ขอบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นกึ่งระบายส่วนตัว กึ่งเล่าเรื่อง หากใครจะเห็นต่างก็ไม่แปลก แต่รบกวนอ่านให้จบด้วยนะ
เมื่อสัปดาห์ก่อนเรามีโอกาสได้รับเข้าทำงานที่บ.แห่งหนึ่งกลางกทม. เป็นบริษัทนานาชาติมีหลายสาขาตามทั่วโลก ดูมีโปรไฟล์ดี ตอนสัม.เขาก็บอกว่าเราจะได้ใช้ภาษา Eng เป็นส่วนใหญ่ เราก็สนใจตอบตกลง
แต่... วันแรกที่เราไปก็รู้สึกแปลกๆละ เราเป็นหนึ่งในคนเริ่มทำงานใหม่พร้อมกับอีกสิบกว่าชีวิต มีพี่ใหญ่มาต้อนรับพาเข้าห้องเทรนงานที่...สภาพมัน นี่มันห้องเรียนมหาลัยแทบจะเป๊ะๆเลยนี่... พอเข้าห้องได้ทุกคนก็พากันนั่งตามที่และทักทายพี่ใหญ่กันไป จะไม่ขอติพี่ใหญ่ในตรงนี้เพราะเป็นนิสัยเค้าที่เค้าอยากจะแสดงออกสนุกสนาน เป็นกันเอง
แต่หลังจากนั้นคือ when hell got loose. เทรนเนอร์หรือผู้ที่จะฝึกสอนเราตลอดช่วงนี้เข้ามาทำการแนะนำตัวและเนื้อหาที่เราจะต้องทำงาน หลังจากนั้นก็เป็นการนั่งฟังเค้าร่ายยาวๆ ตนนั่งเก้าอี้มองหน้ากระดานที่เค้าฉายโปรเจ็กเตอร์ออกมาต่างๆนาๆ พอท้ายวันก็ให้ทุกคนในห้องแนะนำตัว ซึ่งถ้ามันแค่เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมาก็ดีนะ แต่เค้าเล่นให้แต่ละคนแนะนำตัวในหัวข้อต่างๆไปเรื่อย เหมือนกับเรามาเข้าห้องมัธยมวันแรกแล้วอยากให้ทุกคนรู้จักเหมือนเป็นเพื่อนทำกิจกรรมสันทนาการกัน
พอหลังจากนั้นวันถัดไป เราก็คิดว่าคงจะได้เริ่มฝึกงานเป็นจริงเป็นจังกันสักที.. เฮ้อ ไม่น่าหวังเลย
ขอสรุปแบบรวบรัดเลยว่า ตลอดทั้งสัปดาห์เรากับอีก 10 กว่าคนเหมือนโดนมัดแขนมัดขามานั่งเรียนคลาสในมหาลัย ต้องนั่งฟังเทรนเนอร์อ่านบนกระดานให้ตัวเรียงตัว ถึงเวลามีการเรียกถาม-ตอบ เรียกสุ่มมาตอบ
(ในมุมมองเราเหมือนโดน treated เป็นเด็กมัธยมอ่ะ) และ repeat อย่างงี้
ทั้งวัน เอาตรงๆนะ เนื้อหาที่เค้าหามาให้แต่ละวันอ่ะ จริงๆ
แค่ 3 ชม. ก็จบละ แต่เค้าเล่นยืด คือยืดจนยิ่งกว่าแขนขาลูฟี่อีก และวนประเด็นเดิมซ้ำไปมาเป็น 10ๆ กว่ารอบ สาเหตุเดียวเลยเพราะอยากให้มัน fit เวลา 8 ชม.แต่ละวัน ห้ามเอามือถือ ห้ามปากกา-กระดาษจด ห้ามที่อัดเสียง ห้ามทุกอย่าง เพราะ policy ของบ. ไม่อยากให้มีอะไรเป็นหลักฐานทาง physical จับต้องได้ออกไป และทำไรได้ล่ะ ทั้งวัน ก็นั่งฟังไป ง่วงหาวนอนกันทั้งห้อง การเรียกตอบไม่ได้ช่วยให้ดึงสติมาเลย
คือไม่ได้ทำอะไรเลย แทนที่จะได้ลงมือทำตย. ว่าเนื้องานที่จะทำจริงๆเป้นยังไงด้วยตัวเอง แต่ไม่.. นั่งฟังไปอย่างงั้นแหล่ะ
(บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เราคนเดียวอ่ะ เพราะทั้งห้องสิบกว่าคนก็ง่วงหาวนอน สติไปกันหมดตอนครึ่งหลังของวัน เราก็ไปคุยกับหลายคนกันหมดล่ะ ว่าเค้าง่วง เบื่อกัน เพราะมันเรียนแค่ครึ่งวันก็หมดเนื้อหาที่เค้าเตรียมมาแล้วอ่ะ)
เรื่องต่อไป ล็อคอิน+++++ ไม่รุ้จะตั้งสารพัด user อีเมล พาสอะไรเยอะแยะ ถามว่าเยอะยังไงอ่ะเหรอ.. เดี๋ยวจะบอกเป็นสเต็ปโดยที่พยามไม่ลีคว่ามันคือข้อมูลบ. เริ่มจาก---
- ใส่พาสเข้าวินโดว > เปิดโครม > ล็อคอินเข้าโปรแกรมพนักงานของบริษัท > ล็อคอินเข้าเมลล์ > เปิดตัว launcher ส่วนตัวของบ.อันนึง ล็อคอินด้วย email/user อีกอัน (รวมใส่ OTP) > เข้าบราวเซอร์จากในนั้น แล้วล็อคอินอีกรอบด้วย user และพาสอีกอัน (อีกแล้ว) > จากนั้นเปิดอีกอัน ล็อคอินอีกที่ > จากนั้นไม่นาน เค้าก็ให้อีกไซต์หนึ่งของบ. มา ใช่ก้ล็อคอินด้วย user พาสคนละแบบ
-----
ลองคิดตามดู รวมๆแล้ว process ที่เราต้องเข้าและพิมเมล พาสแต่ละวัน.. ไม่สิ วันนึงไม่ต่ำกว่า 5-10 รอบวนไปมา เมล-พาส ทุกอันต่างกัน 3-5 แบบ รหัสบังคับต้อง 18-20 ตัวขึ้นไป จดไม่ได้ เซฟไม่ได้ สงสารคนแก่หรือความจำไม่ดีนะ ถ้าลืมไปสักอันก็โดนหักแต้ม เสียประวัติในงาน ต้องไปแจ้ง IT ให้รีเซ็ตรหัสและระบบทุกอย่างจะ logout ตัวเองภายใน 5 นาทียกเว้น ในโปรแกรมลับอีกอันนึง
และจำได้มั้ยว่า ทั้งวันเราต้องนั่งฟัง+++ เราต้องคอยกดอะไรก็ได้หรือเลื่อนเม้าเพื่อไม่ให้จอมันดับไปทุกๆ 3-5 นาที เพราะถ้าจอปิดเมื่อไรก็... เย้ ล็อคอินใส่พาสใหม่ และถ้าตั้งใจฟังจนไม่ได้คอยดูหน้าจอหลังมันดับไปไม่กี่นาทีละ? user โดนล็อคไง เราจะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเดินไปแจ้งไอทีอีก รู้สึกถึง
ความย้อนแย้งอะไรรึเปล่าเนี่ย เราต้องคอยนั่งจ้อง-ฟังคาบเรียน ถ้าเทรนเนอร์เห็นเราดูไม่ตั้งใจก็จะเรียกเรา แต่ถ้าหากเราเผลอมีสมาธิฟังจอคอมก้จะดับ แล้วโดนล็อคไง มือต้องคอยกันไม่ให้ดับตลอดเวลา แค่นี้ก็โฟกัสกับอะไรสักอย่างไม่ได้ละ ออ... คอมเค้าไม่มีการตั้ง screen timeout นะ เค้าล็อคไว้ไม่เกิน 5 นาทีทุกคน
-----
ละแบบไหว้ล่ะ มันจะเยอะไปไหนไอระบบภายในเนี่ย เราจะทำอะไรต้องคอยมองเปลี่ยนสเตตัสตลอดเวลา ทั้งจากบราวเซอร์นอกและในจะนั่ง จะลุกไปเบรค จะเปลี่ยนไปอ่านเนื้อหา ทุกอย่างสลับวันไปมาทั้งวัน.. ละยังจำได้มั้ยว่าทุกอย่างมัน log out เองทุกๆไม่กี่นาที แค่ลุกไปเข้าห้องน้ำ 5 นาที > เปลี่ยนสเตตัส > ล็อคคอม > กลับมาพิมพ์พาสเข้าคอม > พิมพาสเข้าหน้า dashboard พนักงานเพื่อเปลี่ยนสเตตัส
ลองจินตนาการว่าทั้งวัน 9 ชม. ต้องพิม username พาส กี่สิบๆรอบพาสหลายๆแบบ 18-20 ตัว สมองแทนที่จะเอาไปเรียนรู้ ไปจำเนื้อหาทำงาน กับ ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน ต้องมาคอยนึกว่าเข้าตรงนี้ใช้เมลไหน ใช้ชื่อไหน และใช้พาสตัวไหน so messy ไปหมด
เข้าใจนะว่า เค้าอยากทำให้มันเป็นระบบแบบแน่ชัดเลยว่า พนักงานแต่ละคนแต่ละวันมีการทำอะไรบ้างในออฟฟิศ และเป็นการบันทึกเวลางานด้วย แต่เข้าใจมั้ย ด้วยแต่ละอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด ความย้อนแย้งที่ไม่ make sense มันเลยกลายเป็นความยุ่งเหยิงที่.. ขออนุญาติใส่เสียงอาจารย์แดงนะ "-ึงทำไปทำไม ทำไปทำเ-้ยไร"
ส่วนเรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่ต้องด่าที่สุด... บ.นี้เค้าค่อนข้างเซนสิทีฟเรื่อง privacy กับความลับภายในมาก เพราะนั้นเค้าเลยมีกฏว่า
ห้าม!! ห้ามนำโทรศัพท์ ห้ามนำสมุด-ปากกา ห้ามเอาสัมภาระแทบทุกอย่าง ต้องเก็บไว้ในล็อคเกอร์พนักงาน
ฟังดูตรงนี้เหมือนดูดี ไม่มีอะไรแปลกใช่มั้ยละ ถ้ามันไม่ใช่ตรงที่ว่า
ต้องแชร์ล็อคเกอร์นั้นกับคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ใช่.. ต้อง
ทิ้งมือถือ กระเป๋าตัง กับของอื่นๆไว้ในล็อคเกอร์ที่คนอื่นสามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน ตั้งอยู่กลางทางที่ใครๆก็เดินผ่านและมองดูตอนเราเปิดรหัสตัวเลขได้ง่ายๆ ปกติเค้ามีแต่ห้ามทิ้งของมีค่าไว้ แต่ที่นี่ให้ทิ้งไว้ในที่ที่คนอื่นเข้าถึงได้ เหมือนหยิบเสื้อออกมาจากตู้ ถ้าได้คู่แชร์ที่นิสัยดีก็ดีไป แต่ลองคิดในระยะยาวนะ... ถ้ามีใครเกิดมีปัญหากับเพื่อนล็อคเกอร์หรือเพื่อนของเพื่อนอีกที แล้วมันหมั่นใส้เราล่ะ ีใจด้วย มีกล้องในระยะไกลก็ไม่ได้ช่วย ในออฟฟิศก็ไม่มี รปภ สักคน ของหาย-เสียหรือพังก็เสียเวลางาน เสียอารมณ์คอยร้องเรียน แต่
อะไรที่มัน lost ไปแล้วมันกลับคืนมายากหรืออาจจะไม่ได้เลย
ไม่รุ้ว่าในอนาคตทาง บ.จะทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้มั้ย เพราะบอกตามตรงว่าแบบนี้มันทำให้เราหรืออีกหลายคนรุ้สึกไม่ปลอดภัยกับการทำงานที่นี่เลย ที่ต้องเอาทรัพย์สินมีค่า ที่ sensitive มาแขวนไว้บนเส้นบางๆที่พร้อมจะสูญทรัพย์ได้ทุกเมื่อโดยที่เราควบคุมมันแทบจะไม่ได้ เพียงเพราะทางบ.แคร์แต่ privacy ของตัวเองแต่สิ่งของของพนักงานจะเป็นยังไงไม่สนจราย
.....
หากใครที่รู้ว่านี่พูดถึงบ.อะไรอยู่และเคยทำงานหรือกำลังทำงานอยู่ก็คงรู้และอาจมีทั้งเห็นด้วยหรือต่าง แต่หากใครพอเดาออกแล้วคิดจะสมัครเข้าที่นี่ก็ขอให้คิดๆดู หากใครเป็นคนชอบอะไรตรงไปตรงมา straight to the point รวบรัด แล้วให้ความสำคัญกับ privacy ของตัวเองละก็ ไม่แนะนำให้เสี่ยง แต่ถ้าใครไม่ค่อยแคร์นัก แค่มองหางานทำง่ายๆ แต่งตัวชิวๆ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน
ตกลงนี่เรามาทำงานหรือมาเรียนหนังสือ??
เมื่อสัปดาห์ก่อนเรามีโอกาสได้รับเข้าทำงานที่บ.แห่งหนึ่งกลางกทม. เป็นบริษัทนานาชาติมีหลายสาขาตามทั่วโลก ดูมีโปรไฟล์ดี ตอนสัม.เขาก็บอกว่าเราจะได้ใช้ภาษา Eng เป็นส่วนใหญ่ เราก็สนใจตอบตกลง
แต่... วันแรกที่เราไปก็รู้สึกแปลกๆละ เราเป็นหนึ่งในคนเริ่มทำงานใหม่พร้อมกับอีกสิบกว่าชีวิต มีพี่ใหญ่มาต้อนรับพาเข้าห้องเทรนงานที่...สภาพมัน นี่มันห้องเรียนมหาลัยแทบจะเป๊ะๆเลยนี่... พอเข้าห้องได้ทุกคนก็พากันนั่งตามที่และทักทายพี่ใหญ่กันไป จะไม่ขอติพี่ใหญ่ในตรงนี้เพราะเป็นนิสัยเค้าที่เค้าอยากจะแสดงออกสนุกสนาน เป็นกันเอง
แต่หลังจากนั้นคือ when hell got loose. เทรนเนอร์หรือผู้ที่จะฝึกสอนเราตลอดช่วงนี้เข้ามาทำการแนะนำตัวและเนื้อหาที่เราจะต้องทำงาน หลังจากนั้นก็เป็นการนั่งฟังเค้าร่ายยาวๆ ตนนั่งเก้าอี้มองหน้ากระดานที่เค้าฉายโปรเจ็กเตอร์ออกมาต่างๆนาๆ พอท้ายวันก็ให้ทุกคนในห้องแนะนำตัว ซึ่งถ้ามันแค่เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมาก็ดีนะ แต่เค้าเล่นให้แต่ละคนแนะนำตัวในหัวข้อต่างๆไปเรื่อย เหมือนกับเรามาเข้าห้องมัธยมวันแรกแล้วอยากให้ทุกคนรู้จักเหมือนเป็นเพื่อนทำกิจกรรมสันทนาการกัน
พอหลังจากนั้นวันถัดไป เราก็คิดว่าคงจะได้เริ่มฝึกงานเป็นจริงเป็นจังกันสักที.. เฮ้อ ไม่น่าหวังเลย
ขอสรุปแบบรวบรัดเลยว่า ตลอดทั้งสัปดาห์เรากับอีก 10 กว่าคนเหมือนโดนมัดแขนมัดขามานั่งเรียนคลาสในมหาลัย ต้องนั่งฟังเทรนเนอร์อ่านบนกระดานให้ตัวเรียงตัว ถึงเวลามีการเรียกถาม-ตอบ เรียกสุ่มมาตอบ (ในมุมมองเราเหมือนโดน treated เป็นเด็กมัธยมอ่ะ) และ repeat อย่างงี้ทั้งวัน เอาตรงๆนะ เนื้อหาที่เค้าหามาให้แต่ละวันอ่ะ จริงๆแค่ 3 ชม. ก็จบละ แต่เค้าเล่นยืด คือยืดจนยิ่งกว่าแขนขาลูฟี่อีก และวนประเด็นเดิมซ้ำไปมาเป็น 10ๆ กว่ารอบ สาเหตุเดียวเลยเพราะอยากให้มัน fit เวลา 8 ชม.แต่ละวัน ห้ามเอามือถือ ห้ามปากกา-กระดาษจด ห้ามที่อัดเสียง ห้ามทุกอย่าง เพราะ policy ของบ. ไม่อยากให้มีอะไรเป็นหลักฐานทาง physical จับต้องได้ออกไป และทำไรได้ล่ะ ทั้งวัน ก็นั่งฟังไป ง่วงหาวนอนกันทั้งห้อง การเรียกตอบไม่ได้ช่วยให้ดึงสติมาเลย
คือไม่ได้ทำอะไรเลย แทนที่จะได้ลงมือทำตย. ว่าเนื้องานที่จะทำจริงๆเป้นยังไงด้วยตัวเอง แต่ไม่.. นั่งฟังไปอย่างงั้นแหล่ะ
(บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เราคนเดียวอ่ะ เพราะทั้งห้องสิบกว่าคนก็ง่วงหาวนอน สติไปกันหมดตอนครึ่งหลังของวัน เราก็ไปคุยกับหลายคนกันหมดล่ะ ว่าเค้าง่วง เบื่อกัน เพราะมันเรียนแค่ครึ่งวันก็หมดเนื้อหาที่เค้าเตรียมมาแล้วอ่ะ)
เรื่องต่อไป ล็อคอิน+++++ ไม่รุ้จะตั้งสารพัด user อีเมล พาสอะไรเยอะแยะ ถามว่าเยอะยังไงอ่ะเหรอ.. เดี๋ยวจะบอกเป็นสเต็ปโดยที่พยามไม่ลีคว่ามันคือข้อมูลบ. เริ่มจาก---
- ใส่พาสเข้าวินโดว > เปิดโครม > ล็อคอินเข้าโปรแกรมพนักงานของบริษัท > ล็อคอินเข้าเมลล์ > เปิดตัว launcher ส่วนตัวของบ.อันนึง ล็อคอินด้วย email/user อีกอัน (รวมใส่ OTP) > เข้าบราวเซอร์จากในนั้น แล้วล็อคอินอีกรอบด้วย user และพาสอีกอัน (อีกแล้ว) > จากนั้นเปิดอีกอัน ล็อคอินอีกที่ > จากนั้นไม่นาน เค้าก็ให้อีกไซต์หนึ่งของบ. มา ใช่ก้ล็อคอินด้วย user พาสคนละแบบ
-----
ลองคิดตามดู รวมๆแล้ว process ที่เราต้องเข้าและพิมเมล พาสแต่ละวัน.. ไม่สิ วันนึงไม่ต่ำกว่า 5-10 รอบวนไปมา เมล-พาส ทุกอันต่างกัน 3-5 แบบ รหัสบังคับต้อง 18-20 ตัวขึ้นไป จดไม่ได้ เซฟไม่ได้ สงสารคนแก่หรือความจำไม่ดีนะ ถ้าลืมไปสักอันก็โดนหักแต้ม เสียประวัติในงาน ต้องไปแจ้ง IT ให้รีเซ็ตรหัสและระบบทุกอย่างจะ logout ตัวเองภายใน 5 นาทียกเว้น ในโปรแกรมลับอีกอันนึง
และจำได้มั้ยว่า ทั้งวันเราต้องนั่งฟัง+++ เราต้องคอยกดอะไรก็ได้หรือเลื่อนเม้าเพื่อไม่ให้จอมันดับไปทุกๆ 3-5 นาที เพราะถ้าจอปิดเมื่อไรก็... เย้ ล็อคอินใส่พาสใหม่ และถ้าตั้งใจฟังจนไม่ได้คอยดูหน้าจอหลังมันดับไปไม่กี่นาทีละ? user โดนล็อคไง เราจะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเดินไปแจ้งไอทีอีก รู้สึกถึงความย้อนแย้งอะไรรึเปล่าเนี่ย เราต้องคอยนั่งจ้อง-ฟังคาบเรียน ถ้าเทรนเนอร์เห็นเราดูไม่ตั้งใจก็จะเรียกเรา แต่ถ้าหากเราเผลอมีสมาธิฟังจอคอมก้จะดับ แล้วโดนล็อคไง มือต้องคอยกันไม่ให้ดับตลอดเวลา แค่นี้ก็โฟกัสกับอะไรสักอย่างไม่ได้ละ ออ... คอมเค้าไม่มีการตั้ง screen timeout นะ เค้าล็อคไว้ไม่เกิน 5 นาทีทุกคน
-----
ละแบบไหว้ล่ะ มันจะเยอะไปไหนไอระบบภายในเนี่ย เราจะทำอะไรต้องคอยมองเปลี่ยนสเตตัสตลอดเวลา ทั้งจากบราวเซอร์นอกและในจะนั่ง จะลุกไปเบรค จะเปลี่ยนไปอ่านเนื้อหา ทุกอย่างสลับวันไปมาทั้งวัน.. ละยังจำได้มั้ยว่าทุกอย่างมัน log out เองทุกๆไม่กี่นาที แค่ลุกไปเข้าห้องน้ำ 5 นาที > เปลี่ยนสเตตัส > ล็อคคอม > กลับมาพิมพ์พาสเข้าคอม > พิมพาสเข้าหน้า dashboard พนักงานเพื่อเปลี่ยนสเตตัส
ลองจินตนาการว่าทั้งวัน 9 ชม. ต้องพิม username พาส กี่สิบๆรอบพาสหลายๆแบบ 18-20 ตัว สมองแทนที่จะเอาไปเรียนรู้ ไปจำเนื้อหาทำงาน กับ ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน ต้องมาคอยนึกว่าเข้าตรงนี้ใช้เมลไหน ใช้ชื่อไหน และใช้พาสตัวไหน so messy ไปหมด
เข้าใจนะว่า เค้าอยากทำให้มันเป็นระบบแบบแน่ชัดเลยว่า พนักงานแต่ละคนแต่ละวันมีการทำอะไรบ้างในออฟฟิศ และเป็นการบันทึกเวลางานด้วย แต่เข้าใจมั้ย ด้วยแต่ละอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด ความย้อนแย้งที่ไม่ make sense มันเลยกลายเป็นความยุ่งเหยิงที่.. ขออนุญาติใส่เสียงอาจารย์แดงนะ "-ึงทำไปทำไม ทำไปทำเ-้ยไร"
ส่วนเรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่ต้องด่าที่สุด... บ.นี้เค้าค่อนข้างเซนสิทีฟเรื่อง privacy กับความลับภายในมาก เพราะนั้นเค้าเลยมีกฏว่า ห้าม!! ห้ามนำโทรศัพท์ ห้ามนำสมุด-ปากกา ห้ามเอาสัมภาระแทบทุกอย่าง ต้องเก็บไว้ในล็อคเกอร์พนักงาน
ฟังดูตรงนี้เหมือนดูดี ไม่มีอะไรแปลกใช่มั้ยละ ถ้ามันไม่ใช่ตรงที่ว่า ต้องแชร์ล็อคเกอร์นั้นกับคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ใช่.. ต้องทิ้งมือถือ กระเป๋าตัง กับของอื่นๆไว้ในล็อคเกอร์ที่คนอื่นสามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน ตั้งอยู่กลางทางที่ใครๆก็เดินผ่านและมองดูตอนเราเปิดรหัสตัวเลขได้ง่ายๆ ปกติเค้ามีแต่ห้ามทิ้งของมีค่าไว้ แต่ที่นี่ให้ทิ้งไว้ในที่ที่คนอื่นเข้าถึงได้ เหมือนหยิบเสื้อออกมาจากตู้ ถ้าได้คู่แชร์ที่นิสัยดีก็ดีไป แต่ลองคิดในระยะยาวนะ... ถ้ามีใครเกิดมีปัญหากับเพื่อนล็อคเกอร์หรือเพื่อนของเพื่อนอีกที แล้วมันหมั่นใส้เราล่ะ ีใจด้วย มีกล้องในระยะไกลก็ไม่ได้ช่วย ในออฟฟิศก็ไม่มี รปภ สักคน ของหาย-เสียหรือพังก็เสียเวลางาน เสียอารมณ์คอยร้องเรียน แต่อะไรที่มัน lost ไปแล้วมันกลับคืนมายากหรืออาจจะไม่ได้เลย
ไม่รุ้ว่าในอนาคตทาง บ.จะทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้มั้ย เพราะบอกตามตรงว่าแบบนี้มันทำให้เราหรืออีกหลายคนรุ้สึกไม่ปลอดภัยกับการทำงานที่นี่เลย ที่ต้องเอาทรัพย์สินมีค่า ที่ sensitive มาแขวนไว้บนเส้นบางๆที่พร้อมจะสูญทรัพย์ได้ทุกเมื่อโดยที่เราควบคุมมันแทบจะไม่ได้ เพียงเพราะทางบ.แคร์แต่ privacy ของตัวเองแต่สิ่งของของพนักงานจะเป็นยังไงไม่สนจราย
.....
หากใครที่รู้ว่านี่พูดถึงบ.อะไรอยู่และเคยทำงานหรือกำลังทำงานอยู่ก็คงรู้และอาจมีทั้งเห็นด้วยหรือต่าง แต่หากใครพอเดาออกแล้วคิดจะสมัครเข้าที่นี่ก็ขอให้คิดๆดู หากใครเป็นคนชอบอะไรตรงไปตรงมา straight to the point รวบรัด แล้วให้ความสำคัญกับ privacy ของตัวเองละก็ ไม่แนะนำให้เสี่ยง แต่ถ้าใครไม่ค่อยแคร์นัก แค่มองหางานทำง่ายๆ แต่งตัวชิวๆ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน