สวัสดีเรามีเรื่องจะมาเล่าให้ฟังเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเราตอนเราอายุ 17 ตอนนี้ เกิดขึ้นเมื่อประ 2-3 ปีที่แล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า เราต้องไปอยู่ต่างจังหวัดกับพ่อ (จะขอแทนคนๆนี้ว่า ' เขา ' ละกันนะ ) คือเขาอ่ะจะกลับไปสร้างบ้านที่บ้านเกิด ที่จังหวัด สระแก้ว แบบว่าเขามีที่ดินละอยากสร้างบ้านอยู่ที่นั่น เขาเลยบอกให้เราไปช่วยเขาหน่อย เราไปอยู่ที่นู่นประมาณ 1 เดือน ตอนแรกที่เราไปเขาให้เราไปนอนพักที่บ้านของน้าก่อน เพราะบ้านยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเขาก็จะให้เงินน้าค่าใช้จ่ายอ่ะ เพราะไม่อยากอยู่ฟรี ซึ้งบ้านที่จะทำอ่ะมันอยู่ไกลจากแหล่งชุมชนมากๆ คือ ทางไปบ้านอ่ะมันอยู่ในที่เปลี่ยวเลยอ่ะ รอบๆมีแต่ไร้มันสัมปะหลังอ่ะ ไฟฟ้ากับน้ำก็เข้าไม่ถึง พอเราไปเห็นที่เขาจะเริ่มสร้างบ้านอ่ะ ที่ดินใหญ่พอสมควรเลย วิวที่เห็นก็คือ มีที่โลงๆ จะบอกก่อนว่าตอนนั้นเขาก็ซื้อวัวมาเลี้ยงด้วย ก็จะทำบ้านกะทำคอกวัวไปด้วย (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่รอทำคอกให้เสร็จก่อนค่อยเอามาเลี้ยง นี่ต้องทำบ้านไปด้วยคอยดูวัวไปด้วย ) วิวที่เห็นอ่ะมีที่ดินโล่งๆ ข้างหลังจากที่ดินจะมีต้นไม้กับภูเขา สวยมากจริงๆ คือเราก็ทำบ้านตามงบที่มีอ่ะแหละ เราก็ช่วยเขาทำนู่นทำนี่ไป พอทำเสร็จตกเย็นก็จะกลับไปนอนที่บ้านของน้า แต่เขาไม่ได้ไปนอนด้วยนะ เขานอนเฝ้าวัวอยู่ที่นา ตัดมาตอนที่บ้านเสร็จ คือเสร็จในที่นี้หมายถึง เสาบ้าน + หลังคา แค่นี้จริงๆ 5555 ก็ทำตามงบที่มี เดี๋ยวลายละเอียดเดี๋ยวเขาค่อยเติมแต่งเอา พอบ้านเสร็จใช่มะ เขาก็ให้เรามานอนที่บ้านเลย เพราะไม่อยากรบกวนน้าแล้ว เราก็ตกลงแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ เพราะที่นอนอ่ะ มันจะเป็นแคร่ใหญ่ สูงประมาณเอวของผู้ใหญ่หน่อยนึง และมีสองทางเลือก 1.เราหันหน้านอนไปที่ทุ่งนาและหันหลังให้รถ ( คือมันมันกว้างมากจนเอารถเข้ามาจอดได้เลยนะ ) 2 . เราหันหลังให้ทุ่งนาและหันหน้าไปทางหน้ารถ คือมันเป็นบ้านโล่งๆอ่ะ มีแค่แคร่ กับรถอ่ะ คิดว่าเราหันหน้าไปทางไหนอ่ะ 5555 หันหน้าไปทางทุ่งนาดิ เพราะถ้าหันหลังให้มันจะเสียวสันหลังมากจริงๆ จำวิวที่เราเคยบอกได้มั้ยที่มีทุ่งนาและภูเขานั่นแหละ ตอนกลางวันน่ะมันไม่เป็นไรหรอกแต่พอกลางคืนนี่สิ น่ากลัวมากกกก ประมาณ 6 โมงเย็นเราก็เตรียมอาบน้ำกินข้าว แล้วเราก็จะไปนั่งที่กระต๊อบของป้า ( กระต๊อบของป้าที่เป็นที่เดียวที่ไฟเปิดตลอดแล้วก็มีสายไฟให้ชาตแบต )
*อธิบายเพิ่มเติมนะ บ้านเราอยู่ตรงกลางระหว่างกระต๊อบป้ากับคอกวัว _ถ้าหันหน้าไปทางทุ่งนา กระต๊อบจะอยู่ทางซ้ายและคอกวัวจะอยู่ทางขวา
เรานั่งเล่นอยู่กระต๊อบตั้งแต่ 6 โมงยัน 3 ทุ่ม เราอ่ะใส่หูฟังไปด้วยพร้อมกับชาตแบตไว้เพราะคิดว่ายังไงก็นอนไม่หลับแน่ๆ เราเปิดไรดูไปเลื่อยแต่ไม่ได้เปิดดังมากนะ ยังพอได้ยินเสียงนอกหูฟังอยู่ เสียงข้างนอกที่เราได้ยินอ่ะ มันมีเสียงกุกกักๆ เหมือนใครทำอะไรสักอย่าง แล้วก็เสียงคนเดินไปเดินมา มันอยู่รอบๆความมืดนั่นแหละ เราพยายามมองไปทุกทางแล้วแต่ก็ไม่มีอะไร เราก็มองในแง่ดีว่า อาจจะเป็นไก่เป็นหมาของป้าล่ะมั้ง นี่คือมองในแง่ดีสุดแล้วนะ พอแบตเราเต็มเราก็เตรียมตัวเดินไปนอนที่แคร่ในบ้าน เราเดินออกมาละเห็นว่า พระจันทร์เต็มดวงสว่างมาก สว่างชนิดที่ว่า เห็นทางเดินเลย เราก็โลงใจเลยว่าพระจันทร์สว่างขนาดนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว พอช่วงประมาณ เที่ยงคืนพระจันทร์ที่มันสว่างมันก็ค่อยหายไป เหลือแต่ความมืดแล้ว เราก็ไม่ได้คิดไรหรอกตอนนั้น เรานอนหันหน้าไปทางทุ่งนาเพราะข้างหลังมีรถอยู่ จริงๆก็มีแบบพลิกไปมาบ้าง พอตอนตี 1 เรามองเห็นแสงไฟซึ่งมันเหมือนกับไฟฉายมากๆ สีออกส้มเหลืองอ่ะ มันอยู่ตรงบริเวณที่ป้าเขาทำฟืนอ่ะ เรานึกว่าป้าเขาอาจจะมาดูฝืนมั้งก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็หันมาโฟกัสโทรศัพท์ต่อนะ แต่หางตาเราอ่ะ มันก็ยังมองไฟนั่นอยู่ และไฟนั่นอ่ะ มันก็ค่อยๆ ลอยมาตรงทางเดินของทุ่งนาที่เขาทำไว้ ไฟนี่มันลอยไม่สูงมากละก็ไม่ต่ำมากนะ เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ พอสักพักนึง แสงไฟมันหายไปพักใหญ่เลย แต่จู่ๆมันก็โผล่ไปทางนู่นที ทางนี้ที มันไม่แว๊บเหมือนกะสือนะ คือมันโผล่จากจุดนึงไปอีกจุดนึงแบบไกลๆ แสงไฟนั้นมีขนาดเท่ากับลูกตะกร้ออ่ะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ เราคลาดสายตาไปแปปนึงมันก็ไปโผล่ ที่ริมสุดของทางเดินซึ่งมันอยู่ใกล้ๆกับต้นไม้เยอะๆ เราคิดเล่นๆว่า มันอาจจะเป็นพญาหิ่งห้อยก็ได้มั้ง คือตอนนั้นในหัวไม่คิดเรื่องผีเลยจริงๆอ่ะ ถ้าเป็นกระสือมันก็ไม่น่าใช่เพราะที่เราดูมากระสือมันต้องมีไฟกระพริบสีแดงอ่ะ แต่นี่มันสีส้มเหลือง และแสงไฟนั่นมันก็ลอยลงไประดับเดียวกับทุ่งหญ้าแล้วก็ลอยขึ้นมาใหม่ เป็นแบบนี้สักพักแล้วก็หายไป พอมาตี 2 หมาที่ป้าเลี้ยงไว้มันก็หอน ละคือเสียงหมาหอนมันก็มาหอนตรงที่เรานอนด้วย เราก็แบบเริ่มกลัวแล้วอ่ะ เราก็เลยพลิกหันไปทางรถแล้วพอพลิกไปมันรู้สึกเสียวหลังมาก เหมือนมีอะไรกำลังเดินมา เราเลยหันหน้าไปทางทุ่งนาเหมือนเดิม ละพอทีนี้ไอแสงไฟที่มันหายไปตอนนี้มันโผล่มาแล้ว แต่คราวนี้มันโผล่มาทางเดิน ทางขวา แล้วเราก็เห็นว่าไอไฟนั่นน่ะ สว่างเหมือนคนส่องทางอ่ะ อารมณ์เหมือนเปิดไฟฉายแล้วส่องทางเดินอ่ะ เราก็เลยคิดว่า นั่นน่ะคนจริงๆนี่หว่า เราก็แบบโล่งใจอ่ะ โล่งมากๆ ที่แบบ มีคนอยู่ด้วยค่อยอุ่นใจหน่อย และคิดว่าเป็นญาติของป้าออกมาเดินหากบหาเขียด ก็เลยปล่อย จนไอไฟเนี่ยมันหยุดอยู่กับที่ มันนิ่งไปพักนึงเลยและอยู่ๆมัน ก็พุ่งลงหายไปทุ่งนาอีกทางนึงเลย และแสงไฟมันก็หายไป เราก็แบบไม่ใช่และ ถ้าเป็นคนทำไมไม่เดินตามทางล่ะ จริงๆตอนนั้นก็เริ่มหวั่นๆละ พอมาตอนตี 3 เราคิดว่าอีกสองชั่วโมงมันก็เช้าแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วแหละ เราใสหูฟังข้างเดียวแล้วก็หาดูไรไปเลื่อย เราได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางข้างหลังเรา คือเวลาผู้ใหญ่เดินแล้วรองเท้ามันกระทบกับดิน มันจะได้ยินเสียงชัด เราคิดว่าเป็นเขาแต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้หันไปนะ เราแค่คิดว่าโดนดุแน่เลยที่ยังไม่หลับไม่นอนเวลานี้ เราเลยลดเสียงโทรศัพท์เพื่อที่จะได้ยินเสียงข้างนอก เสียงเท้านั่นน่ะมันมาหยุดอยู่ตรงปายเท้าข้างหลังเรา เราคลุมโปงอยู่นะตอนนั้น แล้วเราก็แบบว่าเตรียมโดนดุแล้วอ่ะ แต่ผ่านไปก็ยังไม่มีเสียงอะไรเลย เราคิดว่าเอาไงดีถ้าหันไปเจอก็คือเจอเลยนะ เราคิดว่าไม่น่าใช่เขาแล้วล่ะ ก็เลยพลิกตัวหันไปมองข้างหลังช้าๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด เราก็คิดว่าหูฝาด เลยหันไปทางทุ่งนา และพอเราหันไปอ่ะ ไอแสงไฟนั่นมันก็รีบขึ้นมาตรงทางเดินจากที่มันพุ่งลงไปอ่ะ แล้วมันก็ค่อยๆลอยมากตามทางเดิน คือมันกำลังจะลอยมาทางเราไง เราลุกขึ้นนั่งแล้วมองมันสักพัก ก็รู้แล้วว่ามันกำลังมาทางเรา เราเริ่มสติแตกแล้วก็เริ่มกลัวแล้ว เราเลยเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์เราอ่ะ สองไปทางที่แสงไฟมันกำลังมา แล้วแสงนั่นมันก็เหมือนเห็น แล้วมันก็พุ่งกลับไปทางเดิมเลย ตอนนั้นเรากลัวมากเลย จะเดินไปนอนกับเขา เราเปิดไฟฉายส่องไปดูที่ข้างหลัง เรานึกว่าเขานอนข้างหลัง แต่พอไปดูไม่เห็นใครเลยไปส่องไฟข้างหน้าข้างคนนั่ง เราส่องไปแล้วก็ไม่เห็นใคร พยายามเปิดประตูรถแล้วแต่เหมือนมันล๊อคไว้ ตอนนั้นตัดสินใจเดินไปนั่งอยู่ที่กระต๊อบป้า มันเวลาจะตี 4 แล้วอ่ะ เรานั่งอยู่ตรงกระต๊อบสักพักนึงแล้วคือ และแสงสว่างอ่ะมันไม่ได้ทั่วถึงขนาดนั้น พอมองออกไปก็มีแต่ความมืดแล้วอ่ะ ระหว่างนั้นอ่ะ เราได้ยินเสียงคนเดินรอบกระต๊อบเลย เรากวาดสายตามองรอบๆแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเลยนอกจากเรา เรานั่งอยู่อย่างนั้นจนประมาณจะตี 5 แล้วอีกนิดเดียวมันก็จะเช้าแล้ว เราเลยวิ่งกลับไปนอนที่แคร่นั้น เราทนความง่วงไม่ไหวเลยหลับไปเลย จนถึง 7 โมงเช้า ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองอ่ะ
= เริ่มความพีกของทั้งคืนที่เราเจอ เราเอาเรื่องที่เราเจอไปเล่ากับป้าฟังแล้ว
1. แสงไฟที่เจออยู่ตรงที่ทำฟืน ไม่ใช่แสงไฟฉายของป้าแต่มันคือแสงไฟของ ผีโพลง
2. ฝนไม่ตกมาหลายอาทิตย์ ไม่มีใครเดินหากบหาเขียดแถวนั้น เพราะดินมันแห้งหมดแล้ว และมันช่วงเวลาตี 2-3 ใครจะออกมาหาเวลานี้
3. เสียงฝีเท้าที่ได้ยินไม่เสียงเขา ป้าบอกอาจจะเป็นเสียงของเจ้าที่เจ้าทางที่นั่น
4.เขาบอกเราว่านอนอยู่ในรถข้างหลังเบาะคนขับ แต่เรายืนยันว่าไม่เห็นใครเลยจริงๆ
พอเรามาคิดๆดูมันก็พีกมากสำหรับเรานะ จริงๆเจอผีตั้งแต่แรกแล้วแต่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ ก่อนกลับต่างจังหวัดแม่เราให้เราห้อยพระตลอดแล้วก็ไหว้หัวนอนกับเจ้าที่ด้วย
*พิมพ์ผิดเยอะก็ขออภัยด้วยนะ เป็นการพิมพ์เล่าเรื่องครั้งแรก
นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย..
เรื่องผีที่โคตรจะหักมุมที่สุดในชีวิต
*อธิบายเพิ่มเติมนะ บ้านเราอยู่ตรงกลางระหว่างกระต๊อบป้ากับคอกวัว _ถ้าหันหน้าไปทางทุ่งนา กระต๊อบจะอยู่ทางซ้ายและคอกวัวจะอยู่ทางขวา
เรานั่งเล่นอยู่กระต๊อบตั้งแต่ 6 โมงยัน 3 ทุ่ม เราอ่ะใส่หูฟังไปด้วยพร้อมกับชาตแบตไว้เพราะคิดว่ายังไงก็นอนไม่หลับแน่ๆ เราเปิดไรดูไปเลื่อยแต่ไม่ได้เปิดดังมากนะ ยังพอได้ยินเสียงนอกหูฟังอยู่ เสียงข้างนอกที่เราได้ยินอ่ะ มันมีเสียงกุกกักๆ เหมือนใครทำอะไรสักอย่าง แล้วก็เสียงคนเดินไปเดินมา มันอยู่รอบๆความมืดนั่นแหละ เราพยายามมองไปทุกทางแล้วแต่ก็ไม่มีอะไร เราก็มองในแง่ดีว่า อาจจะเป็นไก่เป็นหมาของป้าล่ะมั้ง นี่คือมองในแง่ดีสุดแล้วนะ พอแบตเราเต็มเราก็เตรียมตัวเดินไปนอนที่แคร่ในบ้าน เราเดินออกมาละเห็นว่า พระจันทร์เต็มดวงสว่างมาก สว่างชนิดที่ว่า เห็นทางเดินเลย เราก็โลงใจเลยว่าพระจันทร์สว่างขนาดนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว พอช่วงประมาณ เที่ยงคืนพระจันทร์ที่มันสว่างมันก็ค่อยหายไป เหลือแต่ความมืดแล้ว เราก็ไม่ได้คิดไรหรอกตอนนั้น เรานอนหันหน้าไปทางทุ่งนาเพราะข้างหลังมีรถอยู่ จริงๆก็มีแบบพลิกไปมาบ้าง พอตอนตี 1 เรามองเห็นแสงไฟซึ่งมันเหมือนกับไฟฉายมากๆ สีออกส้มเหลืองอ่ะ มันอยู่ตรงบริเวณที่ป้าเขาทำฟืนอ่ะ เรานึกว่าป้าเขาอาจจะมาดูฝืนมั้งก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็หันมาโฟกัสโทรศัพท์ต่อนะ แต่หางตาเราอ่ะ มันก็ยังมองไฟนั่นอยู่ และไฟนั่นอ่ะ มันก็ค่อยๆ ลอยมาตรงทางเดินของทุ่งนาที่เขาทำไว้ ไฟนี่มันลอยไม่สูงมากละก็ไม่ต่ำมากนะ เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ พอสักพักนึง แสงไฟมันหายไปพักใหญ่เลย แต่จู่ๆมันก็โผล่ไปทางนู่นที ทางนี้ที มันไม่แว๊บเหมือนกะสือนะ คือมันโผล่จากจุดนึงไปอีกจุดนึงแบบไกลๆ แสงไฟนั้นมีขนาดเท่ากับลูกตะกร้ออ่ะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ เราคลาดสายตาไปแปปนึงมันก็ไปโผล่ ที่ริมสุดของทางเดินซึ่งมันอยู่ใกล้ๆกับต้นไม้เยอะๆ เราคิดเล่นๆว่า มันอาจจะเป็นพญาหิ่งห้อยก็ได้มั้ง คือตอนนั้นในหัวไม่คิดเรื่องผีเลยจริงๆอ่ะ ถ้าเป็นกระสือมันก็ไม่น่าใช่เพราะที่เราดูมากระสือมันต้องมีไฟกระพริบสีแดงอ่ะ แต่นี่มันสีส้มเหลือง และแสงไฟนั่นมันก็ลอยลงไประดับเดียวกับทุ่งหญ้าแล้วก็ลอยขึ้นมาใหม่ เป็นแบบนี้สักพักแล้วก็หายไป พอมาตี 2 หมาที่ป้าเลี้ยงไว้มันก็หอน ละคือเสียงหมาหอนมันก็มาหอนตรงที่เรานอนด้วย เราก็แบบเริ่มกลัวแล้วอ่ะ เราก็เลยพลิกหันไปทางรถแล้วพอพลิกไปมันรู้สึกเสียวหลังมาก เหมือนมีอะไรกำลังเดินมา เราเลยหันหน้าไปทางทุ่งนาเหมือนเดิม ละพอทีนี้ไอแสงไฟที่มันหายไปตอนนี้มันโผล่มาแล้ว แต่คราวนี้มันโผล่มาทางเดิน ทางขวา แล้วเราก็เห็นว่าไอไฟนั่นน่ะ สว่างเหมือนคนส่องทางอ่ะ อารมณ์เหมือนเปิดไฟฉายแล้วส่องทางเดินอ่ะ เราก็เลยคิดว่า นั่นน่ะคนจริงๆนี่หว่า เราก็แบบโล่งใจอ่ะ โล่งมากๆ ที่แบบ มีคนอยู่ด้วยค่อยอุ่นใจหน่อย และคิดว่าเป็นญาติของป้าออกมาเดินหากบหาเขียด ก็เลยปล่อย จนไอไฟเนี่ยมันหยุดอยู่กับที่ มันนิ่งไปพักนึงเลยและอยู่ๆมัน ก็พุ่งลงหายไปทุ่งนาอีกทางนึงเลย และแสงไฟมันก็หายไป เราก็แบบไม่ใช่และ ถ้าเป็นคนทำไมไม่เดินตามทางล่ะ จริงๆตอนนั้นก็เริ่มหวั่นๆละ พอมาตอนตี 3 เราคิดว่าอีกสองชั่วโมงมันก็เช้าแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วแหละ เราใสหูฟังข้างเดียวแล้วก็หาดูไรไปเลื่อย เราได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางข้างหลังเรา คือเวลาผู้ใหญ่เดินแล้วรองเท้ามันกระทบกับดิน มันจะได้ยินเสียงชัด เราคิดว่าเป็นเขาแต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้หันไปนะ เราแค่คิดว่าโดนดุแน่เลยที่ยังไม่หลับไม่นอนเวลานี้ เราเลยลดเสียงโทรศัพท์เพื่อที่จะได้ยินเสียงข้างนอก เสียงเท้านั่นน่ะมันมาหยุดอยู่ตรงปายเท้าข้างหลังเรา เราคลุมโปงอยู่นะตอนนั้น แล้วเราก็แบบว่าเตรียมโดนดุแล้วอ่ะ แต่ผ่านไปก็ยังไม่มีเสียงอะไรเลย เราคิดว่าเอาไงดีถ้าหันไปเจอก็คือเจอเลยนะ เราคิดว่าไม่น่าใช่เขาแล้วล่ะ ก็เลยพลิกตัวหันไปมองข้างหลังช้าๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด เราก็คิดว่าหูฝาด เลยหันไปทางทุ่งนา และพอเราหันไปอ่ะ ไอแสงไฟนั่นมันก็รีบขึ้นมาตรงทางเดินจากที่มันพุ่งลงไปอ่ะ แล้วมันก็ค่อยๆลอยมากตามทางเดิน คือมันกำลังจะลอยมาทางเราไง เราลุกขึ้นนั่งแล้วมองมันสักพัก ก็รู้แล้วว่ามันกำลังมาทางเรา เราเริ่มสติแตกแล้วก็เริ่มกลัวแล้ว เราเลยเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์เราอ่ะ สองไปทางที่แสงไฟมันกำลังมา แล้วแสงนั่นมันก็เหมือนเห็น แล้วมันก็พุ่งกลับไปทางเดิมเลย ตอนนั้นเรากลัวมากเลย จะเดินไปนอนกับเขา เราเปิดไฟฉายส่องไปดูที่ข้างหลัง เรานึกว่าเขานอนข้างหลัง แต่พอไปดูไม่เห็นใครเลยไปส่องไฟข้างหน้าข้างคนนั่ง เราส่องไปแล้วก็ไม่เห็นใคร พยายามเปิดประตูรถแล้วแต่เหมือนมันล๊อคไว้ ตอนนั้นตัดสินใจเดินไปนั่งอยู่ที่กระต๊อบป้า มันเวลาจะตี 4 แล้วอ่ะ เรานั่งอยู่ตรงกระต๊อบสักพักนึงแล้วคือ และแสงสว่างอ่ะมันไม่ได้ทั่วถึงขนาดนั้น พอมองออกไปก็มีแต่ความมืดแล้วอ่ะ ระหว่างนั้นอ่ะ เราได้ยินเสียงคนเดินรอบกระต๊อบเลย เรากวาดสายตามองรอบๆแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเลยนอกจากเรา เรานั่งอยู่อย่างนั้นจนประมาณจะตี 5 แล้วอีกนิดเดียวมันก็จะเช้าแล้ว เราเลยวิ่งกลับไปนอนที่แคร่นั้น เราทนความง่วงไม่ไหวเลยหลับไปเลย จนถึง 7 โมงเช้า ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองอ่ะ
= เริ่มความพีกของทั้งคืนที่เราเจอ เราเอาเรื่องที่เราเจอไปเล่ากับป้าฟังแล้ว
1. แสงไฟที่เจออยู่ตรงที่ทำฟืน ไม่ใช่แสงไฟฉายของป้าแต่มันคือแสงไฟของ ผีโพลง
2. ฝนไม่ตกมาหลายอาทิตย์ ไม่มีใครเดินหากบหาเขียดแถวนั้น เพราะดินมันแห้งหมดแล้ว และมันช่วงเวลาตี 2-3 ใครจะออกมาหาเวลานี้
3. เสียงฝีเท้าที่ได้ยินไม่เสียงเขา ป้าบอกอาจจะเป็นเสียงของเจ้าที่เจ้าทางที่นั่น
4.เขาบอกเราว่านอนอยู่ในรถข้างหลังเบาะคนขับ แต่เรายืนยันว่าไม่เห็นใครเลยจริงๆ
พอเรามาคิดๆดูมันก็พีกมากสำหรับเรานะ จริงๆเจอผีตั้งแต่แรกแล้วแต่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ ก่อนกลับต่างจังหวัดแม่เราให้เราห้อยพระตลอดแล้วก็ไหว้หัวนอนกับเจ้าที่ด้วย
*พิมพ์ผิดเยอะก็ขออภัยด้วยนะ เป็นการพิมพ์เล่าเรื่องครั้งแรก
นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย..