Saveพิรงรอง ... Saveศาล ... Saveจำเลย

อย่าเบี่ยงประเด็น ... ความผิดชัด ลุแก่อำนาจ ทำเกินขอบเขต เอกสารเท็จ
[สรุปชัด] คนตั้งใจทำดี แต่วิธีการไม่สุจริต กับคดีพิรงรองที่จนมุมด้วยหลักฐาน ที่ไม่ใช่บทบาทของกรรมการผู้กำกับดูแลที่ดี แม้เช้าวานนี้มีการส่งข่าวเบี่ยงประเด็นว่าถูกรังแกจากการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค แต่รถทัวร์เลี้ยวหลังศาลให้รายละเอียดชี้ชัดว่า มีความผิดชัดเจน ทั้งใช้เอกสารเท็จ ใช้อำนาจเกินหน้าที่และขอบเขตตามกฏหมายที่ทางกสทช.พึ่งมี ทั้งคำว่า "ตลบหลัง" ... "เพื่อล้มยักษ์" ในเอกสารวาระการประชุมที่เป็นทางการ ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ❓

สำหรับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็น องค์กรอิสระของรัฐ ผู้มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการกำกับการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน เรียกได้ว่า มีอำนาจใหญ่กว่าเอกชนทั้งหมด เพราะเป็นผู้มีอำนาจ ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่เช่นกัน หากนำอำนาจที่มีไปใช้ในทางที่ผิดก็น่ากลัว 

หลังจากมีคำตัดสินเมื่อวานตอนเช้า หลายคนยังไม่รู้รายละเอียดในเนื้อหาของคดี แต่มีการส่งข่าวให้สื่อรอไว้แล้ว ทั้งบิดเบือนประเด็นสำคัญในคดี เพื่อให้เห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่รัฐในการทำหน้าที่อย่างบริสุทธ์ ทัวร์ก็ไปลงผู้เสียหายตัวจริง ทำให้หลายคนออกตัวแรง เพราะมองว่าพิรงรองถูกกลั่นแกล้ง   

แต่พอช่วงบ่าย รายละเอียดจากข่าวแจกสื่อมวลชนของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รถทัวร์หลายคันถึงกับเลี้ยวรถกลับลำกันแทบไม่ทัน

แม้พิรงรองจะมีประวัติดี และมีเพื่อนๆ สื่อมวลชนเยอะ จากที่เคยเป็นถึงอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ แต่คดีนี้ถือได้ว่าเป็นบทเรียนที่ดีให้กับสังคมว่า คนดีแค่ไหน หรือจะปกป้องผลประโยชน์ชาติ หรือประโยชน์ของคนไทย แต่ก็จะอยู่เหนือขอบเขตของกฏหมายไม่ได้ หากคณะกรรมการกำกับดูแลฯ เอาอารมณ์อยู่เหนืออำนาจ ขอบเขตหน้าที่ตามกฏหมายแล้ว และถึงขั้นเข้าข่ายกลั่นแกล้ง และเลือกปฏิบัติกับเอกชนเพียงรายเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีอำนาจ 

ที่สำคัญ พิรงรองก็ยอมรับ และยืนยันในชั้นของการสืบพยานบนชั้นศาลเองว่า 
คำกล่าวของตน ที่บอกในที่ประชุมว่า “ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์" นั้น คำว่า "ยักษ์" นั้น หมายถึง บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ที่เป็นจำเลยในคดีนี้ เรียกได้ว่า จำนนด้วยข้อมูล และหลักฐาน แถมพิรงรองเองก็ไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากเพียงพอมานำเสนอต่อศาลได้

ในขณะที่ศาลก็ตัดสินตามข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักฐาน จากการสืบพยานของทั้งสองฝั่ง 

ส่วนบางคนที่เสพข้อมูลจากสื่อ ก็เน้นแต่ใช้อารมณ์ร่วม อาศัยการขับเคลื่อนกระแสมวลชนเพื่อพยายามกดดันคำตัดสินของศาลตั้งแต่จะถึงวันพิพากษาคดีนี้ ชูธงภายใต้แนวคิด #Saveพิรงรอง กับแนวคิดที่ว่า อาจารย์เป็นคนดี ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ควรถูกฟ้องเลย

แต่หากลองคิดดูให้ดีว่า หากเป็นคนอื่น ที่มีการใช้เอกสารการประชุมเท็จ สั่งการเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่มี ถึงแม้ว่าจะมีคนทักท้วงแล้วก็ตาม มีการพูดในห้องประชุม และมีข้อมูลบันทึกอยู่ในเอกสารการประชุมชัดเจน ทั้ง "ตลบหลัง" "ล้มยักษ์"  แค่คำ 2 คำนี้ รถทัวร์ของคนไทยทั้งประเทศคงจัดหนัก จัดเต็มกันไปแล้ว แต่เพราะเครดิตดี พรรคพวกเยอะ ทั้งสื่อมวลชน นักวิชาการ และที่สำคัญกลุ่ม NGOs ต่างๆ ที่อาศัยพวกมากลากไป นำพาความคิดในสังคม ทำให้เข้าข่ายเป็น "คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แค่ตกใจนิดหน่อย" ให้พอเป็นพิธีเพื่อเรียกร้องความน่าสงสาร เพราะเมืองไทยชอบตัดสินกันนอกศาล โดยไม่ต้องใช้หลักฐาน แต่ความซวย คือ ศาลใช้ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน เท่านั้น ‼️

อยากที่จะเตือนสติสังคมกันสักนิด ว่า ศาลวินิจฉัยว่า "เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 จึงพิพากษาจำคุก 2 ปี" ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวตามที่สื่ออ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคแต่อย่างใดเลย 

เพี้ยนดีออกเพี้ยนหยุดมโนเพี้ยนมโน
และที่สำคัญอยากจะให้ ... โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คอยควบคุม กำกับ และดูแลใช้ระบบ ระเบียบ ข้อกฏหมายต่างๆ ศึกษาบริบทกฏหมาย บทบาทอำนาจหน้าที่ที่ตนเองพึ่งมีกันให้มากๆ เพื่อไม่ให้ตนเองปฏิบัติตัวเกินขอบเขต อำนาจ หน้าที่ของตน จนได้คดีติดตัวเป็นประวัติในการทำงานไปด้วย #SAVEพิรงรอง #Saveศาล #Saveจำเลย

หมายเหตุ : ไม่มีนักธุรกิจรายใดอยากเป็นคดีความ ขึ้นโรง ขึ้นศาล เป็นข้อพิพาทกับหน่วยงานของรัฐหรอก เอาเวลาที่เป็นคดีความไปประกอบธุรกิจ ทำมาหาเงินดีกว่า และที่สำคัญกสทช. และทรู ยังคงต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน

"เป็นคดีความ กินขี้หมาดีกว่า"
ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่