บทความ-ใช้ชีวิตตามลำพังตัวคนเดียว ดีหรือแย่ต่อสุขภาพกันแน่

ใช้ชีวิตตามลำพังตัวคนเดียว ดีหรือแย่ต่อสุขภาพกันแน่

ออนเดร เบียร์นาธ
Role,บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส
Twitter,@andre_biernath
23 มีนาคม 2025

ขอบคุณบทความดีดีจาก bbc ค่ะ
แหล่งอ้างอิง  https://www.bbc.com/thai/articles/cly8l0w1yp3o

การแยกตัวโดดเดี่ยวจากสังคมด้วยความสมัครใจในบางเวลานั้น อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิต
เพราะในแต่ละวันเรามักถูกรุมเร้าจนหัวหมุนด้วยสารพัดข้อความทางโทรศัพท์และอีเมล
รวมทั้งการติดต่อสื่อสารนับครั้งไม่ถ้วนกับคนรอบข้าง จนแทบไม่มีเวลาว่างอยู่กับตัวเองเลย

แต่ในขณะเดียวกันผลวิจัยล่าสุดกลับชี้ว่า ความเหงาอ้างว้างจากการอยู่ลำพังตัวคนเดียว ก็เป็นอันตราย
ร้ายแรงต่อสุขภาพร่างกายเช่นกัน โดยสามารถเพิ่มความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 15 มวนต่อวันเลยทีเดียว
ดังนั้นการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตที่ต้องเข้าสังคม กับการปลีกวิเวกถือสันโดษอยู่ตัวคนเดียวเป็นครั้งคราว
จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดูแลสุขภาพกายและจิตของทุกคน
ซึ่งบีบีซีได้รวบรวมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญไว้ดังต่อไปนี้

"ความอ้างว้างโดดเดี่ยว" กับ "ความสันโดษ" ต่างกันอย่างไร
แม้ความรู้สึกหงอยเหงาหรืออ้างว้างโดดเดี่ยว (loneliness)
ดร.แอนเดรีย วิกฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาความเหงาโดดเดี่ยว แห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ฮัลแลมของสหราชอาณาจักร
ให้นิยาม "ความอ้างว้างโดดเดี่ยว" ว่าเป็น "อารมณ์หม่นหมองที่เป็นอัตวิสัย" ซึ่งก็คือความรู้สึกไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้น
จากมุมมองการตัดสินของตนเอง "เมื่อคุณคิดไปว่า กำลังมีความสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ น้อยกว่าที่ต้องการจะมี"


แม้แต่เวลาที่ไม่ได้อยู่ตามลำพังเพียงคนเดียว มนุษย์ก็รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวอ้างว้างท่ามกลางฝูงชนได้ ซึ่งดร.วิกฟีลด์
บอกว่าความรู้สึกที่เหมือนตนเองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชุมชน หรือการมีสายสัมพันธ์ที่ไม่แข็งแกร่งแน่นแฟ้นพอนั้น นำไปสู่
การเกิดอารมณ์หม่นหมองที่เป็นอัตวิสัย อย่างเช่นความรู้สึกเหงาอ้างว้างได้อย่างรวดเร็ว

คำไวพจน์ที่สื่อความหมายถึงการอยู่ตามลำพังโดดเดี่ยว ในบางภาษาอาจใช้คำว่า "ความสันโดษ" (solitude) แทนได้ด้วยเช่นกัน แต่สำหรับความหมายในทางจิตวิทยาแล้ว สองคำนี้แตกต่างกันอย่างมาก เพราะความสันโดษนั้นถือเป็นภาวะชั่วคราว ซึ่งสามารถนำความสงบสุขมาสู่จิตใจของผู้คนได้

ความเหงาทำลายสุขภาพร่างกายได้อย่างไร
ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวนั้นไม่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก ผลการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์พบว่า อารมณ์หงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอัตราเสี่ยงเกิดโรคหัวใจที่จะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง, โรคเบาหวานประเภทที่สอง, และการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
ดร.วิกฟีลด์กล่าวเสริมว่า นักวิทยาศาสตร์กำลังพบหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่บ่งชี้ว่าความเหงาโดดเดี่ยวนั้นนำไปสู่โรคสมองเสื่อม, โรคซึมเศร้าวิตกกังวล, ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากทุกสาเหตุให้สูงขึ้นอีกด้วย
สำหรับสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์เชื่อมโยงดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ยังคงไม่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์หลายคนสันนิษฐานว่า ความอ้างว้างโดดเดี่ยวอาจก่อภาวะเครียดขึ้นภายในร่างกาย ส่วนการอยู่ตามลำพังคนเดียวเป็นเวลานาน อาจทำให้ขาดสิ่งเร้าที่กระตุ้นกระบวนการคิดของสมอง ซึ่งทำให้ปัญหาสุขภาพจิตที่มีอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลง
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าผู้สูงอายุถึง 1 ใน 4 แยกตัวโดดเดี่ยวจากสังคม และประมาณการว่ามีประชากรวัยรุ่นหนุ่มสาวราว 5-15% ที่ต้องเผชิญกับความเหงาอ้างว้าง นอกจากนี้คนบางกลุ่มในยุคปัจจุบัน กำลังมีความเสี่ยงที่จะต้องเจอกับความโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้น อย่างเช่นผู้อพยพ, ชนกลุ่มน้อย, ผู้ลี้ภัย, ผู้มีความหลากหลายทางเพศ, ผู้ให้การดูแลพยาบาล, และผู้ป่วยที่มีโรครุมเร้า

วิธีเอาชนะความอ้างว้างโดดเดี่ยว

การเอาชนะอารมณ์เหงาเปล่าเปลี่ยวภายในจิตใจของตนเองนั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกกับบีบีซีว่า
ทุกคนควรมุ่งให้ความสนใจกับความสุขและความพึงพอใจที่มีอยู่ รวมทั้งระวังรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเอาไว้ให้ดี นอกจากนี้ให้หมั่นสังเกตตนเองว่า มีสัญญาณของความเหงาอ้างว้างปรากฏขึ้นหรือไม่ เช่นมีอารมณ์ซึมเศร้ายาวนานไม่จางหายไปเสียที หรือไม่อยากออกนอกบ้านไปพบปะผู้คน บางรายอาจรู้สึกเหินห่าง ไม่มีความผูกพันกับบุคคลใกล้ตัวหรือสถานที่โดยรอบเหมือนเช่นเคย

ความสันโดษเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่

รศ.ดร.เหวียน กล่าวเน้นย้ำด้วยว่า ในฐานะที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องพึ่งพาเครือข่ายทางสังคมที่เหนียวแน่นซึ่งยึดถือกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อความอยู่รอด "ดังนั้นเราจึงเน้นให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกัน และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ในแง่นี้การปลีกวิเวกถือสันโดษจึงถูกตีตราว่าเป็นสิ่งไม่ดี แม้ผลที่เกิดขึ้นทันทีจากการแยกตัวไปอยู่ลำพัง คือการที่เราสามารถสงบใจลงได้ก็ตาม"
ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยเรดดิงของสหราชอาณาจักร พบว่าการปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตสันโดษเป็นครั้งคราวนั้น มีทั้งผลดีและผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรา โดยมีการติดตามเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่ 178 คน เป็นเวลา 21 วัน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะตอบแบบสอบถามและจดบันทึกเรื่องราวชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อวัดระดับความเครียด, ความพึงพอใจต่อชีวิต, ความรู้สึกอิสรเสรีเป็นตัวของตัวเอง, และความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้น
ผลปรากฏว่ายิ่งใช้เวลาอยู่ตามลำพังคนเดียวนานขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีแนวโน้มที่ความเครียดจะลดลง รวมทั้งรู้สึกปลดปล่อยเป็นอิสระมากขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้รศ.ดร.เหวียนบอกว่า เป็นสัญญาณบ่งชี้ของความสงบใจที่เกิดขึ้นจากความสันโดษ
อย่างไรก็ตาม มีผู้เข้าร่วมการทดลองบางส่วนระบุว่า ในวันที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังนานหลายชั่วโมง พวกเขากลับรู้สึกไม่มีความสุขหรือมีความพึงพอใจน้อยลง ซึ่งเป็นอาการของความเหงาโดดเดี่ยวนั่นเอง

วิธีค้นหาชั่วขณะแห่งความสงบสุขของตนเอง
รศ.ดร.เหวียนจึงแนะนำว่า ให้พยายามเจียดเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง โดยสร้างนิสัยหรือพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ อย่างเช่นกำหนดเวลาที่จะไม่ดูหน้าจอหรือใช้สื่อสังคมออนไลน์เลยเอาไว้

อย่างไรก็ตาม การปลีกวิเวกถือสันโดษนั้นก็มีขีดจำกัด ซึ่งผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเรดดิงพบว่า ผู้คนจะรู้สึกเหงาหงอยโดดเดี่ยวและมีความไม่พึงพอใจมากขึ้น ในวันที่แยกตัวอยู่ตามลำพังเป็นเวลานานชั่วโมงขึ้นกว่าเดิม อารมณ์หม่นหมองที่เกิดขึ้นนี้ไม่ลดลง แม้คนผู้นั้นจะสมัครใจเลือกอยู่ตามลำพังเองก็ตาม แต่มันกลับสะสมเพิ่มขึ้นเมื่อต้องใช้ชีวิตสันโดษติดต่อกันหลายวัน

ในประเด็นนี้รศ.ดร.เหวียนมีความเห็นว่า ไม่อาจกำหนดจุดสมดุลของการปลีกวิเวกได้อย่างชัดเจนเป็นจำนวนชั่วโมง แม้งานวิจัยบางชิ้นจะชี้ว่า มนุษย์จะเริ่มรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เมื่อต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานานกว่า 75% ของช่วงเวลาที่ตื่นนอนอยู่ก็ตาม
"แท้จริงแล้วจุดสมดุลของความสันโดษ น่าจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของการใช้เวลาอยู่ตามลำพัง ซึ่งแต่ละคนก็มีขีดจำกัดที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกทั่วไปของคุณในวันนั้นด้วย" รศ.ดร.เหวียนกล่าว

ส่วนกิจกรรมที่ควรทำระหว่างที่ปลีกวิเวกอยู่เพียงผู้เดียวนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นให้ตื่นตัวไม่ง่วงเหงาหาวนอน แต่ก็สามารถให้การพักผ่อนและช่วยคลายความตึงเครียดได้ด้วย การทำงานอดิเรกหลายอย่างไปกันได้กับการใช้ชีวิตสันโดษชั่วขณะ เช่นการอ่านหนังสือ, ทำสวน, เดินเล่นสัมผัสธรรมชาติ, ฟังเพลง, ทำอาหาร, และการทำงานประดิษฐ์ที่ใช้ฝีมือชนิดต่าง ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่