สวัสดีครับ ผมชื่ออ๊อฟ ผมเป็นนักศึกษาวิชาช่าง อายุ17ครับ
อดีตของผมนั้นได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ตั้งแต่ก่อนสมัยอนุบาลแล้วละครับ โดยมีพ่อและแม่ที่ทำงานในเมือง
หลังจากที่ผมโตได้ราวๆป.5
นานๆทีพ่อจะพาผมเข้าเมืองบ้างเป็นบางที ไม่ปู่ก็จะพาผมเข้าเมือง
คุณปู่เป็นคนที่ใจดีมากครับ ถึงแม้จะดุบ่อยแต่ก็ไม่เคยถึงขั้นที่ทำให้ผมร้องไห้ออกมาเลย ถึงจะโดนตีก้นบ้างก็แค่น้ำตาซึม
ครั้งนึงที่พ่อของผมได้มารับผมเข้าไปในเมือง พ่อก็ถามสารทุกข์สุกดิบไปมา จนวนไปถึงเรื่องการเรียน ตอนนั้นเองที่ผมได้รับรู้ว่าพ่อของผมเป็นคนที่พูดแรงขนาดไหน
ผมไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจรึปล่าว แต่ความคิดของเด็กป.5ที่ไม่ได้เรียนในเมืองอ่ะ มันก็ไม่ได้มีความรู้มากขนาดนั้นถ้าเทียบกับนักเรียนสมัยนั้นที่อยู่ในเมือง
ผมไม่สามารถท่องแม่สูตรคูณได้ทุกแม่ ตอนนั้นที่จำได้ก็ถึงแค่แม่8เอง ผมอาจจะทำให้พ่อผิดหวัง แต่เขาว่าผมจนร้องไห้ออกมาหนักมากๆ เพียงแค่ว่าผมท่องแม่สูตรคูณทุกแม่ไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ผมยังจดจำได้จนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าผมและพ่อแม่ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยขนาดนั้นเพราะผมอาศัยอยู่กับปู่ แต่บางๆทีพวกเขาก็จะโทรติดต่อมาหาผ่านโทรศัพท์ของปู่
ช่วงเวลาประถมศึกษาของผมนั้นมันก็ได้ล่วงเลยไปจนจบ และผมก็จะได้ขึ้นมัธยมซักที นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เลือกตัดสินใจเส้นทางชีวิตตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากที่เคยมีพ่อแม่ปูทางให้
ผมสามารถเลือกที่จะเรียนอยู่นอกเมืองและอาศัยอยู่กับปู่ต่อได้ แต่ว่าผมก็เลือกที่จะทำตามฝันเล็กๆของผม ผมอยากจะเป็นวิศวกรเหมือนกับคุณอาเพื่อนบ้านของผม
ผมจึงได้เลือกที่จะเข้าไปเรียนในเมือง และแน่นอนว่าผมก็จะต้องย้ายไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ผมต้องเผชิญ เด็กคนนึงที่ได้พบกับโลกใบใหม่ สังคมใหม่ๆ พ่อกับแม่ได้พาผมไปสมัครเข้าเรียนมอต้นที่โรงเรียนที่ค่อนข้างดังในจังหวัด
ผมได้เลือกเส้นทางที่ผมใฝ่ฝัน คือการเป็นวิศวกรและได้เข้าเรียนห้องเรียนพิเศษ ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกคิดผิดที่เลือกเรียนในห้องเรียนพิเศษ
และใช่ ผมถูกกดดันและคาดหวังในการเรียนในช่วงมอต้นอย่างมาก แต่ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านหวังดีกับผม และอยากให้ผมก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ
โดยมีคำพูดปลอบใจอยู่ตลอดว่า ‘ยอมเหนื่อยไปก่อนตอนเรียน หลังจากทุกอย่างจบแล้วตอนนั้นแหละที่จะได้มีความสุข’
ผมเข้าใจนะว่าการลำบากในตอนนี้เป็นเรื่องที่ควรทำ และผมก็ยึดคำพูดนั้นเป็นปณิธานในการตั้งใจเรียนมาโดยตลอด
ผมเหนื่อยล้าทั้งร่างกาย และจิตใจ เครียดเหลือเกินจนอยากจะเลิกไปซะตอนนี้ แต่ก็ทำไม่ได้
หลังจากขึ้นมอสอง ผมเริ่มหันกลับมามองตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมรู้สึกเหงาเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา
พ่อกับแม่ของผมก็จริงจังกับเรื่องเล็กๆน้อยๆมากจนผมรู้สึกไม่ดีกับการใช้ชีวิตที่บ้านในแต่ละวัน
แค่การที่ผมจะคุยอะไรสักอย่างกับพ่อหรือแม่ พวกท่านก็จะโยงไปหาเรื่องเรียนให้ได้
ผมแค่อยากพักจากการเรียนมาเล่นเกมบ้างก็จำกัดเวลาเล่นของผม จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าผมใช้เวลากับครอบครัวเลย รู้สึกตัวอีกทีก็ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องคนเดียว เพราะออกมาข้างนอกก็ต้องมาเครียดเพราะพ่อกับแม่ ไหนจะเรื่องเรียน การอ่านหนังสือที่ทำให้ผมท้อแท้
ช่วงเวลาที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวจริงๆจรังๆคงจะมีแค่ตอนกินข้าวนั้นแหละ ที่ยังพอได้คุยกันบ้าง นอกจากนั้นก็แทบจะไม่มีเลย
ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านคงจะเหนื่อยจากการที่ต้องส่งผมให้ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆแบบนี้ และผมเองก็ไม่อยากทรยศสิ่งที่พวกท่านทำเพื่อผมขนาดนี้
แต่สุดท้ายแล้วผมกลับอยู่ตัวคนเดียวในห้องมืดที่มีมือถือเครื่องนึงและตัวผม
ผมรู้ว่าการเปรียบเทียบครอบครัวตัวเองกับครอบครัวอื่นมันเป็นเรื่องที่แย่
แต่ผมสามารถพูดออกมาได้เต็มปากตัวเองว่า ครอบครัวของผมห่างเหินกันมากๆ
มีแค่ผมที่พยายามปรับตัวหาพวกท่าน พยายามฝึกนิสัยตัวเองใหม่ จากที่ผมเคยเป็นคนที่สดใส แต่พอกลับถึงบ้านผมก็จะกลายเป็นเหมือนเด็กคนนึงที่พยายามแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆที่ผมกำลังฝืนตัวเองอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ
แต่พวกท่านกลับไม่เคยปรับตัวเข้าหาผมเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานอดิเรกผมคืออะไร แถมยังมองสิ่งที่ผมชอบว่าไร้สาระ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมคิดอะไรอยู่ แต่ก็พูดออกมาว่าฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไร เพราะ “ฉันเคยผ่านมาก่อน”
ผมเริ่มกลับมาคิดทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ว่าสิ่งผมกำลังทำมาตลอดสองปีนี้ ผมทำเพื่อตัวเองหรือผมกำลังทำเพื่ออะไรอยู่ และใช่..ผมกำลังบังคับตัวเองให้ทำตามความคาดหวังของพ่อแม่อยู่ และผมก็รู้ตัวสักทีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่เส้นทางที่ผมอยากเดินไป
ผมต้องพูดเพราะ และมีหางเสียง เวลาคุยกับพวกท่าน ผมถูกปลูกฝังให้มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมพยายามมาตลอดอย่างโดดเดี่ยวกับสังคมที่บ้านที่หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นแบบนี้
ผมไม่รู้จะขอบคุณพวกท่านหรือเกลียดดี
สิ่งที่คอยเยียวยาผมตลอดมานี้คงจะมีแค่เพื่อนสนิท และการเล่นเกมอย่างบ้าคลั่งเพื่อลืมเรื่องแย่ๆทิ้งไป
มอสาม ผมได้กลายเป็นเด็กที่มีสองด้าน ด้านที่ได้เป็นอิสระจากบ้าน และด้านที่เงียบขรึมเวลาอยู่บ้าน
แต่ก็ใช่ว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านจะมีแต่เรื่องเครียดๆเกิดขึ้นตลอด บางทีเรื่องดีๆที่บ้านก็เกิดขึ้นบ้าง
ผมได้เรียนจนจบชั้นมอ3 เกรดเฉลี่ยของผมนั้นไม่สูงพอที่จะเข้าเรียนห้องเรียนพิเศษต่อได้ แต่ก็สามารถเข้าเรียนห้องเรียนธรรมดาได้
ตอนนั้นที่ผมได้คุยกับเพื่อนสนิทของผม เขาเลือกที่จะย้ายโรงเรียนไปที่อื่น เราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และเขาก็ได้แนะนำวิทยาลัยเทคนิคให้กับผม
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้รับข้อมูลมา ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะไปนั่งคุยกับที่บ้านอย่างจริงจัง ผมรับรู้ได้ถึงความผิดหวังเล็กๆน้อยๆ ที่ผมไม่สามารถเข้าเรียนห้องเรียนพิเศษต่อได้ และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เริ่มค่อยๆเข้าใจพวกท่านมากขึ้น
“ไม่ว่าลูกจะเลือกเรียนอะไร ก็ต้องเรียนไปให้ถึงจุดหมายล่ะ ได้คิดไว้รึยังว่าอนาคตอยากทำงานอะไร”
พวกเขาพูดแบบนี้กับผม ผมรู้สึกโล่งใจมากที่พวกเราสนับสนุนผมต่อไปไม่ว่าเส้นทางที่ผมเลือกมันจะไม่เหมือนเดิม
ผมได้เล่าความฝันของผมให้พวกท่านฟังเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าพวกท่านไม่ได้ปฏิเสธความฝันของผม แต่ก็ช่วยให้ผมมองโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย เพราะมันเป็นความจริงที่ผมหวังสูงไปหน่อย
ความคิดของผมค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด พวกท่านใส่ใจในตัวผมอยู่จริงๆ นี่เป็นความจริงที่ผมรับรู้มาตลอด และมันก็เป็นแบบนั้นมาแต่แรกอยู่แล้ว ผมแค่มองข้ามมันไปเพราะความเหงาและความเครียดกลืนกิน
ข้อผูกมัดที่ทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายได้พังทลายลงหลังจากที่ผมเลิกเรียนห้องเรียนพิเศษ
แต่ความจริงที่ว่าผมและที่บ้านก็ยังคงห่างเหินกัน ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ผมได้เริ่มเรียนชั้นปวช.อย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้สนิทกับที่บ้านเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมาฝืนตัวเองเพื่อทำตามความคาดหวังของพวกท่าน ถึงตอนนี้พวกท่านจะยังคงคาดหวังในตัวผมอยู่ และยังคงปลูกฝังความเป็นผู้ใหญ่ให้ผม โอเค ถ้าอย่างงั้นผมจะซึมซับไว้ตามที่ต้องการเลย
แค่สุดท้ายอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องฝืนตัวเองอีกแล้วก็พอ
ที่ผมยังคงสามารถเดินตามความฝันที่บ้าคลั่งของตัวเองต่อไปแบบนี้ได้ต้องขอบคุณพวกท่านเช่นกัน ที่ยังคอยซัพพอร์ตผมตลอด
ถึงแม้จะดุร้าย และพูดซ้ำเติมกันตลอด แม้จะไม่เคยชมอะไร แม้จะไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของผม แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกชายตัวเอง แม้จะคาดหวังหรือไม่คาดหวังในตัวของผม ณ ตอนนี้ ผมก็จะยังเคารพพวกท่านในฐานะลูกชายคนนึงของพวกเขาต่อไป
มีแค่เรื่องนี้ที่ผมยอมรับในตัวเอง
และแค่หวังว่าซักวันผมอยากคุยเรื่องนี้กับพวกเขาหลังจากที่ผมจบการศึกษา
ผมจะยอมลำบากในตอนนี้ เหมือนคำพูดที่พวกท่านเคยบอกผม ผมเชื่อว่าคำพูดของพวกท่านจะเป็นจริง ถึงแม้จะถูกคำพูดเหล่านั้นทำร้ายก็ตาม
เพราะคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้คือพวกท่าน ดังนั้นผมจะแสร้งทำเหมือนเดิมเพื่อให้ทุกอย่างมันไม่พังทลายลง นั่นคือตัวตนของผม อย่างที่ควรเป็น จนกว่าหน้ากากที่สร้างผมขึ้นมาเป็นแบบนี้จะพังทลายลง
และผมจะรอวันที่ผมจะไม่ต้องสวมหน้ากากนี้และใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ จนกว่าจะถึงตอนนั้นผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกท่านฟัง
ปล.ปัจจุบันตอนนี้ผมกำลังฝึกงานอยู่ และยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัวเหมือนอย่างเคย ผมไม่ได้เคียดแค้นพวกท่านหรือโกรธที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไง ถึงเรื่องที่ผมเล่าไปทั้งหมดมันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือผมแค่อาจจะเขียนให้มันเหมือนนิยายมากเกินไปหน่อย
แต่สิ่งที่ผมจะสื่อจริงๆก็แค่ เรื่องราวของผมที่ผมอยากจะระบายออกมาในแบบของผมเอง ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของผมจนจบครับ
ผมแค่อยากระบายเรื่องราวชีวิตในแบบของตัวผมเอง
อดีตของผมนั้นได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ตั้งแต่ก่อนสมัยอนุบาลแล้วละครับ โดยมีพ่อและแม่ที่ทำงานในเมือง
หลังจากที่ผมโตได้ราวๆป.5
นานๆทีพ่อจะพาผมเข้าเมืองบ้างเป็นบางที ไม่ปู่ก็จะพาผมเข้าเมือง
คุณปู่เป็นคนที่ใจดีมากครับ ถึงแม้จะดุบ่อยแต่ก็ไม่เคยถึงขั้นที่ทำให้ผมร้องไห้ออกมาเลย ถึงจะโดนตีก้นบ้างก็แค่น้ำตาซึม
ครั้งนึงที่พ่อของผมได้มารับผมเข้าไปในเมือง พ่อก็ถามสารทุกข์สุกดิบไปมา จนวนไปถึงเรื่องการเรียน ตอนนั้นเองที่ผมได้รับรู้ว่าพ่อของผมเป็นคนที่พูดแรงขนาดไหน
ผมไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจรึปล่าว แต่ความคิดของเด็กป.5ที่ไม่ได้เรียนในเมืองอ่ะ มันก็ไม่ได้มีความรู้มากขนาดนั้นถ้าเทียบกับนักเรียนสมัยนั้นที่อยู่ในเมือง
ผมไม่สามารถท่องแม่สูตรคูณได้ทุกแม่ ตอนนั้นที่จำได้ก็ถึงแค่แม่8เอง ผมอาจจะทำให้พ่อผิดหวัง แต่เขาว่าผมจนร้องไห้ออกมาหนักมากๆ เพียงแค่ว่าผมท่องแม่สูตรคูณทุกแม่ไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ผมยังจดจำได้จนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าผมและพ่อแม่ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยขนาดนั้นเพราะผมอาศัยอยู่กับปู่ แต่บางๆทีพวกเขาก็จะโทรติดต่อมาหาผ่านโทรศัพท์ของปู่
ช่วงเวลาประถมศึกษาของผมนั้นมันก็ได้ล่วงเลยไปจนจบ และผมก็จะได้ขึ้นมัธยมซักที นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เลือกตัดสินใจเส้นทางชีวิตตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากที่เคยมีพ่อแม่ปูทางให้
ผมสามารถเลือกที่จะเรียนอยู่นอกเมืองและอาศัยอยู่กับปู่ต่อได้ แต่ว่าผมก็เลือกที่จะทำตามฝันเล็กๆของผม ผมอยากจะเป็นวิศวกรเหมือนกับคุณอาเพื่อนบ้านของผม
ผมจึงได้เลือกที่จะเข้าไปเรียนในเมือง และแน่นอนว่าผมก็จะต้องย้ายไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ผมต้องเผชิญ เด็กคนนึงที่ได้พบกับโลกใบใหม่ สังคมใหม่ๆ พ่อกับแม่ได้พาผมไปสมัครเข้าเรียนมอต้นที่โรงเรียนที่ค่อนข้างดังในจังหวัด
ผมได้เลือกเส้นทางที่ผมใฝ่ฝัน คือการเป็นวิศวกรและได้เข้าเรียนห้องเรียนพิเศษ ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกคิดผิดที่เลือกเรียนในห้องเรียนพิเศษ
และใช่ ผมถูกกดดันและคาดหวังในการเรียนในช่วงมอต้นอย่างมาก แต่ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านหวังดีกับผม และอยากให้ผมก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ
โดยมีคำพูดปลอบใจอยู่ตลอดว่า ‘ยอมเหนื่อยไปก่อนตอนเรียน หลังจากทุกอย่างจบแล้วตอนนั้นแหละที่จะได้มีความสุข’
ผมเข้าใจนะว่าการลำบากในตอนนี้เป็นเรื่องที่ควรทำ และผมก็ยึดคำพูดนั้นเป็นปณิธานในการตั้งใจเรียนมาโดยตลอด
ผมเหนื่อยล้าทั้งร่างกาย และจิตใจ เครียดเหลือเกินจนอยากจะเลิกไปซะตอนนี้ แต่ก็ทำไม่ได้
หลังจากขึ้นมอสอง ผมเริ่มหันกลับมามองตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมรู้สึกเหงาเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา
พ่อกับแม่ของผมก็จริงจังกับเรื่องเล็กๆน้อยๆมากจนผมรู้สึกไม่ดีกับการใช้ชีวิตที่บ้านในแต่ละวัน
แค่การที่ผมจะคุยอะไรสักอย่างกับพ่อหรือแม่ พวกท่านก็จะโยงไปหาเรื่องเรียนให้ได้
ผมแค่อยากพักจากการเรียนมาเล่นเกมบ้างก็จำกัดเวลาเล่นของผม จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าผมใช้เวลากับครอบครัวเลย รู้สึกตัวอีกทีก็ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องคนเดียว เพราะออกมาข้างนอกก็ต้องมาเครียดเพราะพ่อกับแม่ ไหนจะเรื่องเรียน การอ่านหนังสือที่ทำให้ผมท้อแท้
ช่วงเวลาที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวจริงๆจรังๆคงจะมีแค่ตอนกินข้าวนั้นแหละ ที่ยังพอได้คุยกันบ้าง นอกจากนั้นก็แทบจะไม่มีเลย
ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านคงจะเหนื่อยจากการที่ต้องส่งผมให้ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆแบบนี้ และผมเองก็ไม่อยากทรยศสิ่งที่พวกท่านทำเพื่อผมขนาดนี้
แต่สุดท้ายแล้วผมกลับอยู่ตัวคนเดียวในห้องมืดที่มีมือถือเครื่องนึงและตัวผม
ผมรู้ว่าการเปรียบเทียบครอบครัวตัวเองกับครอบครัวอื่นมันเป็นเรื่องที่แย่
แต่ผมสามารถพูดออกมาได้เต็มปากตัวเองว่า ครอบครัวของผมห่างเหินกันมากๆ
มีแค่ผมที่พยายามปรับตัวหาพวกท่าน พยายามฝึกนิสัยตัวเองใหม่ จากที่ผมเคยเป็นคนที่สดใส แต่พอกลับถึงบ้านผมก็จะกลายเป็นเหมือนเด็กคนนึงที่พยายามแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆที่ผมกำลังฝืนตัวเองอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ
แต่พวกท่านกลับไม่เคยปรับตัวเข้าหาผมเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานอดิเรกผมคืออะไร แถมยังมองสิ่งที่ผมชอบว่าไร้สาระ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมคิดอะไรอยู่ แต่ก็พูดออกมาว่าฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไร เพราะ “ฉันเคยผ่านมาก่อน”
ผมเริ่มกลับมาคิดทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ว่าสิ่งผมกำลังทำมาตลอดสองปีนี้ ผมทำเพื่อตัวเองหรือผมกำลังทำเพื่ออะไรอยู่ และใช่..ผมกำลังบังคับตัวเองให้ทำตามความคาดหวังของพ่อแม่อยู่ และผมก็รู้ตัวสักทีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่เส้นทางที่ผมอยากเดินไป
ผมต้องพูดเพราะ และมีหางเสียง เวลาคุยกับพวกท่าน ผมถูกปลูกฝังให้มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมพยายามมาตลอดอย่างโดดเดี่ยวกับสังคมที่บ้านที่หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นแบบนี้
ผมไม่รู้จะขอบคุณพวกท่านหรือเกลียดดี
สิ่งที่คอยเยียวยาผมตลอดมานี้คงจะมีแค่เพื่อนสนิท และการเล่นเกมอย่างบ้าคลั่งเพื่อลืมเรื่องแย่ๆทิ้งไป
มอสาม ผมได้กลายเป็นเด็กที่มีสองด้าน ด้านที่ได้เป็นอิสระจากบ้าน และด้านที่เงียบขรึมเวลาอยู่บ้าน
แต่ก็ใช่ว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านจะมีแต่เรื่องเครียดๆเกิดขึ้นตลอด บางทีเรื่องดีๆที่บ้านก็เกิดขึ้นบ้าง
ผมได้เรียนจนจบชั้นมอ3 เกรดเฉลี่ยของผมนั้นไม่สูงพอที่จะเข้าเรียนห้องเรียนพิเศษต่อได้ แต่ก็สามารถเข้าเรียนห้องเรียนธรรมดาได้
ตอนนั้นที่ผมได้คุยกับเพื่อนสนิทของผม เขาเลือกที่จะย้ายโรงเรียนไปที่อื่น เราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และเขาก็ได้แนะนำวิทยาลัยเทคนิคให้กับผม
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้รับข้อมูลมา ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะไปนั่งคุยกับที่บ้านอย่างจริงจัง ผมรับรู้ได้ถึงความผิดหวังเล็กๆน้อยๆ ที่ผมไม่สามารถเข้าเรียนห้องเรียนพิเศษต่อได้ และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เริ่มค่อยๆเข้าใจพวกท่านมากขึ้น
“ไม่ว่าลูกจะเลือกเรียนอะไร ก็ต้องเรียนไปให้ถึงจุดหมายล่ะ ได้คิดไว้รึยังว่าอนาคตอยากทำงานอะไร”
พวกเขาพูดแบบนี้กับผม ผมรู้สึกโล่งใจมากที่พวกเราสนับสนุนผมต่อไปไม่ว่าเส้นทางที่ผมเลือกมันจะไม่เหมือนเดิม
ผมได้เล่าความฝันของผมให้พวกท่านฟังเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าพวกท่านไม่ได้ปฏิเสธความฝันของผม แต่ก็ช่วยให้ผมมองโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย เพราะมันเป็นความจริงที่ผมหวังสูงไปหน่อย
ความคิดของผมค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด พวกท่านใส่ใจในตัวผมอยู่จริงๆ นี่เป็นความจริงที่ผมรับรู้มาตลอด และมันก็เป็นแบบนั้นมาแต่แรกอยู่แล้ว ผมแค่มองข้ามมันไปเพราะความเหงาและความเครียดกลืนกิน
ข้อผูกมัดที่ทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายได้พังทลายลงหลังจากที่ผมเลิกเรียนห้องเรียนพิเศษ
แต่ความจริงที่ว่าผมและที่บ้านก็ยังคงห่างเหินกัน ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ผมได้เริ่มเรียนชั้นปวช.อย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้สนิทกับที่บ้านเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมาฝืนตัวเองเพื่อทำตามความคาดหวังของพวกท่าน ถึงตอนนี้พวกท่านจะยังคงคาดหวังในตัวผมอยู่ และยังคงปลูกฝังความเป็นผู้ใหญ่ให้ผม โอเค ถ้าอย่างงั้นผมจะซึมซับไว้ตามที่ต้องการเลย
แค่สุดท้ายอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องฝืนตัวเองอีกแล้วก็พอ
ที่ผมยังคงสามารถเดินตามความฝันที่บ้าคลั่งของตัวเองต่อไปแบบนี้ได้ต้องขอบคุณพวกท่านเช่นกัน ที่ยังคอยซัพพอร์ตผมตลอด
ถึงแม้จะดุร้าย และพูดซ้ำเติมกันตลอด แม้จะไม่เคยชมอะไร แม้จะไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของผม แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกชายตัวเอง แม้จะคาดหวังหรือไม่คาดหวังในตัวของผม ณ ตอนนี้ ผมก็จะยังเคารพพวกท่านในฐานะลูกชายคนนึงของพวกเขาต่อไป
มีแค่เรื่องนี้ที่ผมยอมรับในตัวเอง
และแค่หวังว่าซักวันผมอยากคุยเรื่องนี้กับพวกเขาหลังจากที่ผมจบการศึกษา
ผมจะยอมลำบากในตอนนี้ เหมือนคำพูดที่พวกท่านเคยบอกผม ผมเชื่อว่าคำพูดของพวกท่านจะเป็นจริง ถึงแม้จะถูกคำพูดเหล่านั้นทำร้ายก็ตาม
เพราะคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้คือพวกท่าน ดังนั้นผมจะแสร้งทำเหมือนเดิมเพื่อให้ทุกอย่างมันไม่พังทลายลง นั่นคือตัวตนของผม อย่างที่ควรเป็น จนกว่าหน้ากากที่สร้างผมขึ้นมาเป็นแบบนี้จะพังทลายลง
และผมจะรอวันที่ผมจะไม่ต้องสวมหน้ากากนี้และใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ จนกว่าจะถึงตอนนั้นผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกท่านฟัง
ปล.ปัจจุบันตอนนี้ผมกำลังฝึกงานอยู่ และยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัวเหมือนอย่างเคย ผมไม่ได้เคียดแค้นพวกท่านหรือโกรธที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไง ถึงเรื่องที่ผมเล่าไปทั้งหมดมันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือผมแค่อาจจะเขียนให้มันเหมือนนิยายมากเกินไปหน่อย
แต่สิ่งที่ผมจะสื่อจริงๆก็แค่ เรื่องราวของผมที่ผมอยากจะระบายออกมาในแบบของผมเอง ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของผมจนจบครับ