เที่ยวภูกระดึง 3วัน2คืน ช่วงหน้าร้อน (26-28 มีนาคม 2568)

นี่เป็นการเที่ยวภูกระดึงครั้งแรก และเป็นช่วงหน้าร้อน บวกกับปิดโซนน้ำตก สามารถเดินได้แค่โซนหน้าผา และเริ่มเดินได้หลัง 8:00 น. และต้องกลับมาก่อนเวลา 16:00 น. แต่ขอบอกเลยว่าไม่ได้โหดร้ายแบบที่ทุกคนคิด จะเป็นยังไงไปดู...

เริ่มเดินทางวันที่ 25 ตอนกลางคืน พวกเราไปกัน 3 คน นั่งรถบัสไปกับแอร์เมืองเลย ที่หมอชิต2 ขึ้นรถเวลา 20:50 น.
และเราไปลงที่จุดจอดผานกเค้า ประมาณ ตี4 ของวันที่ 26(วันแรก) ลงรถเดินข้ามถนนมา ก็จะเจอกับร้านเจ๊กิม แวะทานข้าว จิบกาแฟ
รอคนมาเพิ่มเพื่อจะหารสองแถวเข้าอุทยาน

หกโมงเช้า มีคนมาทั้งหมด 15 คน เหมารถสองแถวไป 3 คัน ตกคนละ 60 บาท (สามารถบอกลุงคนขับให้แวะ 7-11 ได้)
เดินทางไม่นานก็ถึงอุทยาน จ่ายค่าเข้าอุทยาน ค่าประกัน ค่าเช่าเต็นท์ ค่ามัดจำขยะ ค่าลูกหาบเรียบร้อย ก็ได้เวลาขึ้นภู

พวกเราเริ่มเดินขึ้นตอนเวลา 7:00 น. เส้นทาง 5.5 กม.ทางภูเขา และหลังแปทางราบอีก 3.5 กม.(ไม่รู้ 3.5 จริงไหม เดินเหนื่อยมากกก)
กลุ่มพวกเรามีกัน 5 คน เส้นทางตั้งแต่เชิงเขา ขึ้นซำแฮก สำหรับพวกผม ช่วงนี้ถือว่าโหดมาก ทั้งชันทั้งทรายทั้งเศษใบไม้ เดินยากพอควร
มีพี่ท่านหนึ่งแบกกระเป๋าขึ้นมาเอง สรุปว่าพอถึงซำแฮก แบกต่อไม่ไหว เลยต้องฝากร้านค้าไว้ ให้ลูกหาบมาหาบต่อไป(สามารถคุยกับร้านค้าได้เลย)
และแล้วพวกผมก็ได้ชิมแตงโม ณ ซำแฮก ที่ร่ำลือกันว่า เย็นสดชื่นหวานอร่อยที่สุด และแน่นอนว่า อร่อยชื่นใจสุดๆตามคำร่ำลือ

เส้นทางหลังจากผ่านซำแฮกโดยรวมถือว่าเดินง่ายขึ้น และแน่นอนว่าพวกเราแวะซื้อน้ำทุกซำที่มีน้ำขาย เพราะอากาศค่อนข้างร้อน เนื่องจากมีไฟป่าพอดีกับช่วงที่พวกผมไป และเราก็ถึงซำกกโดน ซำนี้บอกเลยว่าลมดีสุดๆ พัดมาแบบชื่นใจมากหลังจากเดินมาเหนื่อยๆ

และพวกเราก็แวะทานข้าวเที่ยงกันที่ ซำแคร่ ก่อนที่จะลุยไปที่หลังแป เส้นทางระหว่าง ซำแคร่ถึงหลังแป แอบยากพอควร ต้องเจอทั้งบันได และทางที่มีก้อนหินที่ถึงต้องแอบคิดในใจว่า "จะเดินยังไงดีวะ" แต่ก็เดินทางกันไปถึงหลังแปได้สำเร็จตอนนั้นเวลาเที่ยงนิดๆ พักซื้อน้ำเช็ดเหงื่อสักครู่ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ

เส้นทางระหว่างหลังแป ถึงลานวังกวาง เป็นทางราบ พื้นเป็นทราย แอบเดินเหนื่อย แต่ก็ยังดีที่เป็นทางราบ ผ่านต้นสนเดียวดาย แวะถ่ายรูป แล้วก็ออกเดินกันต่อ บอกเลยว่าเดินจนท้อ ก็ไม่ถึงสักที 5555+

และแล้วตอนเวลา 14:00 น. พวกเราก็เดินกันมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ลานวังกวาง ใช้เวลาเดินไปร่วมๆ 7 ชั่วโมง
แล้วเราก็เข้าไปติดต่อเรื่องเต็นท์ เช่าหมอน ถุงนอน แผ่นรองนอน จังหวะนั้นลูกหาบยังมาไม่ถึงนะครับ
หลังจากนั้นเราก็นั่งพัก และก็เดินสำรวจรอบๆ หลังจากหายเมื่อยแล้ว พวกเราทั้ง 5 คนก็เลยตัดสินใจว่า จะเดินไปที่ ผาหมากดูก เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ระยะทางประมาณ 2 กิโลนิดๆทางเป็นทรายล้วนๆ

หลังจากเดินไปถึงก็ไปแวะร้านค้านั่งพักกันก่อน แอบกระซิบ ชานมร้านนี้อร่อยมากกกก อิอิ
แต่พอเราไปกันถึงก็พบว่า ข้างล่างเกิดไฟไหม้ป่าอยู่ แล้วควันก็พัดขึ้นมา แสบจมูกฝุดๆ พวกเราก็เลยตัดสินใจเดินกลับก่อนที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ตก
พอกลับมาถึงลานวังกวาง ก็นั่งพักชมวิวกัน ไม่นานมาก พี่ๆลูกหาบของเราก็มาถึง พวกเราก็เลยรีบรับกระเป๋า จ่ายตังค์ แล้วก็แยกย้ายกันไปเอาของเข้าเต็นท์ แล้วก็ไปอาบน้ำให้ชื่นใจ น้ำเย็นสุดใจฝุดๆ ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ตกดินนะ แล้วเราก็ไปทานข้าวกัน (นำสายชาร์จไปชาร์จมือถือที่ร้านได้เลยนะครับ) ทานเสร็จก็เดินย่อยนิดหน่อย แล้วก็แยกย้ายกันเข้านอนครับ

เช้าวันที่ 27 (วันสอง) พวกเราตื่นกันแต่เช้า แล้วก็ไปทานข้าวกัน แล้วพวกเราก็ตัดสินใจซื้อข้าวเหนียวหมูทอดติดไปกินมื้อเที่ยงด้วย เนื่องจากว่ากลัวร้านค้าที่ผาหล่มสักไม่เปิด(สรุปว่าเปิดนะครับ ทั้งร้านที่ผาแดง และผาหล่มสักเลย) วันนี้พวกเราไปกัน 5 คนเหมือนเดิม
ผมตัดสินใจเช่าจักรยานล้อโต 410 บาทคนเดียว ส่วนอีก 4 คนเลือกที่จะเดินครับ (บอกเลยว่าการตัดสินใจนี้ผิดสุดๆเลย)
ทางเต็มไปด้วยทรายตลอดทางตั้งแต่ออกจากลานวังกวาง จวบจนถึงผาหล่มสัก บอกเลยว่าปั่นยากมากกก มากแบบ ก.ไก่ล้านตัว
พวกเราก็ไปเรื่อยๆแวะถ่ายรูปนั่งชมวิวพักเหนื่อยไปทีละผา หลังจากถึงผาเหยียบเมฆผมก็ปั่นจักรยานต่อไม่ไหแล้วจึงให้เพื่อนปั่นต่อไป
และพวกเราก็พักทานข้าวที่เตรียมมา ที่ผาแดง คุณลุงที่ร้านน่ารักมาก ซื้อน้ำแก้วนึงเติมน้ำแข็งได้ไม่อั้นเลย บอกเลยว่าเย็นชื่นใจฝุดๆ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อกับช่วงสุดท้ายไปที่ผาหล่มสัก

พวกเราถึงผาหล่มสักประมาณ 13:30 น. ที่ผาหล่มสัก ควันจากไฟไหม้ป่าพัดมาไม่ถึง ทำให้สามารถนั่งพักได้สบายๆ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้กลับจากผาหล่มสักก่อนเวลา 15:00 น. (ซึ่งปกติต้องกลับก่อน 16:00 น.) เนื่องจากวันนั้นมีไฟป่าพอดีทำให้เราต้องกลับมาก่อน

เราออกจากผาหล่มสักประมาณ 14:50 น. ผมเลือกที่จะเดินแล้วเอาจักรยานให้เพื่อนปั่นกลับมา แล้วเราก็เดินมาเรื่อยๆแวะซื้อน้ำที่ผาแดง แล้วก็มานั่งพักขารับลมเย็มๆที่มีกลิ่นควัน ที่ผาเหยียบเมฆ หลังจากนั่งได้ไม่นาน โชคชะตาฟ้าลิขิต เจ้าหน้าที่เข้ามาถามว่า "มีรถกระบะจะกลับลานวังกวานพอดี พวกเราสนใจจะนั่งกลับไปพร้อมกันไหม" และแน่นอนครับ พี่ในกลุ่มตอบทันทีแบบไม่ทันใช้สมองคิด ว่า "กลับครับ" นั่นแหละครับขากลับเลยสบายฝุดๆ แล้วเราก็ขอลงตรงผาหมากดูก เนื่องจากว่าวันนี้พวกเราเลือกที่จะนั่งชมพระอาทิตย์ตกกัน

ทุกคนยังจำกันได้ไหมว่าผมให้จักรยานเพื่อนผมขับกลับมา ใช่ครับ เพื่อนมันปั่นจนมาถึงผาหมากดูก 5555555+ มานั่งรอพวกเราอีก 4 คนอยู่

เราก็นั่งคุย นอนคุย กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ยังไม่ทันลับขอบฟ้า ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับ เราออกจากผาหมากดูก ตอนเกือบๆหกโมงเย็น
เดินกันมาเรื่อยๆแวะถ่ายรูประหว่างทางไปเรื่อยๆ ระหว่างเดินกลับพระอาทิตย์ก็ตกลับขอบฟ้าพอดี บอกเลยว่าสวยสุดๆเลย
หลังจากมาถึงลานวังกวาง ผมก็นำจักรยานไปคืน แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เตรียมที่จะไปทานข้าวเย็นกัน

มื้อเย็นแสนสุขนี้ พวกเรากินหมูกระทะ ของดีของเด็ด ที่คนมาภูกระดึงห้ามพลาด เพราะแม่ค้าแถมข้าวผัดให้เรากินแบบจุกๆ พวกเราทานกัน 5 คน
สั่งไปสองชุดใหญ่ ได้ข้าวผัดไข่แถมมาสองจานแบบบึ้มๆ กินกันจนอิ่มไปข้าง

ทานเสร็จพวกเราก็หยิบแผ่นรองนอนที่เช่ามา เอามาปูนอนชมดาว อากาศเย็นๆที่พัดมา รวมถึงดาวสวยๆที่วับวาวเต็มท้องฟ้า บอกเลยว่าฟินสุดๆ
นั่งชมสักแปป พอง่วงนอนก็แยกย้ายกันเข้านอน หลังจากนั้นผมตื่นมาตอนตี4 ออกมาถ่ายทางช้างเผือก บอกเลยว่าสวยฝุดๆ แถมหนาวสุดๆอีกด้วย

เข้าสู่เช้าวันที่ 28 (วันสาม) ตื่นมาก็ไปทานข้าวเช้ากัน ทานเสร็จก็แยกย้ายกันเก็บของเข้ากระเป๋าเตรียมไปส่งให้ลูกหาบ และนำของที่เราเช่ามาไปคืน
ขากลับพวกเราเดินกัน 4 คน ส่วนพี่อีกคนได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วตอน 8 โมงเช้า พวกเราทั้ง 4 ออกเดินทางจากลานวังกวานตอน 9 โมง
เดินชมวิวกับอากาศอุ่นๆที่พัดมาบนทางเดินไปหลังแป พอถึงหลังแปพวกเราก็นั่งพัก ซื้อน้ำ เตรียมที่จะลุยทางขาลงสุดโหด

เส้นทางจากหลังแป สู่ซำแคร่ ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงนี่ยากกว่าพันเท่า เดินได้ไม่นานก็เจ็บขาแล้ว
พอถึงซำแคร่ก็พักซื้อน้ำหวานให้ชื่นใจ แล้วลุยกันต่อ และแน่นอนว่าซำต่อไปคือที่ 1 ในใจ ซำกกโดน ลมเย็นๆที่พัดมาทำให้ความเหนื่อยหายหมดเลย
แล้วเราก็ลุยกันต่อแบบยาวๆ พักบ้างแวะบ้างตามซำที่มีของขาย
เส้นทางระหว่างซำแฮก ถึงเชิงเขาด้านล่าง ช่วงนี้บอกเลยว่าโหดแบบหน้าเปลี่ยนสีกันเลยทีเดียว ด้วยเส้นทางที่ทั้งชันและลื่น บวกกับอากาศตอนเที่ยงนิดๆที่อบอ้าวได้ใจสุดๆ พี่ที่เดินด้วยอีกท่าน ก็ลื่นใบไม้จนขาเลือดอาบเลย

เราใช้เวลาเดินจนมาถึงเชิงเขาตอน 13:30 น. ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าก็จริง แต่ทางนี่คือเจ็บเข่าเจ็บขาฝุดๆ
พอลงมาถึงเราก็นำขยะที่เก็บมาไปชั่งแล้วก็แยกขยะทิ้ง นำเงินมัดจำคืน แล้วก็ไปจ่ายตังค์รับกระเป๋ากับลูกหาบ
แล้วเราก็แยกย้ายไปอาบน้ำล้างตัวให้ชื่นใจ ก่อนที่จะไปทานข้าวเที่ยงกัน

ทานเสร็จก็ไปขึ้นรถสองแถวกัน นั่งไปลงร้านเจ๊กิม เพื่อจะไปรอรถบัสที่นี่ สามารถนำกระเป๋าไปวาง และนอนพักที่หลังร้านได้
มีไฟให้ชาร์จ มีน้ำให้อาบ มีเซเว่นอยู่ที่ปั้มใกล้ๆ เดินไปได้ประมาณครึ่งเหนื่อยก็ถึงแล้ว

พวกเราจองรถขากลับตอนรอบ 20:50 น. นั่งรอกันจนท้อกันเลยทีเดียว ตอนแรกพวกเราต้องไปลงที่หมอชิต2 ตรงจตุจักร
แต่เนื่องจากวันนั้นมีแผ่นดินไหวพอดี ทำให้มีตึกถล่มในบริเวณนั้น ทำให้พวกเราเลือกที่จะเปลี่ยนที่ลงไปลงที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิตแทน
และแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จบทริปแสนสนุกนี้สักที...

สิ่งที่อยากแนะนำ
1.เตรียมเงินสดไปด้วยเพราะบางจุด สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยดี
2.ตัวผมใช้อินเตอร์เน็ตของค่ายสีแดง ข้างบนลานวังกวาน เน็ตแรงสุดๆ อัพสตอรี่ไอจีได้แบบฟินๆ
3.เตรียมรองเท้าเดินป่าให้พร้อม จะได้ไม่ลื่น
4.จักรยาน คิดให้ดีๆก่อนที่จะเช่า
5.ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเพื่อน บอกเลยว่าทักกันตลอดทางแน่นอน
6.รถบัสไม่ต้องจองดึกมากก็ได้ ไม่งั้นจะนั่งรอจนเบื่อเสียก่อน
7.เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนมาเดิน

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบ ถ้ามีอะไรที่พิมพ์ผิดพลาดไปก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
หวังว่าการเดินภูกระดึงครั้งแรกของทุกท่าน จะทำให้หลงรักกับสถานที่แห่งนี้ ภูกระดึง...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่