“ตำกระเทย สาเกต” จากร้านส้มตำริมทาง ในร้อยเอ็ด สู่ธุรกิจรายได้ปีละ 300 ล้าน /โดย ลงทุนแมน

https://www.facebook.com/share/p/16A5s43BMk/


ร้านอาหารรายได้หลักร้อยล้านบาทส่วนใหญ่ มักมีจุดเริ่มต้นจากเมืองใหญ่ แล้วค่อยขยายไปยังจังหวัดอื่น

แต่ “ตำกระเทย สาเกต” มีจุดเริ่มต้นจากจังหวัดร้อยเอ็ด ขยายไปจนทั่วภาคอีสาน แล้วค่อยมาเปิดที่กรุงเทพฯ

โดยในปีที่ผ่านมา ร้านอาหารในเครือ ตำกระเทย
ทำเงินได้ถึง 300 ล้านบาท

เรื่องราวของตำกระเทย สาเกต เป็นมาอย่างไร ?
จุดเด่นของร้านอาหารร้านนี้ คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

จุดเริ่มต้นของร้าน “ตำกระเทย สาเกต” เกิดขึ้นในปี 2557
โดยคุณเก่ง จิรเดช เนตรวงค์ ที่เคยทำงานมาหลายอย่าง

ด้วยอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ คุณเก่งมีความคิดอยากทำธุรกิจของตัวเอง เลยนึกถึง ส้มตำ เพราะเป็นอาหารที่คุณเก่งชอบ 

แม้จะตำส้มตำไม่เป็น แต่คุณเก่งเชื่อในเซนส์การชิมของตัวเอง โดยคุณเก่งตั้งความฝันไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดร้านว่า จะทำให้มีร้านส้มตำของตัวเองในทุกจังหวัดทั่วไทย..

สิ่งแรกที่คุณเก่งทำเพื่อเริ่มต้นธุรกิจคือ ตระเวนชิมน้ำปลาร้าทุกที่ทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วเอามาปรับกับสูตรน้ำปลาร้าของคุณแม่ จนได้สูตรน้ำปลาร้าสูตรเฉพาะของตัวเองขึ้นมา

แม้จะได้สูตรน้ำปลาร้าที่ถูกใจ แต่สิ่งที่ยังไม่มีคือ ทำเลเปิดร้าน กับคนตำส้มตำ..

ช่วงกำลังหาพื้นที่เช่าเพื่อเปิดร้านส้มตำริมทาง คุณเก่งได้เจอกับน้องคนหนึ่งที่เป็น LGBTQ ชื่อว่า คุณฟลอร่า ที่พอได้คุย คุณเก่งก็หายเครียดและยิ้มได้

เลยชวนมาตำส้มตำ ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน 
และคุณฟลอร่านี่เองที่เป็นที่มาของชื่อร้าน ตำกระเทย

เพราะทั้งสั้น จำง่าย และอยากให้เป็นพื้นที่ของโอกาสสำหรับทุกเพศให้ได้มีอาชีพ

ส่วนสาเกต คำสร้อยต่อท้าย มาจาก สาเกตนคร ชื่อเดิมของจังหวัดร้อยเอ็ด  

อย่างที่รู้กันว่า ส้มตำ เป็นสิ่งที่หาทานได้ง่าย เดินไปที่ไหนก็เจอร้านส้มตำเต็มไปหมด 

การจะอยู่รอดและเอาชนะคู่แข่งได้ ก็ต้องทำให้ร้านตำกระเทย แตกต่างจากร้านอื่น

ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับคุณเก่ง คือ ร้านส้มตำที่สะอาด
และการตกแต่งร้านที่ให้บรรยากาศแบบอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมือนอยู่บ้าน 

ส่วนรสชาติ คุณเก่งเลือกที่ถูกปากของตัวเองเป็นหลัก
แต่ก็มีตัวเลือก 2 รสชาติให้ลูกค้า คือ รสเค็มเผ็ดที่คนอีสานชอบ กับรสเปรี้ยวหวาน ที่คนภาคกลางชอบ

และนอกจากส้มตำแล้ว ก็ยังมีเมนูอาหารอื่นอีกกว่า 60 รายการ ครบทุกประเภท คือมาที่เดียวครบ พร้อมกับการจัดระบบครัวให้อาหารที่ร้านเสิร์ฟได้เร็ว ไม่ให้ลูกค้ารอนาน

ส่วนในมุมของการจัดการ คุณเก่งมีการทำงบการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจในอดีตว่า ถ้าไม่วางแผนการเงิน หามาเท่าไร ก็ใช้หมด เลยรอบคอบมากขึ้น

รวมถึงการเทรนพนักงานให้บริการด้วยมาตรฐานเดียวกัน และการดูแลพนักงานเหมือนครอบครัว ทำให้พนักงานอยู่ที่ร้านนาน อย่างเช่นคุณฟลอร่า ก็ยังทำงานที่ร้านตำกระเทย มาจนถึงทุกวันนี้

แม้ในช่วงแรกขายได้ไม่ดีนัก แต่พอเวลาผ่านไป คนที่มาทานเริ่มบอกต่อ โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย จนเริ่มเป็นที่รู้จัก จากนั้นก็ตามมาด้วยการขยายสาขาอื่นทั่วภาคอีสาน 

ซึ่งนอกจากร้านอาหารแล้ว ยังมีน้ำปลาร้าเจ้เทย ขายแยกด้วย โดยเป็นสูตรเดียวกับหน้าร้านตำกระเทย

และในปี 2566 ตำกระเทย สาเกต ก็ได้บุกเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งสาขาแรกตั้งอยู่ที่ Silom Edge

ที่น่าสนใจคือ เป็นการเปิดร้านตำกระเทย คู่กับร้านบุฟเฟต์
ชื่อว่า อิเจ้ แจ่วฮ้อน แอนด์ ชาบู ซึ่งเป็นอีกแบรนด์ในเครือ และใช้โมเดลเดียวกันนี้กับสาขาอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้ง One Bangkok และ ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

โดยร้านอิเจ้ แจ่วฮ้อน ได้ไอเดียจากร้านตำกระเทย ที่ลูกค้าชอบถามถึงเมนูต้ม เลยเกิดเป็นร้านบุฟเฟต์ แจ่วฮ้อน ที่มีเมนูอาหารอื่น ๆ ของร้านตำกระเทยด้วย

และเมื่อปลายปี 2567 ก็ได้เปิดร้านหมูกระทะ บุฟเฟต์
ที่ชื่อว่า หมูกระเทย ที่สยามสแควร์ วัน อีกด้วย

ปัจจุบันสาขาของร้านในเครือตำกระเทย ได้แก่
- ตำกระเทย 14 สาขาในไทย (เกือบทุกสาขาอยู่ในภาคอีสาน) และ 1 สาขาในกัมพูชา
- อิเจ้ แจ่วฮ้อน แอนด์ ชาบู 3 สาขา
- หมูกระเทย 1 สาขา

และนี่คือ ผลประกอบการของ บริษัท ตำกระเทย เรสเทอรองต์ พลัส จำกัด ในช่วงที่ผ่านมา

ปี 2565 รายได้ 255 ล้านบาท กำไร 16.3 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 300 ล้านบาท กำไร 27.4 ล้านบาท

ซึ่งคุณเก่งตั้งเป้าหมายว่า จะขยายสาขาในกรุงเทพฯ ให้ได้ถึง 15 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี 

จากจุดเริ่มต้นความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคุณเก่ง ตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดที่อยากมีร้านส้มตำของตัวเองทุกจังหวัดในไทย

ถึงแม้วันนี้จะยังมีไม่ทั่วไทย แต่ก็ได้เห็นร้านตำกระเทย สาเกต 
มีอยู่ทั่วภาคอีสาน และขยายมาเยือนกรุงเทพฯ

และทำให้ ตำกระเทย สาเกต จากร้านส้มตำริมทาง ในจังหวัดร้อยเอ็ด 
กลายเป็นแบรนด์ร้านอาหาร ที่ทำเงินปีละ 300 ล้านบาท ภายในเวลาเพียงแค่ 9 ปี.. 

https://www.facebook.com/share/p/16A5s43BMk/