CHAPTER 0
บทนำ
กรี๊ดดดดดดดดด.........
กลางดึกที่เงียบสงัดในคืนพระจันทร์เต็มดวง เสียงกรีดร้องแหลมเล็กด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิตดังก้องออกมาจากคฤหาสน์สไตล์โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหลังเดียวบนยอดเขา บรรดานกกลางคืนต่างกระพือปีกบินหนีด้วยความตระหนก
ภายในห้องหนึ่งที่อยู่ลึกสุดทางเดินปรากฏร่างของผู้ชายสองคนกับอีกหนึ่งร่างของหญิงสาวที่โดนพรากลมหายใจไปแล้ว กลิ่นคาวเลือดสด ๆ ลอยคละคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างเผยให้เห็นใบหน้านิ่งสงบของชายผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ‘นายท่าน’ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทยืนกำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้นิ่ง ก่อนจะก้มลงมองร่างไร้วิญญาณที่นอนตัวซีดเซียวพร้อมกับรอยคราบเลือดบริเวณต้นคอ รวมไปถึงคราบเลือกที่พุ่งไหลลงมาตามชุดเดรสสีขาว
“ผ้าครับนายท่าน” ชายสูงวัยอีกคนที่ยืนเยื้องออกไปยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กไปให้ด้วยท่าทางนอบน้อม
“เก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วย” สุ้มเสียงเย็นยะเยือกของผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ ก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดบริเวณมุมปากและมือขาวซีดของตัวเอง
“ครับ นายท่าน”
รามิล ส่งผ้าเช็ดหน้าผืนบางคืนไปให้คนสนิทก่อนจะหันหลัง และก้าวเท้าเดินออกไปทางประตูบานใหญ่ เขาเดินตรงมายังห้องนอนของตัวเองที่ในหนึ่งเดือนจะกลับเข้ามาที่นี่สักครั้ง นัยน์ตาสีแดงเป็นประกายขึ้นยามต้องแสงจันทร์ รามิลโยนสูทที่ถอดออกระหว่างเดินกลับมาทิ้งไปบนพนักโซฟาอย่างไม่ไยดี พลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้อง
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวพรหมจรรย์มักจะดังก้องออกมาจากที่แห่งนี้เป็นประจำในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง รามิลทอดสายตามองออกไปในความมืดสุดลูกหูลูกตา ภายในหัวใจที่หยุดเต้นมานานนับพันปีนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดบาป และความรู้สึกขยะแขยงตัวเอง
เตชินทร์ เดินตามผู้เป็นนายเข้ามาในห้องหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่กับรามิลมานาน นานพอที่ทำให้เขารู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นนายดี เตชินทร์ทำเพียงยืนอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
“เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่เราจะได้หลุดพ้นคำสาปบ้า ๆ นี้สักที” รามิลบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน เขาบ่นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากยังตามหาสิ่งนั้นไม่พบ
“นายท่าน ผมเองก็จนปัญญา ไม่รู้จะช่วยนายท่านได้อย่างไร”
“หึ หึ นี่เรามัวแต่คิดอะไรอยู่ คิดจะหลุดพ้นคำสาปทั้ง ๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเนี่ยนะ ตลกสิ้นดี เจ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถอะเตชินทร์ เราอยากอยู่คนเดียว” เสียงหัวเราะเย็น ๆ ที่ดังออกมานั้นราวกับผู้เป็นเจ้าของกำลังประชดชีวิตโดดเดี่ยวของตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ
เตชินทร์ได้ยินแบบนั้นก็เดินออกมาจากห้อง เขารู้ดีว่าผู้เป็นนายเสียใจแค่ไหนที่ต้องเป็นคนลงมือปลิดชีพ และดื่มเลือดของหญิงสาวแบบนี้ทุกค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง และคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน ชายสูงวัยได้แต่ยืนมองพระจันทร์ที่ทอแสงสีเหลืองนวลนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง
“ใบข้าว ลงมาป้อนข้าวคุณทวดหน่อยลูก” เสียงหวานของคุณใบปอดังออกมาจากในครัว
“รับทราบค่ะคุณใบปอ” หญิงสาวผู้เป็นลูกรีบวิ่งลงมาและตรงเข้าไปในครัวทันที
“เดี๋ยวเถอะลูกคนนี้ ไป ๆ รีบไป ได้เวลาคุณทวดต้องทานข้าวทานยาแล้ว”
ใบข้าว หญิงสาวหน้าตาน่ารักวัยยี่สิบเอ็ดเดินถือถาดอาหารเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นทวดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และนี่ก็เป็นอีกกิจวัตรอย่างหนึ่งในวันหยุดของเธอ เธอมักจะอาสาป้อนข้าวให้คุณทวด หญิงชราที่วัยล่วงเลยจวนจะเข้าสู่เลขสามหลักแล้ว ด้วยเพราะเธออยากฟังเรื่องเล่าจากคุณทวดนั่นเอง
เธอเปิดประตูห้องนอนของคุณทวดออกอย่างเบามือ ก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือกำลังถือหนังสือเล่มหนึ่ง แม้สายตาจะฝ้าฟางตามวัย แต่หญิงชราก็จดจำตัวอักษรในหนังสือเล่มที่ถือได้เป็นอย่างดี
“อ่านอะไรอยู่เหรอคะคุณทวด” ใบข้าวเอ่ยทักก่อนจะนำถาดอาหารเช้าวางไว้บนโต๊ะตรงข้าง ๆ
“ไม่ได้อ่านอะไรหรอกลูก ทวดแค่คิดถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เลยหยิบขึ้นมาถือไว้เฉย ๆ แล้วนี่เราไม่ไปโรงเรียนหรือไง” จรัสศรีเอ่ยกับเหลนสาวคนสวยด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้วันหยุดค่ะ แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องอะไรเหรอคะ คุณทวดเล่าให้ข้าวฟังได้ไหมคะ”
“ได้สิลูก เดี๋ยวทวดจะเล่าให้ฟัง” มือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวเหลนสาวด้วยความเอ็นดู
“แต่ก่อนเล่า คุณทวดต้องทานข้าวก่อนนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนคุณใบปอดุเอา” ใบข้าวพูดพลางยกชามข้าวต้มปลาขึ้นมา และตักป้อนผู้เป็นทวดไปเรื่อย ๆ คำแล้วคำเล่าจนหมดชาม
หลังจากป้อนข้าวและป้อนยาให้คุณทวดเสร็จ ใบข้าวก็นั่งลงข้าง ๆ เก้าอี้โยกตัวเดิมอีกครั้ง และในขณะเดียวกันคุณทวดก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้น
‘ชีวิตของผู้ที่อยู่เหนือความตาย ชีวิตที่อยู่กับคำว่าอมตะ เป็นเหมือนคำสาปร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หนทางหลุดพ้นจากความเป็นอมตะ นอกจากการถูกสังหารด้วยไฟและวัสดุที่ทำด้วยเงินแท้แล้ว ยังมีหยกโกเมนลึกลับอีกชิ้นที่สามารถดับชีวิตอมตะนั้นได้ และเรื่องราวความลึกลับของหยกโกเมนที่ถูกขนานนามว่า ‘หยกมณีสีเลือด’ ก็กลายเป็นสิ่งที่เหล่าผู้อยู่เหนือความตายทั้งหลายออกตามหา หนึ่งเพื่อนำมาใช้ดับชีพที่อยู่มานาน กับอีกหนึ่งคือต้องการทำลายเพื่อคงความเป็นอมตะของเผ่าพันธุ์ตนเอาไว้ ทว่านับหลายพันปีมาแล้วที่ไม่มีใครเคยพบหรือรู้เรื่องราวหยกโกเมนชิ้นนี้เลย’
“ใบข้าว...” หลังเล่าจบ จรัสศรีเอ่ยเรียกเหลนสาวที่ตั้งใจฟังอย่างดี
“คะ คุณทวด”
“ทวดอยากพบคนคนหนึ่ง”
“ใครเหรอคะ ข้าวรู้จักหรือเปล่า ถ้ารู้จักเดี๋ยวข้าวบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปรับเขามาเลยค่ะ” ใบข้าวพูดพร้อมทำท่าขับขี่มอเตอร์ไซค์อากาศจนเรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากหญิงชราได้
“เขาชื่อรามิล ทวดไม่รู้จักเขาหรอก แต่ทวดอยากเจอเขา มีบางสิ่งบางอย่างที่คุณเทียดของหนูฝากทวดเอาไว้ ฝากให้ทวดบอกกับเขาคนนั้น”
“รามิลเหรอคะ ชื่อแปลก ๆ ข้าวไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”
“ทวดเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ทวดอยากเจอเขาจริง ๆ ข้าวช่วยทวดหน่อยนะลูก”
หลังจากพูดคุยกับคุณทวดอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคุณทวดบอกใบข้าวว่าจะเอนหลัง เธอจึงเดินกลับออกมาที่ห้องนั่งเล่น พลางคิดถึงเรื่องที่คุณทวดสั่งความเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รามิล แล้วข้าวจะไปหาเขาได้จากที่ไหนล่ะคะคุณทวด เฮ้อ...” ใบข้าวบ่นอุบออกมาเพียงลำพัง
หญิงสาวนั่งคิดสาระตะไปเรื่อยพลางเลื่อนหน้าจอสมาร์ตโฟนดูข่าวสารและความเป็นอยู่ของเพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ไปด้วย และเพียงไม่นานเจ้าเครื่องมือสื่อสารในมือของเธอก็แผดเสียงร้องพร้อมแสดงชื่อเพื่อนสนิทขึ้นมา
“ฮัลโหลว่าไงคะเพื่อน...” ใบข้าวกรอกน้ำเสียงหวานลงไปทันทีที่กดรับสาย
[ชาบูสักหน่อยไหมคะ ฉันกับเจ้าเอ๋ยพร้อมแล้ว] ไข่มุกตอบกลับมาโดยการเข้าประเด็นทันที
“ยี่สิบนาทีเจอกันที่ร้านได้เลยจ้ะเพื่อนรัก”
ใบข้าววางสายจากเพื่อนสนิทปุ๊บ เธอก็รีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงและคว้ากระเป๋าสะพายลงมาข้างล่างทันที ไม่วายเธอก็วิ่งไปหาคุณใบปอผู้เป็นแม่ก่อนจะแจ้งให้ทราบว่าเธอนั้นจะออกไปข้างนอก
ใบปอได้แต่มองตามหลังลูกสาวที่วิ่งออกไปด้วยความร่าเริงพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วหันมาทำขนมที่ทำค้างเอาไว้อยู่ต่อ
ใบข้าวมาถึงร้านชาบูหน้ามหาวิทยาลัยภายในยี่สิบนาทีตามที่เธอบอกไข่มุกเอาไว้ และผ่านไปไม่นานไข่มุกก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเจ้าเอ๋ย หญิงสาวที่เตรียมลั่นระฆังวิวาห์ทันทีที่เรียนจบ
หลังจากสามสาวเริ่มกินกันไปได้สักพัก ใบข้าวก็เริ่มเปิดประเด็นที่เธอค้างคาใจกับเพื่อน ๆ ทันที
“นี่พวกแก เราจะหาคนที่รู้จักเพียงแค่ชื่อได้ยังไงอะ”
“เซิร์ซหาในอินเทอร์เน็ตสิ” เจ้าเอ๋ยตอบก่อนที่จะนำส่งหมูสไลด์ชิ้นบางเข้าปากไปทันที
“หาแล้ว มีเป็นร้อยเลย” ใบข้าวไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองท้อแท้กับอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
“ก็หาทั้งชื่อและนามสกุลสิยะ ยากอะไร” ไข่มุกสวนทันควัน
“ประเด็นคือรู้แต่ชื่อค่ะคุณไข่มุก”
“แล้วคนที่จะตามหาชื่ออะไรล่ะคะคุณใบข้าว” ไข่มุกย้อนกลับทันทีก่อนจะขำออกมาเล็กน้อย
“รามิล”
ทันทีที่ใบข้าวเอ่ยชื่อของคนที่คุณทวดของเธออยากเจอ ทั้งไข่มุกและเจ้าเอ๋ยต่างห็หันมองหน้ากันทันที ก่อนจะเป็นเจ้าเอ๋ยที่พูดขึ้นมาก่อน
“รามิล หรือจะเป็นท่านรามิล เจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่”
“ฮะ? ใครนะเจ้าเอ๋ย” ใบข้าวถามด้วยความแปลกใจ
“ท่านรามิล ได้ยินว่าเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ RM Jewelry แต่ก็นะไม่เคยมีใครเจอเขา ไม่เคยมีสื่อไหนได้สัมภาษณ์เขามาก่อน อีกอย่างไม่มีรูปถ่ายของเขาด้วย เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่คนเดียวกับที่ข้าวตามหาอยู่หรือเปล่า”
“ลึกลับอะไรเบอร์นั้น” เป็นไข่มุกที่พูดออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
“หรือเขาจะแก่จนเดินไม่ไหว เลยไม่เคยมีใครได้เจอเขา” ใบข้าวพูดไปตามข้อสันนิษฐาน
“โนค่ะเพื่อน เขายังหนุ่มและหล่อมาก อันนี้เราได้ยินตามข่าวซุบซิบพวกเพจคลั่งนักธุรกิจอะไรนี่แหละ” เจ้าเอ๋ยพูดไปตามข้อมูลที่เธอได้รับรู้มา
“ถ้าหล่อก็ต้องมีรูปบ้างแหละน่า แต่ช่างเถอะ กินก่อนดีกว่า ที่เหลือไว้ค่อยคิด” ใบข้าวพูดตัดบทเพื่อน ๆ ก่อนจะคีบเบคอนชิ้นสวยเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความอร่อย
ใบข้าวกลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเองทันที เธอหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดก่อนจะพิมพ์ข้อความที่รู้ลงในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดังทันที
‘RM Jewelry Company’
ทันทีที่กดเอ็นเทอร์ ข้อมูลบริษัทจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่ก็ปรากฏบนหน้าจอทันที แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็ไม่เห็นปรากฏรูปภาพของผู้ชายที่ชื่อรามิลเลย มีเพียงแค่บอกว่าผู้บริหารชื่อรามิลเท่านั้น
“แล้วจะใช่คนเดียวกับที่คุณทวดต้องการเจอไหมนะ” ใบข้าวบ่นพึมพำออกมาคนเดียวเพียงลำพัง สายตาก็จดจ้องอยู่แค่ที่ตัวอักษรสีดำตัวหนาที่สะกดว่า ‘รามิล’ ไม่วางตา
ติดตามอ่านเรื่องเต็มได้ที่
https://www.readawrite.com/a/650a0e095b8d6c8cd1a578e304d0d5af?r=user_page
หรือสนับสนุนนักเขียนผ่านอีบุ๊กได้ที่
https://shorturl.asia/h267n
นิยายเรื่อง "Blood แวมไพร์คลั่งรัก
กลางดึกที่เงียบสงัดในคืนพระจันทร์เต็มดวง เสียงกรีดร้องแหลมเล็กด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิตดังก้องออกมาจากคฤหาสน์สไตล์โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหลังเดียวบนยอดเขา บรรดานกกลางคืนต่างกระพือปีกบินหนีด้วยความตระหนก
ภายในห้องหนึ่งที่อยู่ลึกสุดทางเดินปรากฏร่างของผู้ชายสองคนกับอีกหนึ่งร่างของหญิงสาวที่โดนพรากลมหายใจไปแล้ว กลิ่นคาวเลือดสด ๆ ลอยคละคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างเผยให้เห็นใบหน้านิ่งสงบของชายผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ‘นายท่าน’ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทยืนกำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้นิ่ง ก่อนจะก้มลงมองร่างไร้วิญญาณที่นอนตัวซีดเซียวพร้อมกับรอยคราบเลือดบริเวณต้นคอ รวมไปถึงคราบเลือกที่พุ่งไหลลงมาตามชุดเดรสสีขาว
“ผ้าครับนายท่าน” ชายสูงวัยอีกคนที่ยืนเยื้องออกไปยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กไปให้ด้วยท่าทางนอบน้อม
“เก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วย” สุ้มเสียงเย็นยะเยือกของผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ ก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดบริเวณมุมปากและมือขาวซีดของตัวเอง
“ครับ นายท่าน”
รามิล ส่งผ้าเช็ดหน้าผืนบางคืนไปให้คนสนิทก่อนจะหันหลัง และก้าวเท้าเดินออกไปทางประตูบานใหญ่ เขาเดินตรงมายังห้องนอนของตัวเองที่ในหนึ่งเดือนจะกลับเข้ามาที่นี่สักครั้ง นัยน์ตาสีแดงเป็นประกายขึ้นยามต้องแสงจันทร์ รามิลโยนสูทที่ถอดออกระหว่างเดินกลับมาทิ้งไปบนพนักโซฟาอย่างไม่ไยดี พลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้อง
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวพรหมจรรย์มักจะดังก้องออกมาจากที่แห่งนี้เป็นประจำในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง รามิลทอดสายตามองออกไปในความมืดสุดลูกหูลูกตา ภายในหัวใจที่หยุดเต้นมานานนับพันปีนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดบาป และความรู้สึกขยะแขยงตัวเอง
เตชินทร์ เดินตามผู้เป็นนายเข้ามาในห้องหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่กับรามิลมานาน นานพอที่ทำให้เขารู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นนายดี เตชินทร์ทำเพียงยืนอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
“เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่เราจะได้หลุดพ้นคำสาปบ้า ๆ นี้สักที” รามิลบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน เขาบ่นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากยังตามหาสิ่งนั้นไม่พบ
“นายท่าน ผมเองก็จนปัญญา ไม่รู้จะช่วยนายท่านได้อย่างไร”
“หึ หึ นี่เรามัวแต่คิดอะไรอยู่ คิดจะหลุดพ้นคำสาปทั้ง ๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเนี่ยนะ ตลกสิ้นดี เจ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถอะเตชินทร์ เราอยากอยู่คนเดียว” เสียงหัวเราะเย็น ๆ ที่ดังออกมานั้นราวกับผู้เป็นเจ้าของกำลังประชดชีวิตโดดเดี่ยวของตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ
เตชินทร์ได้ยินแบบนั้นก็เดินออกมาจากห้อง เขารู้ดีว่าผู้เป็นนายเสียใจแค่ไหนที่ต้องเป็นคนลงมือปลิดชีพ และดื่มเลือดของหญิงสาวแบบนี้ทุกค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง และคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน ชายสูงวัยได้แต่ยืนมองพระจันทร์ที่ทอแสงสีเหลืองนวลนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง
“ใบข้าว ลงมาป้อนข้าวคุณทวดหน่อยลูก” เสียงหวานของคุณใบปอดังออกมาจากในครัว
“รับทราบค่ะคุณใบปอ” หญิงสาวผู้เป็นลูกรีบวิ่งลงมาและตรงเข้าไปในครัวทันที
“เดี๋ยวเถอะลูกคนนี้ ไป ๆ รีบไป ได้เวลาคุณทวดต้องทานข้าวทานยาแล้ว”
ใบข้าว หญิงสาวหน้าตาน่ารักวัยยี่สิบเอ็ดเดินถือถาดอาหารเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นทวดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และนี่ก็เป็นอีกกิจวัตรอย่างหนึ่งในวันหยุดของเธอ เธอมักจะอาสาป้อนข้าวให้คุณทวด หญิงชราที่วัยล่วงเลยจวนจะเข้าสู่เลขสามหลักแล้ว ด้วยเพราะเธออยากฟังเรื่องเล่าจากคุณทวดนั่นเอง
เธอเปิดประตูห้องนอนของคุณทวดออกอย่างเบามือ ก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือกำลังถือหนังสือเล่มหนึ่ง แม้สายตาจะฝ้าฟางตามวัย แต่หญิงชราก็จดจำตัวอักษรในหนังสือเล่มที่ถือได้เป็นอย่างดี
“อ่านอะไรอยู่เหรอคะคุณทวด” ใบข้าวเอ่ยทักก่อนจะนำถาดอาหารเช้าวางไว้บนโต๊ะตรงข้าง ๆ
“ไม่ได้อ่านอะไรหรอกลูก ทวดแค่คิดถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เลยหยิบขึ้นมาถือไว้เฉย ๆ แล้วนี่เราไม่ไปโรงเรียนหรือไง” จรัสศรีเอ่ยกับเหลนสาวคนสวยด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้วันหยุดค่ะ แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องอะไรเหรอคะ คุณทวดเล่าให้ข้าวฟังได้ไหมคะ”
“ได้สิลูก เดี๋ยวทวดจะเล่าให้ฟัง” มือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวเหลนสาวด้วยความเอ็นดู
“แต่ก่อนเล่า คุณทวดต้องทานข้าวก่อนนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนคุณใบปอดุเอา” ใบข้าวพูดพลางยกชามข้าวต้มปลาขึ้นมา และตักป้อนผู้เป็นทวดไปเรื่อย ๆ คำแล้วคำเล่าจนหมดชาม
หลังจากป้อนข้าวและป้อนยาให้คุณทวดเสร็จ ใบข้าวก็นั่งลงข้าง ๆ เก้าอี้โยกตัวเดิมอีกครั้ง และในขณะเดียวกันคุณทวดก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้น
‘ชีวิตของผู้ที่อยู่เหนือความตาย ชีวิตที่อยู่กับคำว่าอมตะ เป็นเหมือนคำสาปร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หนทางหลุดพ้นจากความเป็นอมตะ นอกจากการถูกสังหารด้วยไฟและวัสดุที่ทำด้วยเงินแท้แล้ว ยังมีหยกโกเมนลึกลับอีกชิ้นที่สามารถดับชีวิตอมตะนั้นได้ และเรื่องราวความลึกลับของหยกโกเมนที่ถูกขนานนามว่า ‘หยกมณีสีเลือด’ ก็กลายเป็นสิ่งที่เหล่าผู้อยู่เหนือความตายทั้งหลายออกตามหา หนึ่งเพื่อนำมาใช้ดับชีพที่อยู่มานาน กับอีกหนึ่งคือต้องการทำลายเพื่อคงความเป็นอมตะของเผ่าพันธุ์ตนเอาไว้ ทว่านับหลายพันปีมาแล้วที่ไม่มีใครเคยพบหรือรู้เรื่องราวหยกโกเมนชิ้นนี้เลย’
“ใบข้าว...” หลังเล่าจบ จรัสศรีเอ่ยเรียกเหลนสาวที่ตั้งใจฟังอย่างดี
“คะ คุณทวด”
“ทวดอยากพบคนคนหนึ่ง”
“ใครเหรอคะ ข้าวรู้จักหรือเปล่า ถ้ารู้จักเดี๋ยวข้าวบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปรับเขามาเลยค่ะ” ใบข้าวพูดพร้อมทำท่าขับขี่มอเตอร์ไซค์อากาศจนเรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากหญิงชราได้
“เขาชื่อรามิล ทวดไม่รู้จักเขาหรอก แต่ทวดอยากเจอเขา มีบางสิ่งบางอย่างที่คุณเทียดของหนูฝากทวดเอาไว้ ฝากให้ทวดบอกกับเขาคนนั้น”
“รามิลเหรอคะ ชื่อแปลก ๆ ข้าวไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”
“ทวดเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ทวดอยากเจอเขาจริง ๆ ข้าวช่วยทวดหน่อยนะลูก”
หลังจากพูดคุยกับคุณทวดอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคุณทวดบอกใบข้าวว่าจะเอนหลัง เธอจึงเดินกลับออกมาที่ห้องนั่งเล่น พลางคิดถึงเรื่องที่คุณทวดสั่งความเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รามิล แล้วข้าวจะไปหาเขาได้จากที่ไหนล่ะคะคุณทวด เฮ้อ...” ใบข้าวบ่นอุบออกมาเพียงลำพัง
หญิงสาวนั่งคิดสาระตะไปเรื่อยพลางเลื่อนหน้าจอสมาร์ตโฟนดูข่าวสารและความเป็นอยู่ของเพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ไปด้วย และเพียงไม่นานเจ้าเครื่องมือสื่อสารในมือของเธอก็แผดเสียงร้องพร้อมแสดงชื่อเพื่อนสนิทขึ้นมา
“ฮัลโหลว่าไงคะเพื่อน...” ใบข้าวกรอกน้ำเสียงหวานลงไปทันทีที่กดรับสาย
[ชาบูสักหน่อยไหมคะ ฉันกับเจ้าเอ๋ยพร้อมแล้ว] ไข่มุกตอบกลับมาโดยการเข้าประเด็นทันที
“ยี่สิบนาทีเจอกันที่ร้านได้เลยจ้ะเพื่อนรัก”
ใบข้าววางสายจากเพื่อนสนิทปุ๊บ เธอก็รีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงและคว้ากระเป๋าสะพายลงมาข้างล่างทันที ไม่วายเธอก็วิ่งไปหาคุณใบปอผู้เป็นแม่ก่อนจะแจ้งให้ทราบว่าเธอนั้นจะออกไปข้างนอก
ใบปอได้แต่มองตามหลังลูกสาวที่วิ่งออกไปด้วยความร่าเริงพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วหันมาทำขนมที่ทำค้างเอาไว้อยู่ต่อ
ใบข้าวมาถึงร้านชาบูหน้ามหาวิทยาลัยภายในยี่สิบนาทีตามที่เธอบอกไข่มุกเอาไว้ และผ่านไปไม่นานไข่มุกก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเจ้าเอ๋ย หญิงสาวที่เตรียมลั่นระฆังวิวาห์ทันทีที่เรียนจบ
หลังจากสามสาวเริ่มกินกันไปได้สักพัก ใบข้าวก็เริ่มเปิดประเด็นที่เธอค้างคาใจกับเพื่อน ๆ ทันที
“นี่พวกแก เราจะหาคนที่รู้จักเพียงแค่ชื่อได้ยังไงอะ”
“เซิร์ซหาในอินเทอร์เน็ตสิ” เจ้าเอ๋ยตอบก่อนที่จะนำส่งหมูสไลด์ชิ้นบางเข้าปากไปทันที
“หาแล้ว มีเป็นร้อยเลย” ใบข้าวไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองท้อแท้กับอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
“ก็หาทั้งชื่อและนามสกุลสิยะ ยากอะไร” ไข่มุกสวนทันควัน
“ประเด็นคือรู้แต่ชื่อค่ะคุณไข่มุก”
“แล้วคนที่จะตามหาชื่ออะไรล่ะคะคุณใบข้าว” ไข่มุกย้อนกลับทันทีก่อนจะขำออกมาเล็กน้อย
“รามิล”
ทันทีที่ใบข้าวเอ่ยชื่อของคนที่คุณทวดของเธออยากเจอ ทั้งไข่มุกและเจ้าเอ๋ยต่างห็หันมองหน้ากันทันที ก่อนจะเป็นเจ้าเอ๋ยที่พูดขึ้นมาก่อน
“รามิล หรือจะเป็นท่านรามิล เจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่”
“ฮะ? ใครนะเจ้าเอ๋ย” ใบข้าวถามด้วยความแปลกใจ
“ท่านรามิล ได้ยินว่าเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ RM Jewelry แต่ก็นะไม่เคยมีใครเจอเขา ไม่เคยมีสื่อไหนได้สัมภาษณ์เขามาก่อน อีกอย่างไม่มีรูปถ่ายของเขาด้วย เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่คนเดียวกับที่ข้าวตามหาอยู่หรือเปล่า”
“ลึกลับอะไรเบอร์นั้น” เป็นไข่มุกที่พูดออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
“หรือเขาจะแก่จนเดินไม่ไหว เลยไม่เคยมีใครได้เจอเขา” ใบข้าวพูดไปตามข้อสันนิษฐาน
“โนค่ะเพื่อน เขายังหนุ่มและหล่อมาก อันนี้เราได้ยินตามข่าวซุบซิบพวกเพจคลั่งนักธุรกิจอะไรนี่แหละ” เจ้าเอ๋ยพูดไปตามข้อมูลที่เธอได้รับรู้มา
“ถ้าหล่อก็ต้องมีรูปบ้างแหละน่า แต่ช่างเถอะ กินก่อนดีกว่า ที่เหลือไว้ค่อยคิด” ใบข้าวพูดตัดบทเพื่อน ๆ ก่อนจะคีบเบคอนชิ้นสวยเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความอร่อย
ใบข้าวกลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเองทันที เธอหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดก่อนจะพิมพ์ข้อความที่รู้ลงในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดังทันที
‘RM Jewelry Company’
ทันทีที่กดเอ็นเทอร์ ข้อมูลบริษัทจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่ก็ปรากฏบนหน้าจอทันที แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็ไม่เห็นปรากฏรูปภาพของผู้ชายที่ชื่อรามิลเลย มีเพียงแค่บอกว่าผู้บริหารชื่อรามิลเท่านั้น
“แล้วจะใช่คนเดียวกับที่คุณทวดต้องการเจอไหมนะ” ใบข้าวบ่นพึมพำออกมาคนเดียวเพียงลำพัง สายตาก็จดจ้องอยู่แค่ที่ตัวอักษรสีดำตัวหนาที่สะกดว่า ‘รามิล’ ไม่วางตา
ติดตามอ่านเรื่องเต็มได้ที่ https://www.readawrite.com/a/650a0e095b8d6c8cd1a578e304d0d5af?r=user_page
หรือสนับสนุนนักเขียนผ่านอีบุ๊กได้ที่ https://shorturl.asia/h267n