คุณกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เสนอต่อที่ประชุมสภาฯ ว่าให้รัฐบาลไทยรับมือการตัดงบประมาณให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนของสหรัฐ ด้วยการรับคนเหล่านี้กว่า 8 หมื่นคนเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทย
“ถ้าเขาทำงานได้จะทำเงินภาษีให้ไทย ร่วมพัฒนาประเทศไทย และเข้าถึงสวัสดิการต่างๆด้วยตัวเขาเอง ไม่เป็นภาระ ต้องเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ ทำให้ไทยเรามีบทบาทที่ดีในเวทีระหว่างประเทศได้” คุณกันวีร์ระบุ
ซึ่งแนวคิดของคุณกันวีร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเป็นกระแสมาก่อนในช่วงปี 2558 เมื่อมีการรายงานข่าวที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา โดยมีการเสนอให้รับคนเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย เพื่อเป็นแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
ผลกระทบของจำนวนประชากร ต่อเศรษฐกิจ
การนำผู้ลี้ภัยเข้ามาในประเทศ แม้จะส่งผลเชิงบวกในการเพิ่มกำลังแรงงานให้แก่ประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจในการกดค่าแรงขั้นต่ำให้ลดลง หรือชะลอการขึ้นค่าแรงให้กับแรงงาน ตามกลไกตลาดได้ แต่สำหรับภาครัฐแล้ว นั่นหมายถึงภาระในการรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่เพิ่มมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนประชากร กับขนาด GDP ของประเทศในอาเซียนแล้วจะเห็นได้ว่าเวียดนามซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่าไทย 1.4 เท่า แต่กลับมีขนาด GDP น้อยกว่าไทย 1.26 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์ซึ่งมีจำนวนประชากรน้อยกว่าไทยถึง 12.52 เท่า แต่กลับมีขนาด GDP ไม่ได้แตกต่างจากประเทศไทยเลย อีกทั้งสิงคโปร์นั้นมี GDP ต่อประชากรสูงกว่าไทย 12 เท่า และสูงกว่าเวียดนาม 21 เท่า
ดังนั้นการเพิ่มจำนวนแรงงาน ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจจะกลายเป็นการสร้างปัญหาการว่างงาน ถ้าหากจำนวนงานขยายตัวตามไม่ทันจำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะฟื้นฟู ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาไม่ใช่ยุครุ่งเรืองเหมือนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด
แรงงาน 1 คน เสียภาษีให้รัฐปีละเท่าไร ?
เนื่องจากผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่นั้น ถือได้ว่าเป็นแรงงานไม่มีฝีมือ (non-skilled labor) ทำงานตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ อยู่ในสถานะคนจน
จากรายงานของคณะก้าวหน้าเรื่อง “บาดแผลของคนจน: มายาคติเกี่ยวกับภาษีของคนรวยและคนจน” [1] ระบุว่าคนจนมีรายได้เดือนละ 8,500 บาท หรือ 102,000 บาทต่อปี ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เดือนละ 583 บาท หรือ 6,996 บาทต่อปีเท่านั้น
เพิ่มแรงงาน ในขณะที่ยังมีคนไทยว่างงาน
จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติประจำไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 4.1 แสนคน ในขณะที่อัตราการจ้างงานโดยรวมลดลงจากปีก่อน 0.1% [2] ซึ่งถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามหานักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมได้ แต่การจ้างงานจะเกิดขึ้นในอีกอย่างน้อย 1 – 2 ปีข้างหน้า
ดังนั้นการรับผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นแรงงานในเวลานี้ จะเป็นการซ้ำเติมคนไทยที่ยังว่างงานกว่า 4 แสนคนหรือไม่ ?
และมีอะไรที่ทำให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะไม่กลายมาเป็นคนว่างงาน จนหลายมาเป็นที่มาของปัญหาอาชญากรรมอย่างที่เกิดขึ้นในยุโรป และสหรัฐ
ปัญหาการแย่งอาชีพของคนไทย
ในช่วงที่ผ่านมา เกิดกระแสการไม่ยอมรับแรงงานต่างด้าวในหมู่คนไทยส่วนหนึ่ง จากการที่แรงงานเหล่านี้ ลักลอบประกอบอาชีพสงวนของคนไทย
ซึ่งเรื่องนี้นั้น คุณไอซ์-รักชนก ศรีนอก สส. กรุงเทพ พรรคประชาชน ได้เคยนำประเด็นนี้เข้ามาอภิปรายในสภาฯ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2567 จากการที่เธอได้ลงพื้นที่ตลาดบางบอน ซึ่งมีผู้ค้าเป็นชาวเมียนมาเป็นจำนวนมาก และมีการติดป้ายเป็นภาษาเมียนมา ทั้งที่มีกฎหมายห้ามชาวต่างชาติประกอบอาชีพค้าขาย
มีการติดป้ายห้ามถ่ายรูป ทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดต้องขออนุญาตก่อน อีกทั้งตลาดทั่ว ๆ ไปต้องการให้คนถ่ายรูปเพื่อการโปรโมทตลาด แต่เหตุใดตลาดแห่งนี้จึงถูกห้าม อีกทั้งชาวเมียนมาเหล่านี้ยังรวมตัวตั้งกลุ่มกัน กดดันผู้ค้าชาวไทยเจ้าของประเทศอีกด้วย
ในสถานการณ์ปัจจุบันยังเป็นเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่ารับผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นแรงงานเพิ่มเติม จะทำให้ปัญหานี้หนักขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ?
บทเรียนจากสหรัฐและยุโรป
การออกนโยบายเนรเทศผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว หากแต่เป็นความต้องการของชาวสหรัฐเองด้วย จึงให้การสนับสนุนทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี อีกทั้งในยุโรปเอง ก็มีคนที่ต้องการนโยบายเช่นนี้ไม่น้อยเช่นกัน
เนื่องจากว่ารัฐบาลเหล่านั้น ไม่สามารถบริหารจัดการผู้ลี้ภัยได้ อีกทั้งผู้ลี้ภัยเหล่านั้น ไม่สามารถหลอมกลืนเข้ากับประเทศที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังก่อปัญหาอาชญากรรม ท่ามกลางภาวะการว่างงานและเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จนทำให้ชาวสหรัฐและยุโรปมองว่าผู้ลี้ภัยกลายมาเป็นภาระ ที่เข้ามาแย่งงานและทรัพยากรของคนในประเทศ
แล้วประเทศไทยควรจะเดินซ้ำรอยยุโรปและสหรัฐหรือไม่ ?
ประเทศไทยควรจะเลือกช่วยคนในประเทศของตัวเองก่อน สร้างฐานะของประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก่อน ที่จะออกไปให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ชาวต่างชาติ หรือคนไทยจะยอมอดอยากเพื่อมนุษยธรรม สิ่งนี้เป็นคำถามที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องหาคำตอบร่วมกัน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02xm74yZJNAdxK3PphJTAdNrkkFnv2muNFmYce3KesjEdZ717YGk9g2ixMjkztEh9Ll&id=100077033996910&mibextid=ZbWKwL
ไทยควรรับผู้ลี้ภัยเข้ามา เป็นแรงงานในประเทศหรือไม่?
“ถ้าเขาทำงานได้จะทำเงินภาษีให้ไทย ร่วมพัฒนาประเทศไทย และเข้าถึงสวัสดิการต่างๆด้วยตัวเขาเอง ไม่เป็นภาระ ต้องเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ ทำให้ไทยเรามีบทบาทที่ดีในเวทีระหว่างประเทศได้” คุณกันวีร์ระบุ
ซึ่งแนวคิดของคุณกันวีร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเป็นกระแสมาก่อนในช่วงปี 2558 เมื่อมีการรายงานข่าวที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา โดยมีการเสนอให้รับคนเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย เพื่อเป็นแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
ผลกระทบของจำนวนประชากร ต่อเศรษฐกิจ
การนำผู้ลี้ภัยเข้ามาในประเทศ แม้จะส่งผลเชิงบวกในการเพิ่มกำลังแรงงานให้แก่ประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจในการกดค่าแรงขั้นต่ำให้ลดลง หรือชะลอการขึ้นค่าแรงให้กับแรงงาน ตามกลไกตลาดได้ แต่สำหรับภาครัฐแล้ว นั่นหมายถึงภาระในการรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่เพิ่มมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนประชากร กับขนาด GDP ของประเทศในอาเซียนแล้วจะเห็นได้ว่าเวียดนามซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่าไทย 1.4 เท่า แต่กลับมีขนาด GDP น้อยกว่าไทย 1.26 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์ซึ่งมีจำนวนประชากรน้อยกว่าไทยถึง 12.52 เท่า แต่กลับมีขนาด GDP ไม่ได้แตกต่างจากประเทศไทยเลย อีกทั้งสิงคโปร์นั้นมี GDP ต่อประชากรสูงกว่าไทย 12 เท่า และสูงกว่าเวียดนาม 21 เท่า
ดังนั้นการเพิ่มจำนวนแรงงาน ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจจะกลายเป็นการสร้างปัญหาการว่างงาน ถ้าหากจำนวนงานขยายตัวตามไม่ทันจำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะฟื้นฟู ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาไม่ใช่ยุครุ่งเรืองเหมือนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด
แรงงาน 1 คน เสียภาษีให้รัฐปีละเท่าไร ?
เนื่องจากผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่นั้น ถือได้ว่าเป็นแรงงานไม่มีฝีมือ (non-skilled labor) ทำงานตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ อยู่ในสถานะคนจน
จากรายงานของคณะก้าวหน้าเรื่อง “บาดแผลของคนจน: มายาคติเกี่ยวกับภาษีของคนรวยและคนจน” [1] ระบุว่าคนจนมีรายได้เดือนละ 8,500 บาท หรือ 102,000 บาทต่อปี ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เดือนละ 583 บาท หรือ 6,996 บาทต่อปีเท่านั้น
เพิ่มแรงงาน ในขณะที่ยังมีคนไทยว่างงาน
จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติประจำไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 4.1 แสนคน ในขณะที่อัตราการจ้างงานโดยรวมลดลงจากปีก่อน 0.1% [2] ซึ่งถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามหานักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมได้ แต่การจ้างงานจะเกิดขึ้นในอีกอย่างน้อย 1 – 2 ปีข้างหน้า
ดังนั้นการรับผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นแรงงานในเวลานี้ จะเป็นการซ้ำเติมคนไทยที่ยังว่างงานกว่า 4 แสนคนหรือไม่ ?
และมีอะไรที่ทำให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะไม่กลายมาเป็นคนว่างงาน จนหลายมาเป็นที่มาของปัญหาอาชญากรรมอย่างที่เกิดขึ้นในยุโรป และสหรัฐ
ปัญหาการแย่งอาชีพของคนไทย
ในช่วงที่ผ่านมา เกิดกระแสการไม่ยอมรับแรงงานต่างด้าวในหมู่คนไทยส่วนหนึ่ง จากการที่แรงงานเหล่านี้ ลักลอบประกอบอาชีพสงวนของคนไทย
ซึ่งเรื่องนี้นั้น คุณไอซ์-รักชนก ศรีนอก สส. กรุงเทพ พรรคประชาชน ได้เคยนำประเด็นนี้เข้ามาอภิปรายในสภาฯ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2567 จากการที่เธอได้ลงพื้นที่ตลาดบางบอน ซึ่งมีผู้ค้าเป็นชาวเมียนมาเป็นจำนวนมาก และมีการติดป้ายเป็นภาษาเมียนมา ทั้งที่มีกฎหมายห้ามชาวต่างชาติประกอบอาชีพค้าขาย
มีการติดป้ายห้ามถ่ายรูป ทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดต้องขออนุญาตก่อน อีกทั้งตลาดทั่ว ๆ ไปต้องการให้คนถ่ายรูปเพื่อการโปรโมทตลาด แต่เหตุใดตลาดแห่งนี้จึงถูกห้าม อีกทั้งชาวเมียนมาเหล่านี้ยังรวมตัวตั้งกลุ่มกัน กดดันผู้ค้าชาวไทยเจ้าของประเทศอีกด้วย
ในสถานการณ์ปัจจุบันยังเป็นเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่ารับผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นแรงงานเพิ่มเติม จะทำให้ปัญหานี้หนักขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ?
บทเรียนจากสหรัฐและยุโรป
การออกนโยบายเนรเทศผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว หากแต่เป็นความต้องการของชาวสหรัฐเองด้วย จึงให้การสนับสนุนทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี อีกทั้งในยุโรปเอง ก็มีคนที่ต้องการนโยบายเช่นนี้ไม่น้อยเช่นกัน
เนื่องจากว่ารัฐบาลเหล่านั้น ไม่สามารถบริหารจัดการผู้ลี้ภัยได้ อีกทั้งผู้ลี้ภัยเหล่านั้น ไม่สามารถหลอมกลืนเข้ากับประเทศที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังก่อปัญหาอาชญากรรม ท่ามกลางภาวะการว่างงานและเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จนทำให้ชาวสหรัฐและยุโรปมองว่าผู้ลี้ภัยกลายมาเป็นภาระ ที่เข้ามาแย่งงานและทรัพยากรของคนในประเทศ
แล้วประเทศไทยควรจะเดินซ้ำรอยยุโรปและสหรัฐหรือไม่ ?
ประเทศไทยควรจะเลือกช่วยคนในประเทศของตัวเองก่อน สร้างฐานะของประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก่อน ที่จะออกไปให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ชาวต่างชาติ หรือคนไทยจะยอมอดอยากเพื่อมนุษยธรรม สิ่งนี้เป็นคำถามที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องหาคำตอบร่วมกัน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02xm74yZJNAdxK3PphJTAdNrkkFnv2muNFmYce3KesjEdZ717YGk9g2ixMjkztEh9Ll&id=100077033996910&mibextid=ZbWKwL