💫อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ aɪnstaɪn✨
✨หนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไอน์สไตน์ ได้เป็นที่รู้จักกันในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่เขายังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม
ℹ️ทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเป็นสองเสาหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่ สูตรความสมมูลมวล–พลังงานของเขา E = mc2 ซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ความสำเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของเขาส่งผลให้ "ไอน์สไตน์" กลายเป็นคำพ้องที่มีความหมายตรงกับคำว่า "จีเนียส"
อัจฉริยะ)
(ฟังก์ชันคลื่นของอิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจนที่ระดับพลังงานที่ต่างกัน กลศาสตร์ควอนตัมไม่สามารถทำนายพิกัดที่แน่นอนของอนุภาคในพื้นที่ได้ สามารถทำนายได้แค่ความน่าจะเป็นในการเจอในแต่ละที่ พื้นที่สว่างแทนความน่าจะเป็นที่น่าจะเจออิเล็กตรอนสูง)
🔰กลศาสตร์ควอนตัม
(อังกฤษ: quantum mechanics) เป็นทฤษฎีพื้นฐานทฤษฎีหนึ่งในฟิสิกส์ที่อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติในระดับอะตอมและเล็กกว่าอะตอม: 1.1 ถือเป็นรากฐานของ ฟิสิกส์ควอนตัม (quantum physics) ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย เคมีควอนตัม ทฤษฎีสนามควอนตัม
เทคโนโลยีควอนตัม และ
วิทยาการสารสนเทศควอนตัม
ℹ️กลศาสตร์ควอนตัม สามารถใช้อธิบายระบบมากมาย ที่ฟิสิกส์ดั้งเดิมไม่สามารถอธิบายได้
ฟิสิกส์ดั้งเดิมสามารถอธิบายลักษณะต่าง ๆ ของธรรมชาติได้ดีในมาตราส่วนปกติ
ℹ️กล่าวคือ ระดับมหทรรศน์ ไปจนถึง จุลทรรศน์ ที่ตามองเห็นได้ แต่ไม่เพียงพอเมื่อต้องการอธิบายธรรมชาติในมาตราส่วนที่เล็กกว่าจุลทรรศน์ กล่าวคือ ระดับอะตอมและเล็กกว่าอะตอม ทฤษฎีในฟิสิกส์ดั้งเดิมส่วนใหญ่สามารถสืบย้อนมาจากกลศาสตร์ควอนตัมได้ในฐานะค่าประมาณที่ใช้ได้สำหรับมาตราส่วนขนาดใหญ่
ℹ️ระบบควอนตัมมีสถานะจำกัดขอบเขต (bound states) ซึ่งถูกทำให้เป็นควอนตัมหรือ
"แจงหน่วย" (quantized) กลายเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่อง (discrete values) ของปริมาณพลังงาน โมเมนตัม โมเมนตัมเชิงมุม และปริมาณอื่น ๆ ตรงข้ามกับระบบฟิสิกส์ดั้งเดิมที่สามารถวัดค่าปริมาณเหล่านี้ได้โดยต่อเนื่อง การวัดปริมาณของ
ระบบควอนตัม จะแสดงคุณสมบัติทั้งของอนุภาคและคลื่น
(ทวิภาคคลื่น–อนุภาค) และยังมีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำของการทำนายค่าในปริมาณฟิสิกส์ก่อนการวัดเมื่อให้มีชุดเงื่อนไขเริ่มต้นที่สมบูรณ์ (หลักความไม่แน่นอน)
ℹ️กลศาสตร์ควอนตัม ถูกพัฒนาขึ้นเป็นลำดับจากทฤษฎีที่ใช้อธิบายค่าสังเกตที่ไม่สอดคล้องกับฟิสิกส์ดั้งเดิม เช่น วิธีการของมัคส์ พลังค์เพื่อแก้ปัญหาการแผ่รังสีของวัตถุดำในปี ค.ศ. 1900 ความสมนัยระหว่างพลังงานกับความถี่
ℹ️ในงานตีพิมพ์ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เมื่อปี ค.ศ. 1905 ซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้ ทฤษฎีเหล่านี้ถือเป็นความพยายามแรก ๆ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ในโลกจุลทรรศน์ ที่ปัจจุบันเรียกว่าเป็น "ทฤษฎีควอนตัมเก่า" ซึ่งต่อมานำไปสู่การพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม อย่างเต็มรูปแบบในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920 โดยนักฟิสิกส์ นิลส์ โปร์, แอร์วีน ชเรอดิงเงอร์, แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค, มัคส์ บอร์น, พอล ดิแรก เป็นต้น
🔰ทฤษฎีควอนตัมใหม่ ถูกจัดรูปแบบขึ้นโดยใช้รูปนัยนิยมทางคณิตศาสตร์ ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษรูปแบบต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ
ℹ️ฟังก์ชันคลื่น (wave function) ซึ่งแสดงข้อมูลในรูปของแอมพลิจูดของความน่าจะเป็นจากการวัดปริมาณพลังงาน โมเมนตัม และคุณสมบัติฟิสิกส์อื่น ๆ ที่อาจตรวจวัดได้ของอนุภาคใด ๆ
ขอบคุณภาพ : วิกิพีเดีย
เผยแพร่เนื้อหาเป็น ธรรมทาน
(อุทิศบุญกุศลให้แด่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ aɪnstaɪn)
ปัดฝุ่น💫อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับ❇️กลศาสตร์ควอนตัม ✴️
💫อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ aɪnstaɪn✨
✨หนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไอน์สไตน์ ได้เป็นที่รู้จักกันในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่เขายังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม
ℹ️ทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเป็นสองเสาหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่ สูตรความสมมูลมวล–พลังงานของเขา E = mc2 ซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ความสำเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของเขาส่งผลให้ "ไอน์สไตน์" กลายเป็นคำพ้องที่มีความหมายตรงกับคำว่า "จีเนียส"อัจฉริยะ)
(ฟังก์ชันคลื่นของอิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจนที่ระดับพลังงานที่ต่างกัน กลศาสตร์ควอนตัมไม่สามารถทำนายพิกัดที่แน่นอนของอนุภาคในพื้นที่ได้ สามารถทำนายได้แค่ความน่าจะเป็นในการเจอในแต่ละที่ พื้นที่สว่างแทนความน่าจะเป็นที่น่าจะเจออิเล็กตรอนสูง)
🔰กลศาสตร์ควอนตัม
(อังกฤษ: quantum mechanics) เป็นทฤษฎีพื้นฐานทฤษฎีหนึ่งในฟิสิกส์ที่อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติในระดับอะตอมและเล็กกว่าอะตอม: 1.1 ถือเป็นรากฐานของ ฟิสิกส์ควอนตัม (quantum physics) ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย เคมีควอนตัม ทฤษฎีสนามควอนตัม
เทคโนโลยีควอนตัม และ
วิทยาการสารสนเทศควอนตัม
ℹ️กลศาสตร์ควอนตัม สามารถใช้อธิบายระบบมากมาย ที่ฟิสิกส์ดั้งเดิมไม่สามารถอธิบายได้
ฟิสิกส์ดั้งเดิมสามารถอธิบายลักษณะต่าง ๆ ของธรรมชาติได้ดีในมาตราส่วนปกติ
ℹ️กล่าวคือ ระดับมหทรรศน์ ไปจนถึง จุลทรรศน์ ที่ตามองเห็นได้ แต่ไม่เพียงพอเมื่อต้องการอธิบายธรรมชาติในมาตราส่วนที่เล็กกว่าจุลทรรศน์ กล่าวคือ ระดับอะตอมและเล็กกว่าอะตอม ทฤษฎีในฟิสิกส์ดั้งเดิมส่วนใหญ่สามารถสืบย้อนมาจากกลศาสตร์ควอนตัมได้ในฐานะค่าประมาณที่ใช้ได้สำหรับมาตราส่วนขนาดใหญ่
ℹ️ระบบควอนตัมมีสถานะจำกัดขอบเขต (bound states) ซึ่งถูกทำให้เป็นควอนตัมหรือ
"แจงหน่วย" (quantized) กลายเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่อง (discrete values) ของปริมาณพลังงาน โมเมนตัม โมเมนตัมเชิงมุม และปริมาณอื่น ๆ ตรงข้ามกับระบบฟิสิกส์ดั้งเดิมที่สามารถวัดค่าปริมาณเหล่านี้ได้โดยต่อเนื่อง การวัดปริมาณของ
ระบบควอนตัม จะแสดงคุณสมบัติทั้งของอนุภาคและคลื่น
(ทวิภาคคลื่น–อนุภาค) และยังมีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำของการทำนายค่าในปริมาณฟิสิกส์ก่อนการวัดเมื่อให้มีชุดเงื่อนไขเริ่มต้นที่สมบูรณ์ (หลักความไม่แน่นอน)
ℹ️กลศาสตร์ควอนตัม ถูกพัฒนาขึ้นเป็นลำดับจากทฤษฎีที่ใช้อธิบายค่าสังเกตที่ไม่สอดคล้องกับฟิสิกส์ดั้งเดิม เช่น วิธีการของมัคส์ พลังค์เพื่อแก้ปัญหาการแผ่รังสีของวัตถุดำในปี ค.ศ. 1900 ความสมนัยระหว่างพลังงานกับความถี่
ℹ️ในงานตีพิมพ์ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เมื่อปี ค.ศ. 1905 ซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้ ทฤษฎีเหล่านี้ถือเป็นความพยายามแรก ๆ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ในโลกจุลทรรศน์ ที่ปัจจุบันเรียกว่าเป็น "ทฤษฎีควอนตัมเก่า" ซึ่งต่อมานำไปสู่การพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม อย่างเต็มรูปแบบในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920 โดยนักฟิสิกส์ นิลส์ โปร์, แอร์วีน ชเรอดิงเงอร์, แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค, มัคส์ บอร์น, พอล ดิแรก เป็นต้น
🔰ทฤษฎีควอนตัมใหม่ ถูกจัดรูปแบบขึ้นโดยใช้รูปนัยนิยมทางคณิตศาสตร์ ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษรูปแบบต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ
ℹ️ฟังก์ชันคลื่น (wave function) ซึ่งแสดงข้อมูลในรูปของแอมพลิจูดของความน่าจะเป็นจากการวัดปริมาณพลังงาน โมเมนตัม และคุณสมบัติฟิสิกส์อื่น ๆ ที่อาจตรวจวัดได้ของอนุภาคใด ๆ
ขอบคุณภาพ : วิกิพีเดีย
เผยแพร่เนื้อหาเป็น ธรรมทาน
(อุทิศบุญกุศลให้แด่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ aɪnstaɪn)