เบาหวานเข้าจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนทางตาที่เกิดจากโรคเบาหวาน
ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
เบาหวานเข้าจอประสาทตา: ภัยเงียบที่ควรรู้
โรคนี้เกิดขึ้นจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตาเสียหาย
ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง
เบาหวานเข้าจอประสาทตาเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในจอประสาทตา ซึ่งอาจเกิดจาก
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน - ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและเกิดการรั่วซึม
ความดันโลหิตสูง - ทำให้หลอดเลือดเปราะบางและเกิดการอักเสบได้ง่าย
ระดับไขมันในเลือดสูง - ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปสู่จอประสาทตาได้ไม่ดี
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ - ส่งผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด
ระยะเวลาของการเป็นเบาหวาน - ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มีโอกาสเกิดโรคนี้สูงขึ้น
อาการของเบาหวานเข้าจอประสาทตา
อาการของโรคนี้ในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาจมีอาการดังต่อไปนี้
มองเห็นภาพพร่ามัว หรือเห็นเงาดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
เห็นภาพบิดเบี้ยวหรือมืดบางส่วน
สูญเสียการมองเห็นในที่มืดหรือมีจุดบอดในการมองเห็น
มองเห็นแสงวาบหรือมีอาการตาพร่าชั่วขณะ
สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลันในบางรายที่มีภาวะเลือดออกในน้ำวุ้นตา
ระยะของโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา
โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่
ระยะไม่รุนแรง (Mild Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดฝอยมีอาการบวมและอาจมีจุดเลือดออกเล็กน้อย
ระยะปานกลาง (Moderate Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดเริ่มมีการอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงจอประสาทตาได้น้อยลง
ระยะรุนแรง (Severe Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น ทำให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ
ระยะรุนแรงมาก (Proliferative Diabetic Retinopathy) – มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ซึ่งเปราะบางและแตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออกในน้ำวุ้นตาและอาจนำไปสู่ภาวะตาบอด

การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง วิธีการตรวจที่ใช้ ได้แก่
การตรวจจอประสาทตาด้วยกล้องถ่ายภาพ – ช่วยบันทึกภาพจอประสาทตาเพื่อดูความผิดปกติ
การตรวจด้วยสารเรืองแสง – ใช้สารเรืองแสงฉีดเข้าทางหลอดเลือดเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตา
การตรวจจอประสาทตาด้วยคลื่นแสง – ใช้เพื่อตรวจดูความหนาของจอประสาทตาและภาวะบวมน้ำที่จุดรับภาพ
วิธีการรักษา
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงค่าปกติจะช่วยลดโอกาสเกิดโรค
การฉีดยาเข้าในลูกตา – เช่น ยากลุ่ม Anti-VEGF เพื่อลดการเจริญเติบโตของหลอดเลือดผิดปกติ
การใช้เลเซอร์รักษา – เพื่อปิดหลอดเลือดที่รั่วและลดอาการบวมของจุดรับภาพ
การผ่าตัดวุ้นตา – ในกรณีที่มีเลือดออกในน้ำวุ้นตาหรือจอประสาทตาลอก
การป้องกัน
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี – โดยรับประทานอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกาย
ตรวจตาเป็นประจำ – ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ – เพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดเสื่อม
ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด – ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค

เบาหวานเข้าจอประสาทตาเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคเบาหวาน
ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
การตรวจคัดกรองเป็นประจำและการควบคุมโรคเบาหวานอย่างเคร่งครัดเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคนี้
ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพดวงตาของตนเองเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นคะ
ความรุ้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=yl4wPFI_YAE
https://www.youtube.com/watch?v=qFYahdRUae4
#โรงพยาบาลธนบุรี



เบาหวานเข้าจอประสาทตา ภัยเงียบที่ควรรู้
ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
โรคนี้เกิดขึ้นจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตาเสียหาย
ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง
เบาหวานเข้าจอประสาทตาเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในจอประสาทตา ซึ่งอาจเกิดจาก
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน - ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและเกิดการรั่วซึม
ความดันโลหิตสูง - ทำให้หลอดเลือดเปราะบางและเกิดการอักเสบได้ง่าย
ระดับไขมันในเลือดสูง - ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปสู่จอประสาทตาได้ไม่ดี
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ - ส่งผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด
ระยะเวลาของการเป็นเบาหวาน - ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มีโอกาสเกิดโรคนี้สูงขึ้น
อาการของโรคนี้ในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาจมีอาการดังต่อไปนี้
มองเห็นภาพพร่ามัว หรือเห็นเงาดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
เห็นภาพบิดเบี้ยวหรือมืดบางส่วน
สูญเสียการมองเห็นในที่มืดหรือมีจุดบอดในการมองเห็น
มองเห็นแสงวาบหรือมีอาการตาพร่าชั่วขณะ
สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลันในบางรายที่มีภาวะเลือดออกในน้ำวุ้นตา
โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่
ระยะไม่รุนแรง (Mild Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดฝอยมีอาการบวมและอาจมีจุดเลือดออกเล็กน้อย
ระยะปานกลาง (Moderate Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดเริ่มมีการอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงจอประสาทตาได้น้อยลง
ระยะรุนแรง (Severe Nonproliferative Retinopathy) – หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น ทำให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ
ระยะรุนแรงมาก (Proliferative Diabetic Retinopathy) – มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ซึ่งเปราะบางและแตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออกในน้ำวุ้นตาและอาจนำไปสู่ภาวะตาบอด
การตรวจจอประสาทตาด้วยกล้องถ่ายภาพ – ช่วยบันทึกภาพจอประสาทตาเพื่อดูความผิดปกติ
การตรวจด้วยสารเรืองแสง – ใช้สารเรืองแสงฉีดเข้าทางหลอดเลือดเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตา
การตรวจจอประสาทตาด้วยคลื่นแสง – ใช้เพื่อตรวจดูความหนาของจอประสาทตาและภาวะบวมน้ำที่จุดรับภาพ
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงค่าปกติจะช่วยลดโอกาสเกิดโรค
การฉีดยาเข้าในลูกตา – เช่น ยากลุ่ม Anti-VEGF เพื่อลดการเจริญเติบโตของหลอดเลือดผิดปกติ
การใช้เลเซอร์รักษา – เพื่อปิดหลอดเลือดที่รั่วและลดอาการบวมของจุดรับภาพ
การผ่าตัดวุ้นตา – ในกรณีที่มีเลือดออกในน้ำวุ้นตาหรือจอประสาทตาลอก
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี – โดยรับประทานอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกาย
ตรวจตาเป็นประจำ – ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ – เพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดเสื่อม
ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด – ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค
ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
การตรวจคัดกรองเป็นประจำและการควบคุมโรคเบาหวานอย่างเคร่งครัดเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคนี้
ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพดวงตาของตนเองเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นคะ
ความรุ้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=yl4wPFI_YAE
https://www.youtube.com/watch?v=qFYahdRUae4
#โรงพยาบาลธนบุรี