะเคียนทองนะ แม่ไม่ชอบ.. เธอน่ะ มีโชควาสนาน้อย บุญน้อย หมั่นทำบุญนะ แล้วแม่จะช่วยเหลือ"
"ส่วนสามีเธอ เขาทำมาบ้างแล้ว ศึกษาธรรมะต่อไปนะ ให้ เลิก อบายมุขบางอย่าเสีย.. "............................
การสนทนา ประมาณสัก ชั่วโมง มีหลายอย่างที่ได้สนทนากัน แต่เมียผมยังอยู่ในอาการกลัว ตกใจ ก็เลย จำไม่ค่อยได้
" แม่ลาละนะ" (ตี๔)
ร่างกายผมค่อยๆลุกขึ้น แล้วร่ายรำ สัก นาที เสียงดนตรีที่หู เริ่มเบาลง ความรู้สึกตัวเริ่มมี เริ่มชา เริ่มปวด ปวดมาก อาการคล้าย โครงกระดูก กลับมาอีกครั้ง ปวดมาก ปวดจนไม่อยากทน จนกลายเป็นความเยือกเย็น สุดท้ายหายเป็นปกติ ผมกลับมารู้สึก ได้เต็ม ๑๐๐%
หลังจากร่างกายกลับมาเป็นปกติ ใจผมอิ่มสุขอย่างไรไม่รู้ รู้สึกเยือกเย็น โปร่งเบาสบาย พูดจาแบบช้าๆ สุขุม ตอนนี้ผมอยากเดินจงกรม ก็เดินรอบบ้านนั่นละครับ ในความมืด ค่อยๆก้าว แบบเบาสบาย ไม่หลับไม่นอน อิ่มสุข
ผมเริ่มหาข้อมูล จากกูเกิ้ล เรื่องเทวดา คือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่วัดท่าซุง ผมกราบพระ อธิษฐาน ขอให้ผม กระจ่างในเรื่องนี้
เริ่มวันใหม่ ไปตลาดนัด ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่เคยขายดีแบบนี้มาก่อน ขายแบบไม่ได้หยุดพัก เงินที่ได้ มากกว่าปกติถึง 10 เท่า
ช่วงนี้ ความรู้สึกทางร่างกายแปลกๆ กินข้าวมื้อเดียว ไม่หิวทั้งวัน เจอใคร ยกมือไหว้หมด ชอบเดินจงกลม (ทั้งที่ไม่เคยเดินเลยสักครั้ง) เห็นภาพนิมิต แปลกๆ มากมาย ตัวเดิน แต่ ภาพตัด ไปเห็นนั่นเห็นนี่ฯ
๓ วันได้เงินก้อน ออกเดินทางไปวัดท่าซุง ถึง จ.อุทัยสักประมาณ ตี๔ ความง่วงมาเยือน ขับรถไปแบบ มีคนนำพาไป (ไม่รู้ใคร) วิ่งตามถนนดิน ลัดเลาะไปตาม ทุ่งนา ประมาณสัก ๑๐กม. จนมาโผล่ที่ซุ้มประตูวัด ดับรถจอดนอน
มีสติรู้ตัวประมาณสัก ๗ โมงเช้า เพราเสียงแตรรถทัวร์ มองไปด้านหน้า สวยงามจริงๆ วันนั้นรถทัวร์มีหลายคณะ ผมจึงได้เข้าวิหารแก้ว ในช่วงเย็นในวิหารแก้ว วิจิตรงดงามที่หาใดเปรียบได้ ผมกราบสรีระหลวงพ่อแล้วสบายใจครับ ถึงช่วงได้ถวายสังฆทาน ผมถามหลวงพ่อที่นั่งรับสังฆทาน (เจ้าอาวาส)"ผมอยากรู้เรื่องเทวดาครับ" หลวงพ่อให้ผมมาฝึกมโนยิทธิ มาอยู่วัด ๗ วัน
ออกจากวิหารแก้ว ก็ยังไม่คลายสงสัยครับ พนมมืออธิษฐาน ขอคลายความสงสัย ก็ขับรถชมวัด ไปเรื่อย จนมาจอดที่ จุดเช่าบูชาพระ และหนังสือ เดินดูหนังสือ มีมากมายหลายร้อยเล่ม เลือกเล่มไหนดี พระผู้ดูแล บอก จะปิดแล้วนะโยม ผมหลับหูหลับตาหยิบเลย ได้ ธุดงค์
หนังสือของหลวงพ่อ อ่านเพลินดีครับ มีธรรมะ คั่น ให้เราได้ศึกษาตลอด ก็ฝึกตามที่หลวงพ่อสอนนั่นละครับ ตั้งมั่นในศีล เพ่งให้เกิดสมาธิ..
ด้วยความไม่รู้จัก สมาธิ ก็เริ่ม ลากลมหายใจเข้าออก พุทโธ บังคับให้ลมมันสั้น มันยาว ทำไปอยู่อย่างนั้น อาการปวดหัวก็เริ่มมี มันเพ่งเกินไป มันอั้นเกินไป เป็นเวลาหลายเดือน จนเกือบท้อ
ผมได้มีโอกาส ไปกราบสรีระ หลวงพ่ออยู่บ่อยๆ ทุกคราวก็ซื้อหนังสือ หลวงพ่อ มา ผมยังคง ฟืดฟาด กับลมหายใจ พร้อม อ่านหนังสือ มาตลอด บางคราวปวดหัวมาก อ่านหนังสือ ก็ไม่รู้เรื่อง อยากจะเลิก
จนมีโอกาส ได้อ่าน เรื่อง อาการตกจากฌาน ผมนี่อ๋อ เลยครับ ใช่แล้ว ก่อนนอนหลับ เรามีอาการอย่านี้อยู่บ่อยๆ เสียววูบ แบบตกจากที่สูง แสดงว่าการฟืดฟาด นี่ผิดอย่างมหันต์ ที่เรามี เราเห็นอะไรต่างๆ นี่คือสมาธิหรือ อาการทุกอาการ ที่เคยเป็น ก่อนมาทำ ฟืดฟาดๆนั่นคือ สมาธิ ที่ผมมี ผมแค่ล้มตัวลงนอน ไล่ลมหยาบออก ปักจุด ไว้ปลายจมูกแบบแผ่วเบา บางคราวก็ปักจุด ไว้ กลางอก เริ่มเห็นแสง ตัวเริ่มโคลง บางคราวก็ตัวใหญตัวโต เริ่มอึดอัด แสงหายไป ลมหายใจ ไหลเป็นเส้น เหมือนสายน้ำ อาการอื่นๆอีกมากมาย จนไปสุดที่ความสว่างโพลง นี่คือสมาธิใช่ไหม อาการทั้งหมดนี้ ปิติ ทั้ง ๕ เราเคยสัมผัสมาทั้งหมด
วันนี้ เริ่มเข้าใจสมาธิ ที่หลวงพ่อสอนแล้วครับ แต่ยังติด อาการฟืดฟาด เพราะ ทำอย่างนั้น มานานแรมปี พอผมเริ่มได้ระดับฌาน ลมเริ่มแผ่วเบา (บางครั้งจับความรู้สึกได้ว่า มันเล็กขนาดเม็ดถั่วดำ ค่อยๆไหลลงไปกระทบปอด)ใจมันกลัว ลมหาย ร่างกายมันจะฟืดฟาดเอง
ทุกวันนี้ สมาธิ ผมยังไม่ก้าวหน้าไปไหน ยังฟืดฟาดย่อยๆ ผมคงมี กรรม เรื่องใดเรื่องหนึ่งละครับ อีกทั้ง มีภาระเลี้ยงดู ลูกที่พิการซ้ำซ้อน ผิดจากตอนเด็กๆ ที่ผมจะเห็นอะไรมากมาย (บอกให้ใครฟังแล้วเรากลายเป็นคนเพ้อเจ้อ)
ทุกวันนี้ ยังคง สวดมนต์ นั่งสมาธิ (ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น)อยู่ประจำทุกวัน อ่านธรรมะจากหนังสือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อความพ้นทุกข์
โอกาสหน้า ผมขอเล่าเรื่องผี ที่ผมได้พบเจอละกัน
เจริญในธรรม ทุกท่าน
เริ่มศึกษาพุทธศาสนา เพราะรุกขเทวดา
ผมมีอาชีพค้าขาย ตลาดนัด เราจะมีเพื่อนพ่อค้าแม่ค้า ที่สนิทกันมากจริงๆ สัก10 คน แต่ละคนจะชอบ อวดของดี ว่าขายดีเพราะ ของศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองมี ส่วนผมนะไม่เชื่อหรอกครับ อยากขายของดี ก็ต้องบริการลูกค้าดีดี มีสินค้าให้พร้อม แต่เมียผมคล้อยตามกลุ่มนี้ครับ จัดรถตู้ เต็ม 14 ที่นั่ง ไปวัดพุน้อยครับ ไปบูชา เรือแม่ตะเคียนทอง
เธอเล่าว่า ตอนทำพิธี หลายคนมีอาการแปลกๆ ส่วนเธอ ร้องไห้ไม่หยุด อารมณ์คล้ายมีคนยกเรือเธอขึ้นเหนือศรีษะ
จากนั้นเธอก็เริมบูชา แบบที่เพื่อนเธอว่า หลายคนถูกหวย หลายคนค้าขายดี แต่ร้านผมเหมือนเดิม จนผ่านมาสัก 3 เดือน เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง ถูกหวย ได้เงินมา 2.5 แสน นั่นละครับ ทำให้ผมตาโต งวดต่อๆมา ผมฝากเขาซื้อทุกงวด งวดละ 2-3 พัน จนผ่านไปเกือบปี ไม่เคยถูกสักงวด จนเพื่อนขอให้เราเลิกฝาก เพื่อนกลับถูกหวยอีก แสนกว่าบาท
กลับถึงบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ซื้อหวยมาทั้งปี ไม่เคยถูกสักบาท เลยยืนต่อหน้า เรือตะเคียนทอง พร้อมกล่าวด้วยอารมณ์ เฮ้ย มีตัวตนจริงมั้ยวะ กุไม่เคยถูกหวยเลย แน่จริงก็มาให้เห็นสิวะ จะได้รู้..(จริงๆคือหยาบและท้าทาย)
หลังจากเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม ที่นอนของผมก็ หน้าทีวีนั่นละเหนือทีวี ก็ หิ้งพระ กับ เรือตะเคียนทอง ปิคนิคกาง หมอนใบ ผ้าห่มผืน นี่ละสไตล์ผม ส่วนลูกเมียผม เตียงหนานุ่ม เปิดแอร์เย็นสบาย
ผมไม่รู้จักสมาธิ หรอกนะ แต่เมื่อผมจะหลับ ก็นอนหงายเหยียดตรง มือทาบหน้าอก ไล่ลมแบบถอนหายใจสัก 2-3 ที จากนี้จะรู้สึกเคลิ้ม เห็นแสงเห็นสี แต่ผมไม่สนใจหรอ ผมง่วง ไม่ถึงนาที เหมือนปิดสวิตช์ หลับสบาย...
เวลาประมาณสักเที่ยงคืน เริ่มรู้สึกเย็นที่ปลายเท้า เหมือนมีลมพัดเบาๆ ผมก็จะยกขา เพื่อขยับผ้าห่ม แต่ขยับไม่ได้ จากเย็นกลายเป็นหนาว คลืบคลาน มาเรื่อยๆ ฺจากเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าอก ผมดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่ร่างกายยังแข็งทื่อจากความหนาวกลายเป็นความเจ็บปวด ตามโครงกระดูก ปวดมากถ้าร้องได้คงสุดเสียง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนหุ่นโครงกระดูก ที่ให้นักเรียนดู จากปวดเริ่มชา จนผมเริ่มไม่มีความรู้สึกทางร่างกายเลย นี่ผมตายแล้วใช่ไหม ผมยังไม่อยากตายยยยย
สักพัก ผมเริ่มลืมตาขึ้น ก็ยังเห็นเพดานบ้านตัวเอง หูเริ่มได้ยินเสียง เครื่องดนตรีไทย ร่างกายผมเริ่มลุกขึ้นมา เริ่มฟ้อนรำตามจังหวะทำนองผมรำไปรำมาในบ้าน สัก ชั่วโมง
เมียผมเปิดห้องออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ เธอเห็นผมกำลังทำอะไรไม่ร้ เลยเปิดไฟทั้งบ้าน ความงัวเงีย หายไปทันที เธอกรีดร้อง วี้ดๆๆๆ ปิดประตูห้องไป ผมอยากจะเรียก ให้มาช่วยผม แต่ทำไม่ได้
ร่างกายผมค่อยๆรำไป หยุดที่หน้าห้อง จากนั้นประตูก็เปิดออก (จนวันนี้เธอยังสงสัยว่าเปิดได้ยังไงทั้งที่ล็อคอย่างดี และร่างกายผมก็ไม่ได้จับลูกบิดเลย) ร่างกายก็เดินรำ เข้าในห้อง ตาผมมองเห็น เมียผมนั่งพนมมือ พุทโธๆๆๆ เธอตกใจ กรีดร้อง วี้ดๆๆๆแล้ววิ่งสวนออกมา เธอไปเอาพระมาถือไว้ ร่างกายผมเดินไปหาความกลัวทำให้เธอหยุดนิ่ง เธอยัดพระเหรียญ.ใส่ในมือผมจากนั้นหยิบพระประจำบ้านมาอุ้มไว้
จากนี้คือบทสนทนา ที่เมียผมเล่าให้ฟัง (ผมมองเห็นแต่ตา ส่วนหูผมได้ยินแต่เสียงดนตรีไทย) สำเนียงที่พูด ไพเราะ มีเมตตา
" น้องหญิง ไม่ต้องกลัว นี่แม่เอง แม่ชื่อว่า......... (จำไม่ได้ กลัว) เธอห้ามเรียกว่านางตะเคียนทองนะ แม่ไม่ชอบ.. เธอน่ะ มีโชควาสนาน้อย บุญน้อย หมั่นทำบุญนะ แล้วแม่จะช่วยเหลือ"
"ส่วนสามีเธอ เขาทำมาบ้างแล้ว ศึกษาธรรมะต่อไปนะ ให้ เลิก อบายมุขบางอย่าเสีย.. "............................
การสนทนา ประมาณสัก ชั่วโมง มีหลายอย่างที่ได้สนทนากัน แต่เมียผมยังอยู่ในอาการกลัว ตกใจ ก็เลย จำไม่ค่อยได้
" แม่ลาละนะ" (ตี๔)
ร่างกายผมค่อยๆลุกขึ้น แล้วร่ายรำ สัก นาที เสียงดนตรีที่หู เริ่มเบาลง ความรู้สึกตัวเริ่มมี เริ่มชา เริ่มปวด ปวดมาก อาการคล้าย โครงกระดูก กลับมาอีกครั้ง ปวดมาก ปวดจนไม่อยากทน จนกลายเป็นความเยือกเย็น สุดท้ายหายเป็นปกติ ผมกลับมารู้สึก ได้เต็ม ๑๐๐%
หลังจากร่างกายกลับมาเป็นปกติ ใจผมอิ่มสุขอย่างไรไม่รู้ รู้สึกเยือกเย็น โปร่งเบาสบาย พูดจาแบบช้าๆ สุขุม ตอนนี้ผมอยากเดินจงกรม ก็เดินรอบบ้านนั่นละครับ ในความมืด ค่อยๆก้าว แบบเบาสบาย ไม่หลับไม่นอน อิ่มสุข
ผมเริ่มหาข้อมูล จากกูเกิ้ล เรื่องเทวดา คือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่วัดท่าซุง ผมกราบพระ อธิษฐาน ขอให้ผม กระจ่างในเรื่องนี้
เริ่มวันใหม่ ไปตลาดนัด ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่เคยขายดีแบบนี้มาก่อน ขายแบบไม่ได้หยุดพัก เงินที่ได้ มากกว่าปกติถึง 10 เท่า
ช่วงนี้ ความรู้สึกทางร่างกายแปลกๆ กินข้าวมื้อเดียว ไม่หิวทั้งวัน เจอใคร ยกมือไหว้หมด ชอบเดินจงกลม (ทั้งที่ไม่เคยเดินเลยสักครั้ง) เห็นภาพนิมิต แปลกๆ มากมาย ตัวเดิน แต่ ภาพตัด ไปเห็นนั่นเห็นนี่ฯ
๓ วันได้เงินก้อน ออกเดินทางไปวัดท่าซุง ถึง จ.อุทัยสักประมาณ ตี๔ ความง่วงมาเยือน ขับรถไปแบบ มีคนนำพาไป (ไม่รู้ใคร) วิ่งตามถนนดิน ลัดเลาะไปตาม ทุ่งนา ประมาณสัก ๑๐กม. จนมาโผล่ที่ซุ้มประตูวัด ดับรถจอดนอน
มีสติรู้ตัวประมาณสัก ๗ โมงเช้า เพราเสียงแตรรถทัวร์ มองไปด้านหน้า สวยงามจริงๆ วันนั้นรถทัวร์มีหลายคณะ ผมจึงได้เข้าวิหารแก้ว ในช่วงเย็นในวิหารแก้ว วิจิตรงดงามที่หาใดเปรียบได้ ผมกราบสรีระหลวงพ่อแล้วสบายใจครับ ถึงช่วงได้ถวายสังฆทาน ผมถามหลวงพ่อที่นั่งรับสังฆทาน (เจ้าอาวาส)"ผมอยากรู้เรื่องเทวดาครับ" หลวงพ่อให้ผมมาฝึกมโนยิทธิ มาอยู่วัด ๗ วัน
ออกจากวิหารแก้ว ก็ยังไม่คลายสงสัยครับ พนมมืออธิษฐาน ขอคลายความสงสัย ก็ขับรถชมวัด ไปเรื่อย จนมาจอดที่ จุดเช่าบูชาพระ และหนังสือ เดินดูหนังสือ มีมากมายหลายร้อยเล่ม เลือกเล่มไหนดี พระผู้ดูแล บอก จะปิดแล้วนะโยม ผมหลับหูหลับตาหยิบเลย ได้ ธุดงค์
หนังสือของหลวงพ่อ อ่านเพลินดีครับ มีธรรมะ คั่น ให้เราได้ศึกษาตลอด ก็ฝึกตามที่หลวงพ่อสอนนั่นละครับ ตั้งมั่นในศีล เพ่งให้เกิดสมาธิ..
ด้วยความไม่รู้จัก สมาธิ ก็เริ่ม ลากลมหายใจเข้าออก พุทโธ บังคับให้ลมมันสั้น มันยาว ทำไปอยู่อย่างนั้น อาการปวดหัวก็เริ่มมี มันเพ่งเกินไป มันอั้นเกินไป เป็นเวลาหลายเดือน จนเกือบท้อ
ผมได้มีโอกาส ไปกราบสรีระ หลวงพ่ออยู่บ่อยๆ ทุกคราวก็ซื้อหนังสือ หลวงพ่อ มา ผมยังคง ฟืดฟาด กับลมหายใจ พร้อม อ่านหนังสือ มาตลอด บางคราวปวดหัวมาก อ่านหนังสือ ก็ไม่รู้เรื่อง อยากจะเลิก
จนมีโอกาส ได้อ่าน เรื่อง อาการตกจากฌาน ผมนี่อ๋อ เลยครับ ใช่แล้ว ก่อนนอนหลับ เรามีอาการอย่านี้อยู่บ่อยๆ เสียววูบ แบบตกจากที่สูง แสดงว่าการฟืดฟาด นี่ผิดอย่างมหันต์ ที่เรามี เราเห็นอะไรต่างๆ นี่คือสมาธิหรือ อาการทุกอาการ ที่เคยเป็น ก่อนมาทำ ฟืดฟาดๆนั่นคือ สมาธิ ที่ผมมี ผมแค่ล้มตัวลงนอน ไล่ลมหยาบออก ปักจุด ไว้ปลายจมูกแบบแผ่วเบา บางคราวก็ปักจุด ไว้ กลางอก เริ่มเห็นแสง ตัวเริ่มโคลง บางคราวก็ตัวใหญตัวโต เริ่มอึดอัด แสงหายไป ลมหายใจ ไหลเป็นเส้น เหมือนสายน้ำ อาการอื่นๆอีกมากมาย จนไปสุดที่ความสว่างโพลง นี่คือสมาธิใช่ไหม อาการทั้งหมดนี้ ปิติ ทั้ง ๕ เราเคยสัมผัสมาทั้งหมด
วันนี้ เริ่มเข้าใจสมาธิ ที่หลวงพ่อสอนแล้วครับ แต่ยังติด อาการฟืดฟาด เพราะ ทำอย่างนั้น มานานแรมปี พอผมเริ่มได้ระดับฌาน ลมเริ่มแผ่วเบา (บางครั้งจับความรู้สึกได้ว่า มันเล็กขนาดเม็ดถั่วดำ ค่อยๆไหลลงไปกระทบปอด)ใจมันกลัว ลมหาย ร่างกายมันจะฟืดฟาดเอง
ทุกวันนี้ สมาธิ ผมยังไม่ก้าวหน้าไปไหน ยังฟืดฟาดย่อยๆ ผมคงมี กรรม เรื่องใดเรื่องหนึ่งละครับ อีกทั้ง มีภาระเลี้ยงดู ลูกที่พิการซ้ำซ้อน ผิดจากตอนเด็กๆ ที่ผมจะเห็นอะไรมากมาย (บอกให้ใครฟังแล้วเรากลายเป็นคนเพ้อเจ้อ)
ทุกวันนี้ ยังคง สวดมนต์ นั่งสมาธิ (ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น)อยู่ประจำทุกวัน อ่านธรรมะจากหนังสือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อความพ้นทุกข์
โอกาสหน้า ผมขอเล่าเรื่องผี ที่ผมได้พบเจอละกัน
เจริญในธรรม ทุกท่าน