เรื่อง ยายคำหอม

สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก อายุสัก 11 12 ขวบ
ยุคนั้นมีครอบครัวละแวกบ้านหลายครอบครัว ที่มีคนในบ้านเป็นทหาร
จะถูกส่งตัวไปรบที่สงครามเกาหลี
หนึ่งในนั้นมีครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นเรียนผมคนหนึ่ง ที่พ่อของเขาเป็นทหาร
และได้ไปรบที่นั่นด้วย
ผมได้มีโอกาศเจอหน้าพ่อของเพื่อน อยู่ครั้งหนึ่ง
ตอนที่ไปบ้านเพื่อน ช่วงที่ผมเรียนอยู่ ป.5 

แต่พอไปเล่นบ้านเพื่อนอีกที ตอนอยู่ ป.6
ก็เห็นพ่อของเพื่อน เป็นโกศใส่อัฐิเล็กๆ ตั้งอยู่บนหิ้งพระเสียแล้ว
เพื่อนบอกว่า "พ่อ ไปรบแล้วเสียชีวิต"

และก็มีครอบครัวหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ในยุคนั้น
แต่ผมไม่รู้เรื่องของเขาหรอกครับ เพราะยังเป็นเด็ก 
โตมา ถึงได้ฟังเรื่องนี้ จากคำบอกเล่าของน้าๆ ในเครือญาติ

คือ มีครอบครัวหนึ่ง
ผมขอเรียกว่า ครอบครัวของยายคำหอมแล้วกันนะครับ
สมัยนั้นยายคำหอมก็อายุมากแล้วน่าจะสัก50ได้
แกมีลูก ผู้หญิง 2และลูกชายอีก1  
สามีเป็นทหาร อายุน้อยกว่ายายคำหอมถึง10ปี
ครอบครัวยายคำหอมอาศัยอยู่กับแม่ของแกที่ ชรามากแล้ว

ยายคำหอมตอนสาวๆแกเคยมีสามีมาก่อน3คน 
แต่ละคนก็ เสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั้งนั้น
ทำให้แก่มีลูกติดมา1คน ก่อนจะมาได้กับสามีคนที่4ที่เป็นทหาร

ตอนนั้น ที่ได้กับทหารคนนี้ใหม่ๆ 
ชาวบ้าน ต่างก็ลือกันไปทั่ว ว่ายายคำหอม แกเป็นคนกินผัว
ดูท่า สามีทหารคนนี้ น่าจะอยู่กับแกไม่นาน
แต่ก็อยู่กันมาเนิ่นนาน จนมีลูกด้วยกันสองคน 
ข่าวลือที่ว่า แกเป็นคนกินผัว ก็ซาๆไปบ้าง

กระทั่งสามีแกไปรบที่เกาหลี นี่แหละ
แล้วสามีก็เสียชีวิตลงจากการไปรบ
เรื่องยายคำหอมกินผัวก็กลับมาลือกันอีก
ทำให้หนุ่มๆ จะเป็นหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ พ่อหม้าย ทั้งหลาย
ต่างไม่กล้าคุยกับยายคำหอมกันเลยทีเดียว

หนักเข้าหนักเข้า ก็ลือไปถึงขั้นที่ว่า บ้านแก เป็นปอบหมดทั้งบ้าน
ว่ากันว่า วันที่แม่ของยายคำหอมเสีย
แม้แต่งานศพ
พวกผู้ชาย ก็ยังไม่มีใครกล้าไปงานศพแม่ของยายคำหอมเลย
มีแค่คนรู้จักกับญาติยายคำหอม ไม่กี่คน ที่มาช่วยงาน

จากนั้น ดูเหมือนมรสุมชีวิตของยายคำหอมก็เริ่มหนักขึ้น
ลูกสาวคนโตที่แกพอจะหวังพึ่งพาได้ ก็มาผูกคอตายไปอีกคน
ชีวิตแกก็เริ่มลุ่มๆดอนๆ 
ลูกสาวอีกคน พอโตมาก็หนีตามผู้ชายไป
ส่วนลูกชาย ก็กลายเป็นบ้า เป็นคนเร่ร่อน นอนข้างถนน
แล้วก็ไม่มีใคร ใส่ใจที่จะรับรู้ชะตากรรมของแกอีกเลย

จนกระทั่ง มีโรคห่าเกิดขึ้นในหมู่บ้าน
คือ ตอนนั้น เป็ด ไก่ ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้
พากันล้มตายเป็นอันมาก
ไม่นานก็มีข่าวลือว่า
เจอยายคำหอม นั่งกินไก่เป็นๆ เลือดเต็มปากอยู่ในป่า
คราวนี้ทำให้คน ยิ่งกลัวยายคำหอมหนักขึ้น
ไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้น
ทั้งลูกเด็ก เล็กแดง ชาวบ้านทั่วไป
ต่างไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ยายคำหอมเลย
แล้วก็เริ่มมีเด็กเสียชีวิตในหมู่บ้าน
ข่าวยายคำหอมยิ่งถูกกระพือไปใหญ่ ว่า ให้ระวังปอบยายคำหอม
พอเริ่มมีคนทยอยเสียชีวิตต่อเนื่อง แบบ ศาลาวัดไม่ว่างเว้นจากงานศพเลย
คนก็เริ่มจับกลุ่มกันต่อต้าน รวมตัวกันไปบ้านยายคำหอม
บางคนก็เอาไม้ เอาโคลน ไปปาใส่บ้านยายคำหอม
บางคนก็พากันไปยืนด่าแก สาปแช่งแก
จนบ้านหลังนั้น  กลายเป็นบ้านร้างไม่มีใครอยู่
แล้วยายคำหอมแกก็หายตัวไปตั้งแต่ช่วงนั้น

เวลาผ่านไป จนผมอายุย่างเข้า18ปี 
เรื่องยายคำหอมในเด็กยุคผม  ไม่มีใครรู้เรื่องแล้ว
วันหนึ่ง
เพื่อนผมมันได้กล้องถ่ายรูปมาใหม่
เลยมาชวนผมไปถ่ายรูปด้วยกัน
วันนั้น มีไปด้วยกัน 5คน 
มีผม กับเพื่อนผู้ชายที่มีกล้อง แล้วก็เพื่อนผู้หญิงสามคน
เราก็ปั่นจักรยานกันไป คนละคัน
หาสถานที่ถ่ายรูป ตามโรงเรียนบ้าง
บ้านเพื่อนบ้าง
ทุ่งนาบ้าง

ช่วงเย็นๆ
ตอนนั้นปั่นไปนาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
ไปถึงตอนพระอาทิตย์กำลังตกดิน
พอถ่ายรูปเสร็จ มันก็เริ่มจะมืดแล้ว
ก็เลยพากันกลับ
ตอนขากลับ
เพื่อนผู้หญิงที่เป็นเจ้าของนา ก็ถามพวกเราว่า
"ไปทางลัดกันไหม"
มันเป็นทางลัด ที่คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่
ผมกับเพื่อนก็บอกว่า "ไปสิ เผื่อมีอะไรน่าสนใจให้ถ่ายรูป"
แล้วเพื่อนผู้หญิงคนนั้น ก็พาเราปั่นจักรยานไปทางลัด
เข้าไปในวัดป่า
พอเข้าเขตวัดป่า เท่านั้นแหละ
เสียงจั๊กจั่น ร้องดังระงมไปหมด
ปั่นไปตามทาง ถนนลูกรังแบบหินศิราแรง เป็นหินเล็กๆแดงๆอะครับ
มองไปรอบๆ บรรยากาศวังเวงมาก
ต้นไม้ในวัดสองข้างทางแต่ละต้น 5คนโอบ 10คนโอบก็มี
ต้นสูงใหญ่จนต้องแหงนมองคอตั้งเลย
ยิ่งปั่นเข้าไปในวัด ต้นไม้ยิ่งหนาตา
แสงรอบๆข้างนี่ เริ่มสลัวลง อย่างเห็นได้ชัด
จนเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า 
"เรากลับทางเดิมกันดีกว่า  เราว่ามันวังเวงไปอะ"
แต่เราสองคนที่เป็นผู้ชาย รีบแย้งไปทันที
"เฮ้ย ไหนๆก็มาแล้ว อยู่กันตั้งหลายคนกลัวอะไร"
เพื่อนคนนั้นก็ไม่ว่าอะไร ก็ปั่นจักรยานตามกันไปเงียบๆ
เข้าไปลึก เกือบ 300 เมตร ก็เจอ ศาลาวัด เจอโบสถ์
เพื่อนผู้หญิงเจ้าของนา ก็พากันปั่นต่อ จนพากันไปออกประตูวัดอีกด้าน
แล้วเพื่อนก็พาเข้าไปในซอยแคบๆ
มันไม่ใช่ทางเดินนะครับ
มันเป็นเหมือน คันแทนา กว้างประมาณ 70 80 เซ็นต์ 
คือรถมอไซค์ รถใหญ่ผ่านไม่ได้ ต้องเดิน หรือปั่นจักรยานเท่านั้น
เพื่อนมันก็พาปั่นจักรยานลัดเข้าทางนี้
สองข้างทางเป็นป่า กก เปลี่ยวๆ 
มาคนเดียวนี่ ไม่กล้ามาแน่
ผมปั่นจักรยานอยู่ท้ายสุด เพื่อระวังหลัง
รู้สึกขนลุกวูบวาบ วูบวาบ ตลอดทางที่เริ่มเข้ามาทางนี้
พอปั่นมาได้สัก ร้อยเมตร 
ก็เห็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง หยุดรถ
ผมก็เข้าไปดูใกล้ๆ
"หยุดทำไม "
พรางมองไปข้างหน้า
เห็นเพื่อนผู้หญิงสองคน ปั่นจักรยานทิ้งห่างไปไกลแล้ว

โซ่ตก
เพื่อนผู้หญิงคนนั้นบอก 

ผมมองไปที่โซ่รถของเพื่อน แล้วก็บอกเพื่อนผู้ชายที่มีกล้อง
ให้ตระโกนเรียกเพื่อนสองคนนั้น ให้รอก่อน

สองคนนั้น หันมามอง แล้วก็หยุดรอ
ห่างจากพวกผมประมาณ ยี่สิบ สามสิบ เมตร ได้

ผมรีบนั่งยองๆลง เอามือไปดึงโซ่มาใส่
งมๆอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ให้เพื่อน ยกล้อหลัง แล้วปั่นให้โซ่มันเข้าร่อง
แต่มันก็ไม่ได้ครับ
คราววนี้ ก็เลยให้เพื่อนเอาจักรยานนอนลง
แล้วก็ลองใส่โซ่อีกที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่