การเรียกร้องค่าขาดประโยชน์และค่าเสื่อมสภาพ กรณีรถยนต์ของตนเองถูกชนและเป็นฝ่ายถูก

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาเล่าเรื่องราวเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้มีรถยนต์และเป็นฝ่ายถูก (อาจจะยาวหน่อยนะคะ ไทม์ไลน์มันเยอะ)
ต้องเล่าก่อนว่า เหตุเกิดประมาณตี 2 ของคืนวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ซึ่งรถยนต์ของเราจอดไว้ที่หน้าบ้านปกติ (ทุกบ้านสามารถจอดรถหน้าบ้านตนเองได้) โดยเข้าเกียร์ N ไว้ และคนในบ้านเข้านอนหมดแล้ว มีรถบ้านข้างๆ (ขวา) ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านของตนเองในตอนกลางคืนเวลาประมาณตี 2 และทันใดนั้นได้เข้าเกียร์ผิด จะเข้าเกียร์ถอยหลัง เป็นเดินหน้า ทำให้รถของเราที่จอดไว้หน้าบ้านนั้นถูกชนจากด้านหน้ารถแล้วไปเบียดเสาไฟฟ้าที่อยู่ด้านหลัง (ท้ายชนเสาไฟฟ้า) หลังจากนั้นได้เรียกประกันของแต่ละฝ่ายมาเจรจากัน เสร็จประมาณตี 5
วันที่ 25 ธันวาคม ตอนเช้า เราได้เอารถไปเข้าศูนย์เพื่อทำเรื่องเคลม แต่ศูนย์แจ้งว่าต้องเปิดใบเคลมก่อน และรออะไหล่ ซึ่งช่วงนี้ใกล้วันหยุดปีใหม่ด้วยอาจจะใช้เวลานิดนึงถึงจะเริ่มซ่อมได้ แนะนำให้เราเอารถกลับไปก่อน แต่เรายืนยันว่าจะเอารถไว้ที่ศูนย์และหาเช่ารถยนต์ เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน (ศูนย์แจ้งว่าถ้าพี่เช่ารถตอนนี้ พี่จะเรียกค่าขาดประโยชน์ไม่ได้นะ เพราะทางประกันจะนับตั้งแต่วันซ่อม แต่เรายืนยันว่าจะเช่ารถอยู่ดี) เราจึงกลับบ้านไปแล้วทิ้งรถไว้ที่ศูนย์ จากนั้นทั้งวันเราหาเช่ารถจากที่ต่างๆ เกือบ 20 ที่ แจ้งว่ารถถูกเช่าหมดแล้ว เนื่องจากมันใกล้วันปีใหม่
วันที่ 26 ธันวาคม เราจึงตัดสินใจไปศูนย์อีกครั้ง เพื่อเอารถออกมาจากศูนย์แล้วนำไปไว้บ้านก่อน เนื่องจากเป็นห่วงรถและทางศูนย์แจ้งให้เอารถกลับไปก่อน
วันที่ 3 มกราคม ศูนย์แจ้งว่ามีอะไหล่แล้ว สามารถนำรถเข้ามาซ่อมได้ แต่เนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ ซึ่งเรากลับบ้านที่ต่างจังหวัด จึงไม่ได้เอารถไปไว้ที่ศูนย์
วันที่ 6 มกราคม เรากลับมาจากต่างจังหวัด จึงนำรถที่จอดไว้ที่บ้าน เข้าศูนย์เพื่อซ่อม
วันที่ 11-12 มกราคม เราต้องไปต่างจังหวัด เราจึงเช่ารถมา 2 วัน วันละ 1,350 บาท
วันที่ 29 มกราคม ศูนย์แจ้งว่าซ่อมรถเสร็จแล้ว ให้มารับรถได้
วันที่ 30 มกราคม เราเข้าไปรับรถกลับมา พร้อมเตรียมเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 40 แผ่น สำหรับยื่นกับเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันของคู่กรณี
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เราได้เข้าไปยื่นเอกสารทั้งหมดให้บริษัทประกันที่สำนักงานโดยตรง
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บริษัทประกันโทรมา แจ้งว่าที่เราเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ถึง 29 มกราคม นั้น (เราเรียกร้องไป 34 วัน วันละ 800 บาท และอีก 2 วันที่เช่ารถมา วันละ 1,350 บาท ค่าเสื่อมรถอีก 40,000 บาท รวมเป็น 69,900 บาท)  พิจารณาให้ ได้แค่วันที่ซ่อม คือตั้งแต่ 6 มกราคม ถึง 29 มกราคม คือ 22 วัน วันละ 500 บาท  และอีก 2 วันที่เช่ารถมา วันละ 1,350 บาท รวมเป็น 13,700 บาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ถามเราว่าจะรับเงินตรงนี้มั้ย จะได้เข้ามาเซ็นเอกสารแล้วปิดเรื่อง เราจึงถามไปว่าได้ดูเอกสารที่ส่งไปให้มั้ยว่าค่าเดินทางแต่ละวันของเราเท่าไร เราแนบใบเสร็จวันไหนอะไรไปบ้าง ทางเจ้าหน้าที่ตอบมาว่า พี่ไม่ได้ทุกอย่างที่ขอหรอกนะพี่ บริษัทพิจารณาให้ทุกเคส วันละ 500 บาท พี่ก็เติมน้ำมันไม่เกินวันละ 500 บาทอยู่แล้ว (เราตอบไปว่า จะมาคิดค่าน้ำมัน = ค่าแท็กซี่ไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง) ส่วนขาดเสื่อมสภาพก็รวมไปกับค่าขาดประโยชน์แล้ว ซึ่งแน่นอนเราตอบกลับไปว่า ไม่รับค่ะ ออกหนังสือพิจารณาให้ด้วย แล้วจะเข้าไปรับหนังสือพิจารณา เพื่อไปยื่น คปภ.
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เราเข้าไปรับหนังสือพิจารณาแล้วนำเอกสารทั้งหมดไปยื่นเรื่องกับ คปภ. เพื่อให้ คปภ. ช่วยเป็นคนกลางในการดำเนินเรื่อง
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกัน (คนละคนกับที่รับเรื่อง) โทรมาขอเจรจา โดยที่พิจารณาค่าขาดประโยชน์ให้วันที่ 25 ธันวาคม ถึง 29 มกราคม วันละ 500 รวม 34 วัน และค่าเช่ารถอีก 2 วัน วันละ 1,350 บาท รวมเป็นเงิน 19,700 บาท แล้วเจ้าหน้าที่ก็เงียบ (เนื่องจากการโทรมาของบริษัทประกันมีการอัดเสียงอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่จะไม่เสนอจ่ายค่าอื่นๆ นอกจากค่าขาดประโยชน์) เพราะฉะนั้น เราจึงพูดไปว่าแล้วค่าเสื่อมสภาพรถที่ขอไป 40,000 บาท จะพิจารณาให้เท่าไร เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ได้ 5,000 บาท เรียกว่าค่าปลอบใจ เราเลยบอกว่างั้นไม่เอา เจ้าหน้าที่เลยถามว่างั้นเราจบได้ที่เท่าไร เราเลยบอกไปว่า 10,000 บาท  เจ้าหน้าที่บอกว่างั้นขอไปคุยกับหัวหน้าก่อน แล้ววางสายไป ผ่านไป 2 ชม.  เจ้าหน้าที่โทรมาขอเจรจาให้เพิ่มเป็น 7,000 บาท โดยแจ้งว่าถ้ารถซ่อมไม่ถึง 1 แสน จะพิจารณาให้ได้ 5,000 บาท ซึ่งรถเราซ่อมไป 88,000 บาท เราเลยขอต่อรองเป็นที่ 9,000 บาท เจ้าหน้าที่แจ้งว่าขอตีเป็นกลมๆเลยแล้วกัน ขอจบที่ 27,000 บาท ( ซึ่งหากคิดแล้ว 19,700 บาท + 7,000 บาท จะได้ 26,700 บาท) ซึ่งเราคิดไว้แต่แรกแล้วว่ามันได้ไม่ถึงที่เราเรียกร้องไป เลยมีตัวเลขในใจที่ 30,000 บาท จึงตกลงไปตามนั้นแล้วเข้าไปเซ็นเอกสารรับเงิน รออีก 14 วันทำการ เงินถึงเข้าบัญชี

จากตอนแรกที่บริษัทประกันพิจารณาให้ 13,700 บาท เป็นต้องจ่ายเราที่ 27,000 บาท ซึ่งคิดว่าถ้าเรื่องไปถึง คปภ. มันน่าจะมากกว่านี้แน่นอน แต่หากเรามีตัวเลขในใจและรับได้ที่ข้อเสนอ และไม่อยากเสียเวลานานก็รับเงินในส่วนที่เราพอใจนั้นไป
อยากบอกว่า
- ตามที่จริงแล้วบริษัทประกันต้องพิจารณาค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่วันที่เราได้รับความเสียหาย ไม่ใช่วันซ่อม หากเรารออะไหล่เป็นเดือนละ?
- ค่าขาดประโยชน์ กับค่าเสื่อมสภาพ มันคนละส่วนกัน
- หากเราเช่ารถมา (ซึ่งรถต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับรถเรา) แล้วมีสัญญาเช่าและใบเสร็จ บริษัทประกันจะพิจารณาจ่ายตามที่เราจ่ายเงินเช่าไป
- เก็บใบเสร็จ ค่าเดินทาง ทั้งหมดว่าเราใช้ค่าเดินทางไปเท่าไร เพื่อใช้ในการต่อสู้หากเรื่องถึง คปภ.
- เนื่องจากรถเราออกมาได้ 1 ปี เราจึงเรียกค่าเสื่อมราคาไป 40,000 บาท ซึ่งคนอื่นอาจจะคิดว่ามันสูงไป แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณขายรถเมื่อไรแล้วซ่อมมาขนาด 88,000 บาท ราคาหายไปเกือบแสนแน่นอน (เราถามเจ้าหน้าที่ศูนย์ว่าซ่อมขนาดนี้ เรียกว่าหนักหรือยังเราจะได้ไปต่อรองกับบริษัทประกันหากต้องขึ้นศาล ศูนย์แจ้งว่าอยู่ในระดับปานกลาง)
- แต่ละบริษัทประกันไม่เหมือนกันนะคะ เคสเราเล่าเป็นตัวอย่างซึ่งเราเอามาแชร์ให้ฟัง เป็นทิกเล็กๆน้อยๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่อรอง เจรจา หลักฐาน และบริษัทประกันนั้นๆ
- เมื่อประกันโทรมาขอเจรจาโปรดระวังคำพูดถ้าคุณไม่รับข้อเสนอเค้า ไม่ต้องตอบอะไรมากมาย ไม่ต้องโต้เถียง เก็บไว้ไปเผยไตที่ คปภ. ฟังเค้าพูดให้จบไม่รับก็บอกไม่รับข้อเสนอ ขอรับตามที่เราส่งเอกสารไป

***จบ***
ขอสงวนบอกชื่อบริษัทประกันเพราะเราจบกันแล้ว และไม่ได้มีเจตนาพาดพิง แค่นำประสบการณ์มาแบ่งปันเผื่อเพื่อนๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่