กระทู้นี้ค่อนข้างยาว เพราะต้องการระบายความรู้สึก ใครขี้เกียจอ่านข้ามกระทู้นี้ได้นะคะ เป็นความรู้สึกที่เหนื่อยและไม่สามารถโพสต์ลงใน Social Media ช่องทางอื่น ๆ ของตัวเองได้ พยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองและติดเรื่องที่บ้านไม่ชอบให้เอาเรื่องที่บ้านไปเล่าให้คนข้างนอกรู้ โดยเฉพาะแม่กับน้องไม่ยินยอมให้เอาเรื่องที่เกี่ยวกับเขาไปโพสต์ให้คนอื่นรู้ เขาไม่อนุญาต หวงความเป็นส่วนตัว จขกท. จึงไม่เคยโพสต์ระบายหรือพิมพ์ข้อความใด ๆ ใน Facebook / IG เพราะคนที่บ้านเป็นเพื่อนอยู่ ยกเว้นสังคม Pantip คนที่บ้านไม่รู้จักนามแฝง จขกท. และแม่กับน้องไม่ใช้สื่อ Pantip ค่ะ (ยกเว้น น้องจะค้นหาเจอใน Google แต่โอกาสคงน้อยค่ะ)
แค่อยากบอกว่า...ตอนนี้ชีวิตเหนื่อย ใช้ความคิดเยอะมากค่ะ ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน พ่อป่วยหนักถึงขั้นต้องเข้า ICU หลายสัปดาห์เกือบเดือน จนผ่านพ้นความตาย (อันนี้คุณหมอบอกเองว่า คนไข้ผ่านจากความตายมาได้ ถ้ามา รพ. ช้ากว่านี้ คือ เสียชีวิตแน่นอนค่ะ) พอพ่อป่วย สมองท่านเริ่มมีอาการเสื่อมตามและไม่สามารถจะบริหารงานต่อได้ ทุกวันนี้ยังต้องเวชศาสตร์ฟื้นฟู กายภาพบำบัดค่ะ ที่นี้ที่บ้านมีธุรกิจโรงงาน (บริษัทจำกัด) ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดกะทันหันพ่อยังไม่ได้ส่งต่อกิจการให้ลูกหรือใคร คือ มั่นใจในตัวเองเสมอ ว่าตัวเองบริหารบริษัทให้ผ่านทุกวิกฤติได้ (โรงงานที่บ้านเคยผ่านเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 2540 ค่ะ) ปี 2540 แม้จะติดหนี้มหาศาล มีหมายศาลมาบ้านหลายฉบับก็ตาม แต่ผ่านเหตุการณ์มาได้ พ่อสามารถไถ่ถอนบ้าน ที่ดินของตัวเองและน้อง ๆ พ่อออกได้หมด ดังนั้น พ่อจึงมีความมั่นใจ + Ego ในตัวเองสูง ว่าตัวเองเท่านั้นที่จะบริหารโรงงานให้รอดได้ค่ะ ซึ่ง จขกท. อยู่ในเหตุการณ์เห็นภาพหมด แต่ตอนนั้นผู้ใหญ่ไม่ให้เรายุ่งและมักรู้ทีหลังจากที่พ่อดำเนินการไปแล้ว ส่วนแม่รู้บ้างไม่รู้บ้าง เพราะเคยได้ยินเสียงพ่อปรึกษาแม่ในห้องส่วนตัวของพวกท่านอยู่ค่ะ
กลับมาปัจจุบัน พอพ่อป่วย จึงเป็นเรื่องกะทันหันสำหรับคนในครอบครัว แม่ต้องลุกขึ้นมาบริหารกิจการที่บ้านแทน เพราะ จขกท. กับน้องยังทำงานประจำ ซึ่งงานประจำที่ จขกท. ทำมั่นคง หน่วยงานรัฐ สวัสดิการดี ค่ารักษาพยาบาลพ่อก็ได้จากองค์กรนี้ช่วยค่ะ ดังนั้น ครอบครัวเราไม่ต้องเสียเงินค่ารักษามาก แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงอยู่ค่ะ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ขอวกกลับมาที่กิจการที่บ้านต่อ พอแม่มาบริหารต่อจากพ่อ จึงทำให้รู้ว่าโรงงานยังมีหนี้จำนวนหนึ่ง จำนวนเงิน 7 หลัก เจ้าหนี้พอรู้ว่าพ่อป่วย ก็เอาหมายศาลมาบังคับอีก จะยึดที่ดินมรดกของพ่อ (อยู่ ตจว.) ซึ่งพ่อรักที่ดินแปลงนี้มาก ดังนั้น จขกท. กับน้องเลยต้องตัดสินใจเอาบ้านที่อยู่ปัจจุบัน (กรุงเทพฯ) ไปจำนอง ซึ่งแน่นอนพ่อโอนบ้านและที่ดินให้ จขกท. เพราะพ่ออายุเกิน แถมป่วยแบบนี้ทำอะไรต่อไม่ได้แล้วค่ะ เพื่อจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้ จากนั้น ให้บริษัทที่บ้านจ่ายหนี้นั้นใช้คืน เพราะเป็นเงินที่พ่อไปขอยืมคนรู้จักเพื่อใช้บริหารกระแสเงินสดในโรงงานค่ะ ส่วนแม่เอาเงินของตัวเองไปจมอยู่ในโรงงานตั้งแต่พ่อยังบริหารช่วงปี 2560 ไล่มา มีสัญญากู้ยืมเงินเก็บไว้อยู่ค่ะ คือ ถ้าโรงงานขาดกระแสเงินสด แม่จะเอาเงินมรดกที่ได้จากคุณตาคุณยาย+เงินเก็บจากการทำงานทั้งชีวิต (ก่อนหน้านี้ แม่ทำงานที่อื่นจนเกษียณ เลยมีเงินจากที่ทำงานเก็บไว้อยู่พอควร) มาช่วยอุดรอยรั่ว แล้วหมุนไปแบบนี้ จนนับ 8 หลักได้
ทุกวันนี้ที่แม่ไม่ยอมเลิกกิจการ เพราะโรงงานยังมีออเดอร์และมีเงินเข้ามาหมุนเวียนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้เยอะจนเรียกว่า มีเงินปันผลได้ คือ นำเงินมาใช้หนี้แม่+หนี้พ่อ (หนี้พ่อที่เป็นชื่อลูก เพราะตอนที่กู้โดยนำบ้านไปจำนอง พ่อแม่อายุเกินที่จะกู้ในนามชื่อเขาได้แล้วค่ะ) ซึ่งแม่ใช้เงินตัวเองให้บริษัทยืม วนเวียนอย่างนี้ตลอดค่ะ
ทั้งนี้ จขกท. เคยไปปรึกษาผู้รู้ด้านธุรกิจ-การเงิน เป็นคุณอาของรุ่นพี่ที่รู้จักกันค่ะ ซึ่งแม่ได้ตามไปด้วย แล้วเจ้าของธุรกิจท่านนั้นถามว่า โรงงานที่ทำมีกำไรไหม จขกท. ตอบทันทีว่า "ไม่" เพราะเห็นแม่ชอบเอาเงินมาซ่อมให้กระแสเงินสดภายในโรงงานยังไปได้ โดยปัจจุบันโรงงานที่บ้านไม่ได้เป็นหนี้สถาบันการเงินใด ๆ หรือจะของพ่อในนามกรรมการผู้จัดการก็ตามค่ะ ยกเว้น เอาบ้านไปจำนองกู้ส่วนบุคคลในนามชื่อลูกแทนค่ะ แต่แม่ตอบว่า "มีกำไร" เพราะแม่มองว่าทุกวันนี้ ยังจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ ยังรันเครื่องจักรได้ ยังซื้อวัตถุดิบได้ ยังมีลูกค้า (แม้ยอดรายได้จะไม่เยอะ เช่น ถ้าจะหายใจได้สะดวก ควรมียอดเท่านี้บาท แต่ยอดขายได้ 2 ใน 3 ที่ควรจะเป็นค่ะ) พ่อแม้ป่วยยังได้รับเงินเดือนจากบริษัท (มีหักภาษี ณ ที่จ่าย ทวิ 50 เรียบร้อย) ซึ่งเงินอันนี้เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน รวมทั้งจ่ายค่าคนดูแลพ่อ ทำให้ จขกท. ไม่ต้องเอาเงินเดือนตัวเองออกมาจ่ายสนับสนุนที่บ้านเลย ยกเว้น ซื้อของกินมาเผื่อหรือซื้อของเครื่องใช้ที่อยากจะซื้อให้เท่านั้น และบริษัทที่บ้านยังจ่ายหนี้แม่ โดยใช้วิธีทยอยจ่ายแม่ได้อยู่ค่ะ
ที่นี้ ด้วยแม่อายุเยอะแล้ว 70 กว่าค่ะ เขามักบ่นว่าเหนื่อยให้เราฟังถี่ขึ้น ต้องนั่งรถไกลไปทำงาน จากบ้านไปโรงงานขาละ 50 กว่ากิโล ไปกลับ 100 กว่ากิโลค่ะ (แต่มีคนขับรถให้นะคะ ที่บ้านจ้างพนักงานขับรถค่ะ) แม้ท่านจะบ่น แต่ยังไปโรงงานอยู่ดี เราเคยบอกว่าให้ใช้โทรศัพท์กับดูกล้องจากที่บ้านแทน แม่ก็ไม่ทำ ต้องไป บอกว่าอยู่ใกล้ชิดพนักงานดีที่สุดในการบริหารงาน หากจะถามว่าทำไมบ้านกับบริษัทจึงอยู่ไกลกัน เพราะโรงงานต้องอยู่ในเขตพื้นที่สีม่วงและพ่อมาทำบริษัทหลังจากที่สร้างบ้านที่อยู่ปัจจุบันแล้ว (สมัยก่อนพ่อเคยทำอาชีพอื่น แล้วลาออกมาบริหารโรงงานแทนค่ะ) อาชีพอื่นของพ่อ รวมทั้งอาชีพที่แม่ทำจนเกษียณอยู่ใกล้บ้านปัจจุบันนี้ค่ะ สมัยนั้นยังไม่มีแผนจะตั้งบริษัท/โรงงานเลยค่ะ
หากถามว่าทำไมเราไม่ลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ เพราะที่บ้านเคยผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง เลยมองกันว่า (ก่อนพ่อป่วยนะคะ) ลูกควรมีงานที่มั่นคงยึดเป็นหลักไว้ก่อน หากกิจการที่บ้านล้มหรือเกิดวิกฤติ ศก. อีก อย่างน้อยลูกยังมีงานทำ มีรายได้แน่นอน ไม่ใช่พังกันไปทั้งหมดค่ะ แต่คิดว่าคงจะได้ลาออกจากงานประจำหรือรู้ชะตาชีวิตตัวเองอีกไม่นาน เพราะแม่คงบริหารไม่ไหว หากอายุ 80 ปีแล้ว เมื่อถึงช่วงเวลานั้น จขกท. อายุ 50 กว่าแล้วเช่นกันค่ะ ยิ่งเหนื่อย เพราะแก่ตัวมาก
ปัจจุบัน จขกท. มาช่วยแม่อีกแรง แต่ช่วยหลังบ้าน หมายถึง ต้องให้โรงงานที่บ้านทำเอกสารฝากแม่มาหรือส่งไฟล์ผ่านไลน์ ต้องสอนให้พนักงานใช้ Google Sheet เพื่อเราสามารถตรวจสอบผ่านออนไลน์ได้ เปลี่ยนจาก Excel เพราะ จขกท. ทำงานประจำเข้าโรงงานที่บ้านไม่ได้ค่ะ บริษัทที่บ้านปิดวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นเดียวกับงานประจำ ส่วนตัวต้องเข้ามาคุมฝ่ายบัญชี-การเงินของที่บ้านช่วยกันกับแม่ และต้องเปลี่ยนชื่อผู้ลงนามจากพ่อเป็น จขกท. แทน เพราะมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แม่ไม่ได้มีชื่อผู้ถือหุ้น แม่จึงมอบให้ จขกท. เป็นผู้มีอำนาจลงนาม แต่คนตัดสินใจเรื่องจ่ายเงิน เดินธุรกิจอย่างไร ยังเป็นแม่คุมค่ะ จขกท. ลงนามตามบทบาทที่ได้รับและเสนอความคิดเห็นบางครั้ง ซึ่งแม่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็สุดแท้แต่ท่านค่ะ เป็นอะไรที่เหนื่อยจนบางช่วงเวลาเกิดอาการท้อ แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทนไป กลางวันทำงานประจำ โชคดีที่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้มีบทบาทอะไร (ไม่ได้อยู่สายบริหารค่ะ) ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่กลางคืน ทำงานเป็นผู้บริหารโรงงาน ต้องลงนามเอกสาร เซ็นเช็ค ตรวจบัญชีการเงิน แต่ยังไม่ลงไปดูฝ่ายต่าง ๆ ทั้งหมด ถ้าลงอีก คงตายไปข้าง ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว
สุดท้าย เคยถามที่บ้านว่าจะเอาอย่างไรกับกิจการที่บ้าน แม่ จขกท. ยังอยากทำต่อ อยากให้ลูกมาบริหาร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้สายงานผลิต ไม่ได้จบสายงานที่โรงงานผลิตเลยค่ะ ใจอยากขายกิจการแต่ติดตรงหนี้สินและเงินที่แม่ไปจมเยอะ แม่อยากถอนทุนคืน ถ้าขายกิจการแบบรวมเงินกู้ยืมกรรมการด้วยก็ไม่มีใครซื้ออีกค่ะ ก่อนหน้านี้ จขกท. เคยบอกแม่ว่าอย่าเอาเงินมรดก+เงินเก็บจากที่ทำงานมาให้พ่อยืม เป็นเงินกู้ยืมกรรมการ แต่แม่กับพ่อเป็นคู่ชีวิตกัน ถ้าพ่อไปไม่ไหว แม่จะคอยสนับสนุนพ่อเสมอ ก็เลยเป็นเช่นนี้ ถ้าเป็นเราคงจะใจแข็งไม่ให้ ถ้าบริษัทจะล้ม ก็จะมาชั่งน้ำหนักก่อน ว่าอันไหนจะคุ้มค่ากว่ากันระหว่างล้ม แต่ยังไม่เสียเงินทองมาก กับยังทนรันกิจการต่อแต่เงินหายไปเยอะ ซึ่งเรื่องในอดีต จขกท. ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว อีกอย่างสมัยที่พ่อยังไม่ป่วย ท่านไม่เคยบอกเรื่องทั้งหมดของบริษัทให้ลูกรู้ ลูกรู้เฉพาะบางเรื่อง เรื่องที่วิกฤติมาก ๆ หรือพ่อไปกู้ยืมเงินใคร มักจะมารู้ทีหลัง หลังจากพ่อดำเนินการไปแล้ว
ท้ายสุด ชีวิต จขกท. คล้าย คุณหนุ่ม มันนี่โค้ช ที่ติดตามฟังบ่อย ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินธุรกิจที่บ้าน อย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ยังโชคดีอยู่อย่าง คือ ตัวเองกับน้องไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกและหลาน หนี้สินส่วนบุคคลของ จขกท. มีแค่ผ่อนรถยนต์ แต่เหลือยอดไม่เยอะ ผ่อนสบายค่ะ มีเงินออมจากเงินเดือนประจำของตัวเองได้มากกว่า 70% ที่เก็บได้เยอะ เพราะเงินเดือนพ่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านแทน จขกท. ค่ะ (แม้พ่อจะไม่ได้ทำงานแล้ว แม่ทำแทน แต่แม่ยังจ่ายเงินเดือนให้พ่อเท่าเดิมอยู่ค่ะ) แถม จขกท. ยังมีทรัพย์สินที่ดินแปลงเปล่าหลายไร่จากมรดกที่พ่อโอนให้หลังป่วย (ถ้าขายได้ คงได้หลายล้านอยู่ค่ะ) ส่วนบ้านที่อยู่ตอนนี้...ถ้าจะถูกยึด กรณีที่บริษัทจะปิดกิจการ แล้วยังจ่ายเงินให้ธนาคารไม่หมด คงปล่อยขายหรือเจรจากับธนาคารขอให้ยึดไปขายทอดตลาดแทน ซึ่ง จขกท. จะอยู่ต่อด้วยเงินเก็บจากที่ทำงานประจำนี่แหละค่ะ ที่จริงเงินเก็บของ จขกท. สามารถไถ่ถอนบ้านได้แล้ว เพียงแต่หากไถ่ถอน เงินเก็บทั้งหมดจะหายหมดเกลี้ยงค่ะ เลยมองไม่เห็นว่า การไถ่ถอนบ้านจะเกิดผลดีกับตัวเองอย่างไร ในเมื่อหาก จขกท. ตาย ไม่มีผู้สืบสันดานอยู่แล้ว น้องอายุห่างกันเพียง 1 ปี ย่อมอยู่ไม่นานเช่นกัน สู้เอาเงินมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลตัวเองจะดีกว่า ด้านน้องยังมีสินทรัพย์คอนโด รถยนต์ แต่ไม่รู้ว่าผ่อนหมดหรือยังนะคะ ส่วนบ้านที่จำนองกับธนาคารไว้ เป็นบ้านที่พ่อแม่ร่วมสร้างกันมาบนพื้นที่หลายตารางวาตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งบริษัทที่บ้าน จะหายไปแทนเท่านั้น และต้องพาพ่อแม่ (หากพวกท่านยังมีชีวิตอยู่) ไปอยู่บ้านเช่าที่ไหนสักแห่งแทน ซึ่งนั้นคงเป็นทางออกสุดท้าย กรณีที่ จขกท. ไม่ไหวจะช่วยโรงงานที่บ้าน แล้วอยากปลดปล่อยพันธนาการหนี้สินนี้นะคะ ทุกวันนี้เหมือนเดอะแบกของครอบครัว ทั้งต้องพาพ่อแม่ไปหาคุณหมอที่ รพ. ต้องหากิจกรรมให้พ่อทำ ต้องดูแลบริษัทของพ่อ ติดต่อทำธุรกรรม รวมทั้งคิดกลยุทธ์ วางแผน ศึกษาข้อมูลธุรกิจ จัดทำเอกสารต่าง ๆ นานา ใครอ่านจนถึงประโยคนี้ ก็ขอขอบคุณที่อ่านจนมาถึงจุดนี้ได้ค่ะ
ป.ล. เผื่อใครสงสัยว่าทำไมไม่ให้น้องลาออกจากงานประจำมาดูแลบริษัทต่อ น้อง จขกท. ปัจจุบันทำงานบริษัทเอกชนที่มั่นคง คิดว่าถ้าบอกหลายคนอาจรู้จัก ปัจจุบันได้เงินเดือนอยู่ที่ 150,000-200,000 บาท แต่งานที่รับผิดชอบหนักมาก (จึงไม่มีเวลามาช่วยธุรกิจที่บ้าน) เป็นตำแหน่งเฉพาะทางด้วย ที่ทราบเงินเดือนน้อง เพราะตอนยื่นเอกสารขอกู้เงิน จขกท. เงินเดือนต่ำเกินที่จะขอกู้วงเงินสูงได้ (ไม่เคยรับเงินเดือนจากบริษัทที่บ้าน ทุกวันนี้ทำฟรี แต่ปีนี้ 2568 แม่เริ่มจะให้เงินเดือน จขกท. แล้วค่ะ) ตอนนั้นเลยใช้เงินเดือนประจำ ที่ทำหน่วยงานรัฐยื่นค่ะ เลยทำให้ต้องมีคนมากู้ร่วม ดังนั้น น้องจึงมากู้ร่วมกับ จขกท. ทั้งนี้ น้องเคยถามคำว่า ถ้าลาออกจากงานประจำของเขาแล้ว โรงงานที่บ้านมีเงินจ่ายให้เขาไหม แล้วจะรอดไปตลอดจนถึงวันที่เขาเกษียณหรือไม่น่ะค่ะ
อยากขอระบายความรู้สึก การรับภาระจากธุรกิจที่บ้านและหนี้สิน
แค่อยากบอกว่า...ตอนนี้ชีวิตเหนื่อย ใช้ความคิดเยอะมากค่ะ ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน พ่อป่วยหนักถึงขั้นต้องเข้า ICU หลายสัปดาห์เกือบเดือน จนผ่านพ้นความตาย (อันนี้คุณหมอบอกเองว่า คนไข้ผ่านจากความตายมาได้ ถ้ามา รพ. ช้ากว่านี้ คือ เสียชีวิตแน่นอนค่ะ) พอพ่อป่วย สมองท่านเริ่มมีอาการเสื่อมตามและไม่สามารถจะบริหารงานต่อได้ ทุกวันนี้ยังต้องเวชศาสตร์ฟื้นฟู กายภาพบำบัดค่ะ ที่นี้ที่บ้านมีธุรกิจโรงงาน (บริษัทจำกัด) ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดกะทันหันพ่อยังไม่ได้ส่งต่อกิจการให้ลูกหรือใคร คือ มั่นใจในตัวเองเสมอ ว่าตัวเองบริหารบริษัทให้ผ่านทุกวิกฤติได้ (โรงงานที่บ้านเคยผ่านเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 2540 ค่ะ) ปี 2540 แม้จะติดหนี้มหาศาล มีหมายศาลมาบ้านหลายฉบับก็ตาม แต่ผ่านเหตุการณ์มาได้ พ่อสามารถไถ่ถอนบ้าน ที่ดินของตัวเองและน้อง ๆ พ่อออกได้หมด ดังนั้น พ่อจึงมีความมั่นใจ + Ego ในตัวเองสูง ว่าตัวเองเท่านั้นที่จะบริหารโรงงานให้รอดได้ค่ะ ซึ่ง จขกท. อยู่ในเหตุการณ์เห็นภาพหมด แต่ตอนนั้นผู้ใหญ่ไม่ให้เรายุ่งและมักรู้ทีหลังจากที่พ่อดำเนินการไปแล้ว ส่วนแม่รู้บ้างไม่รู้บ้าง เพราะเคยได้ยินเสียงพ่อปรึกษาแม่ในห้องส่วนตัวของพวกท่านอยู่ค่ะ
กลับมาปัจจุบัน พอพ่อป่วย จึงเป็นเรื่องกะทันหันสำหรับคนในครอบครัว แม่ต้องลุกขึ้นมาบริหารกิจการที่บ้านแทน เพราะ จขกท. กับน้องยังทำงานประจำ ซึ่งงานประจำที่ จขกท. ทำมั่นคง หน่วยงานรัฐ สวัสดิการดี ค่ารักษาพยาบาลพ่อก็ได้จากองค์กรนี้ช่วยค่ะ ดังนั้น ครอบครัวเราไม่ต้องเสียเงินค่ารักษามาก แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงอยู่ค่ะ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ขอวกกลับมาที่กิจการที่บ้านต่อ พอแม่มาบริหารต่อจากพ่อ จึงทำให้รู้ว่าโรงงานยังมีหนี้จำนวนหนึ่ง จำนวนเงิน 7 หลัก เจ้าหนี้พอรู้ว่าพ่อป่วย ก็เอาหมายศาลมาบังคับอีก จะยึดที่ดินมรดกของพ่อ (อยู่ ตจว.) ซึ่งพ่อรักที่ดินแปลงนี้มาก ดังนั้น จขกท. กับน้องเลยต้องตัดสินใจเอาบ้านที่อยู่ปัจจุบัน (กรุงเทพฯ) ไปจำนอง ซึ่งแน่นอนพ่อโอนบ้านและที่ดินให้ จขกท. เพราะพ่ออายุเกิน แถมป่วยแบบนี้ทำอะไรต่อไม่ได้แล้วค่ะ เพื่อจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้ จากนั้น ให้บริษัทที่บ้านจ่ายหนี้นั้นใช้คืน เพราะเป็นเงินที่พ่อไปขอยืมคนรู้จักเพื่อใช้บริหารกระแสเงินสดในโรงงานค่ะ ส่วนแม่เอาเงินของตัวเองไปจมอยู่ในโรงงานตั้งแต่พ่อยังบริหารช่วงปี 2560 ไล่มา มีสัญญากู้ยืมเงินเก็บไว้อยู่ค่ะ คือ ถ้าโรงงานขาดกระแสเงินสด แม่จะเอาเงินมรดกที่ได้จากคุณตาคุณยาย+เงินเก็บจากการทำงานทั้งชีวิต (ก่อนหน้านี้ แม่ทำงานที่อื่นจนเกษียณ เลยมีเงินจากที่ทำงานเก็บไว้อยู่พอควร) มาช่วยอุดรอยรั่ว แล้วหมุนไปแบบนี้ จนนับ 8 หลักได้
ทุกวันนี้ที่แม่ไม่ยอมเลิกกิจการ เพราะโรงงานยังมีออเดอร์และมีเงินเข้ามาหมุนเวียนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้เยอะจนเรียกว่า มีเงินปันผลได้ คือ นำเงินมาใช้หนี้แม่+หนี้พ่อ (หนี้พ่อที่เป็นชื่อลูก เพราะตอนที่กู้โดยนำบ้านไปจำนอง พ่อแม่อายุเกินที่จะกู้ในนามชื่อเขาได้แล้วค่ะ) ซึ่งแม่ใช้เงินตัวเองให้บริษัทยืม วนเวียนอย่างนี้ตลอดค่ะ
ทั้งนี้ จขกท. เคยไปปรึกษาผู้รู้ด้านธุรกิจ-การเงิน เป็นคุณอาของรุ่นพี่ที่รู้จักกันค่ะ ซึ่งแม่ได้ตามไปด้วย แล้วเจ้าของธุรกิจท่านนั้นถามว่า โรงงานที่ทำมีกำไรไหม จขกท. ตอบทันทีว่า "ไม่" เพราะเห็นแม่ชอบเอาเงินมาซ่อมให้กระแสเงินสดภายในโรงงานยังไปได้ โดยปัจจุบันโรงงานที่บ้านไม่ได้เป็นหนี้สถาบันการเงินใด ๆ หรือจะของพ่อในนามกรรมการผู้จัดการก็ตามค่ะ ยกเว้น เอาบ้านไปจำนองกู้ส่วนบุคคลในนามชื่อลูกแทนค่ะ แต่แม่ตอบว่า "มีกำไร" เพราะแม่มองว่าทุกวันนี้ ยังจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ ยังรันเครื่องจักรได้ ยังซื้อวัตถุดิบได้ ยังมีลูกค้า (แม้ยอดรายได้จะไม่เยอะ เช่น ถ้าจะหายใจได้สะดวก ควรมียอดเท่านี้บาท แต่ยอดขายได้ 2 ใน 3 ที่ควรจะเป็นค่ะ) พ่อแม้ป่วยยังได้รับเงินเดือนจากบริษัท (มีหักภาษี ณ ที่จ่าย ทวิ 50 เรียบร้อย) ซึ่งเงินอันนี้เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน รวมทั้งจ่ายค่าคนดูแลพ่อ ทำให้ จขกท. ไม่ต้องเอาเงินเดือนตัวเองออกมาจ่ายสนับสนุนที่บ้านเลย ยกเว้น ซื้อของกินมาเผื่อหรือซื้อของเครื่องใช้ที่อยากจะซื้อให้เท่านั้น และบริษัทที่บ้านยังจ่ายหนี้แม่ โดยใช้วิธีทยอยจ่ายแม่ได้อยู่ค่ะ
ที่นี้ ด้วยแม่อายุเยอะแล้ว 70 กว่าค่ะ เขามักบ่นว่าเหนื่อยให้เราฟังถี่ขึ้น ต้องนั่งรถไกลไปทำงาน จากบ้านไปโรงงานขาละ 50 กว่ากิโล ไปกลับ 100 กว่ากิโลค่ะ (แต่มีคนขับรถให้นะคะ ที่บ้านจ้างพนักงานขับรถค่ะ) แม้ท่านจะบ่น แต่ยังไปโรงงานอยู่ดี เราเคยบอกว่าให้ใช้โทรศัพท์กับดูกล้องจากที่บ้านแทน แม่ก็ไม่ทำ ต้องไป บอกว่าอยู่ใกล้ชิดพนักงานดีที่สุดในการบริหารงาน หากจะถามว่าทำไมบ้านกับบริษัทจึงอยู่ไกลกัน เพราะโรงงานต้องอยู่ในเขตพื้นที่สีม่วงและพ่อมาทำบริษัทหลังจากที่สร้างบ้านที่อยู่ปัจจุบันแล้ว (สมัยก่อนพ่อเคยทำอาชีพอื่น แล้วลาออกมาบริหารโรงงานแทนค่ะ) อาชีพอื่นของพ่อ รวมทั้งอาชีพที่แม่ทำจนเกษียณอยู่ใกล้บ้านปัจจุบันนี้ค่ะ สมัยนั้นยังไม่มีแผนจะตั้งบริษัท/โรงงานเลยค่ะ
หากถามว่าทำไมเราไม่ลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ เพราะที่บ้านเคยผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง เลยมองกันว่า (ก่อนพ่อป่วยนะคะ) ลูกควรมีงานที่มั่นคงยึดเป็นหลักไว้ก่อน หากกิจการที่บ้านล้มหรือเกิดวิกฤติ ศก. อีก อย่างน้อยลูกยังมีงานทำ มีรายได้แน่นอน ไม่ใช่พังกันไปทั้งหมดค่ะ แต่คิดว่าคงจะได้ลาออกจากงานประจำหรือรู้ชะตาชีวิตตัวเองอีกไม่นาน เพราะแม่คงบริหารไม่ไหว หากอายุ 80 ปีแล้ว เมื่อถึงช่วงเวลานั้น จขกท. อายุ 50 กว่าแล้วเช่นกันค่ะ ยิ่งเหนื่อย เพราะแก่ตัวมาก
ปัจจุบัน จขกท. มาช่วยแม่อีกแรง แต่ช่วยหลังบ้าน หมายถึง ต้องให้โรงงานที่บ้านทำเอกสารฝากแม่มาหรือส่งไฟล์ผ่านไลน์ ต้องสอนให้พนักงานใช้ Google Sheet เพื่อเราสามารถตรวจสอบผ่านออนไลน์ได้ เปลี่ยนจาก Excel เพราะ จขกท. ทำงานประจำเข้าโรงงานที่บ้านไม่ได้ค่ะ บริษัทที่บ้านปิดวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นเดียวกับงานประจำ ส่วนตัวต้องเข้ามาคุมฝ่ายบัญชี-การเงินของที่บ้านช่วยกันกับแม่ และต้องเปลี่ยนชื่อผู้ลงนามจากพ่อเป็น จขกท. แทน เพราะมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แม่ไม่ได้มีชื่อผู้ถือหุ้น แม่จึงมอบให้ จขกท. เป็นผู้มีอำนาจลงนาม แต่คนตัดสินใจเรื่องจ่ายเงิน เดินธุรกิจอย่างไร ยังเป็นแม่คุมค่ะ จขกท. ลงนามตามบทบาทที่ได้รับและเสนอความคิดเห็นบางครั้ง ซึ่งแม่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็สุดแท้แต่ท่านค่ะ เป็นอะไรที่เหนื่อยจนบางช่วงเวลาเกิดอาการท้อ แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทนไป กลางวันทำงานประจำ โชคดีที่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้มีบทบาทอะไร (ไม่ได้อยู่สายบริหารค่ะ) ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่กลางคืน ทำงานเป็นผู้บริหารโรงงาน ต้องลงนามเอกสาร เซ็นเช็ค ตรวจบัญชีการเงิน แต่ยังไม่ลงไปดูฝ่ายต่าง ๆ ทั้งหมด ถ้าลงอีก คงตายไปข้าง ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว
สุดท้าย เคยถามที่บ้านว่าจะเอาอย่างไรกับกิจการที่บ้าน แม่ จขกท. ยังอยากทำต่อ อยากให้ลูกมาบริหาร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้สายงานผลิต ไม่ได้จบสายงานที่โรงงานผลิตเลยค่ะ ใจอยากขายกิจการแต่ติดตรงหนี้สินและเงินที่แม่ไปจมเยอะ แม่อยากถอนทุนคืน ถ้าขายกิจการแบบรวมเงินกู้ยืมกรรมการด้วยก็ไม่มีใครซื้ออีกค่ะ ก่อนหน้านี้ จขกท. เคยบอกแม่ว่าอย่าเอาเงินมรดก+เงินเก็บจากที่ทำงานมาให้พ่อยืม เป็นเงินกู้ยืมกรรมการ แต่แม่กับพ่อเป็นคู่ชีวิตกัน ถ้าพ่อไปไม่ไหว แม่จะคอยสนับสนุนพ่อเสมอ ก็เลยเป็นเช่นนี้ ถ้าเป็นเราคงจะใจแข็งไม่ให้ ถ้าบริษัทจะล้ม ก็จะมาชั่งน้ำหนักก่อน ว่าอันไหนจะคุ้มค่ากว่ากันระหว่างล้ม แต่ยังไม่เสียเงินทองมาก กับยังทนรันกิจการต่อแต่เงินหายไปเยอะ ซึ่งเรื่องในอดีต จขกท. ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว อีกอย่างสมัยที่พ่อยังไม่ป่วย ท่านไม่เคยบอกเรื่องทั้งหมดของบริษัทให้ลูกรู้ ลูกรู้เฉพาะบางเรื่อง เรื่องที่วิกฤติมาก ๆ หรือพ่อไปกู้ยืมเงินใคร มักจะมารู้ทีหลัง หลังจากพ่อดำเนินการไปแล้ว
ท้ายสุด ชีวิต จขกท. คล้าย คุณหนุ่ม มันนี่โค้ช ที่ติดตามฟังบ่อย ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินธุรกิจที่บ้าน อย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ยังโชคดีอยู่อย่าง คือ ตัวเองกับน้องไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกและหลาน หนี้สินส่วนบุคคลของ จขกท. มีแค่ผ่อนรถยนต์ แต่เหลือยอดไม่เยอะ ผ่อนสบายค่ะ มีเงินออมจากเงินเดือนประจำของตัวเองได้มากกว่า 70% ที่เก็บได้เยอะ เพราะเงินเดือนพ่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านแทน จขกท. ค่ะ (แม้พ่อจะไม่ได้ทำงานแล้ว แม่ทำแทน แต่แม่ยังจ่ายเงินเดือนให้พ่อเท่าเดิมอยู่ค่ะ) แถม จขกท. ยังมีทรัพย์สินที่ดินแปลงเปล่าหลายไร่จากมรดกที่พ่อโอนให้หลังป่วย (ถ้าขายได้ คงได้หลายล้านอยู่ค่ะ) ส่วนบ้านที่อยู่ตอนนี้...ถ้าจะถูกยึด กรณีที่บริษัทจะปิดกิจการ แล้วยังจ่ายเงินให้ธนาคารไม่หมด คงปล่อยขายหรือเจรจากับธนาคารขอให้ยึดไปขายทอดตลาดแทน ซึ่ง จขกท. จะอยู่ต่อด้วยเงินเก็บจากที่ทำงานประจำนี่แหละค่ะ ที่จริงเงินเก็บของ จขกท. สามารถไถ่ถอนบ้านได้แล้ว เพียงแต่หากไถ่ถอน เงินเก็บทั้งหมดจะหายหมดเกลี้ยงค่ะ เลยมองไม่เห็นว่า การไถ่ถอนบ้านจะเกิดผลดีกับตัวเองอย่างไร ในเมื่อหาก จขกท. ตาย ไม่มีผู้สืบสันดานอยู่แล้ว น้องอายุห่างกันเพียง 1 ปี ย่อมอยู่ไม่นานเช่นกัน สู้เอาเงินมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลตัวเองจะดีกว่า ด้านน้องยังมีสินทรัพย์คอนโด รถยนต์ แต่ไม่รู้ว่าผ่อนหมดหรือยังนะคะ ส่วนบ้านที่จำนองกับธนาคารไว้ เป็นบ้านที่พ่อแม่ร่วมสร้างกันมาบนพื้นที่หลายตารางวาตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งบริษัทที่บ้าน จะหายไปแทนเท่านั้น และต้องพาพ่อแม่ (หากพวกท่านยังมีชีวิตอยู่) ไปอยู่บ้านเช่าที่ไหนสักแห่งแทน ซึ่งนั้นคงเป็นทางออกสุดท้าย กรณีที่ จขกท. ไม่ไหวจะช่วยโรงงานที่บ้าน แล้วอยากปลดปล่อยพันธนาการหนี้สินนี้นะคะ ทุกวันนี้เหมือนเดอะแบกของครอบครัว ทั้งต้องพาพ่อแม่ไปหาคุณหมอที่ รพ. ต้องหากิจกรรมให้พ่อทำ ต้องดูแลบริษัทของพ่อ ติดต่อทำธุรกรรม รวมทั้งคิดกลยุทธ์ วางแผน ศึกษาข้อมูลธุรกิจ จัดทำเอกสารต่าง ๆ นานา ใครอ่านจนถึงประโยคนี้ ก็ขอขอบคุณที่อ่านจนมาถึงจุดนี้ได้ค่ะ
ป.ล. เผื่อใครสงสัยว่าทำไมไม่ให้น้องลาออกจากงานประจำมาดูแลบริษัทต่อ น้อง จขกท. ปัจจุบันทำงานบริษัทเอกชนที่มั่นคง คิดว่าถ้าบอกหลายคนอาจรู้จัก ปัจจุบันได้เงินเดือนอยู่ที่ 150,000-200,000 บาท แต่งานที่รับผิดชอบหนักมาก (จึงไม่มีเวลามาช่วยธุรกิจที่บ้าน) เป็นตำแหน่งเฉพาะทางด้วย ที่ทราบเงินเดือนน้อง เพราะตอนยื่นเอกสารขอกู้เงิน จขกท. เงินเดือนต่ำเกินที่จะขอกู้วงเงินสูงได้ (ไม่เคยรับเงินเดือนจากบริษัทที่บ้าน ทุกวันนี้ทำฟรี แต่ปีนี้ 2568 แม่เริ่มจะให้เงินเดือน จขกท. แล้วค่ะ) ตอนนั้นเลยใช้เงินเดือนประจำ ที่ทำหน่วยงานรัฐยื่นค่ะ เลยทำให้ต้องมีคนมากู้ร่วม ดังนั้น น้องจึงมากู้ร่วมกับ จขกท. ทั้งนี้ น้องเคยถามคำว่า ถ้าลาออกจากงานประจำของเขาแล้ว โรงงานที่บ้านมีเงินจ่ายให้เขาไหม แล้วจะรอดไปตลอดจนถึงวันที่เขาเกษียณหรือไม่น่ะค่ะ