การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงของบุคคล และความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ได้แสดงให้เห็นว่า คนที่มีส่วนสูงมากกว่า อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งสูงกว่าคนที่มีส่วนสูงน้อยกว่า
หรืออาจจะพูดได้ว่า "
คนที่ตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า"
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้ไม่ได้เกิดจากส่วนสูงโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น เช่น:
1. จำนวนเซลล์ในร่างกาย
- คนที่มีส่วนสูงมากกว่ามักจะมีจำนวนเซลล์ในร่างกายมากกว่า ซึ่งเพิ่มโอกาสที่เซลล์บางส่วนจะเกิดการกลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- มะเร็งเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ ดังนั้นยิ่งมีจำนวนเซลล์มาก โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการนี้ก็เพิ่มขึ้น
2. ฮอร์โมนการเจริญเติบโต
- ระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต เช่น ฮอร์โมน IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1) มีบทบาทสำคัญในช่วงการเจริญเติบโต และอาจกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ ซึ่งในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
3. ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
- พันธุกรรมที่กำหนดความสูงอาจมีความสัมพันธ์กับยีนบางชนิดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร การออกกำลังกาย และการสัมผัสสารเคมี ก็อาจมีบทบาทร่วมด้วย
ประเภทของมะเร็งที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาบางชิ้นพบว่าคนตัวสูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งบางประเภท เช่น:
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งผิวหนัง (melanoma)
ข้อควรระวัง
แม้ว่าความสูงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง แต่ความเสี่ยงต่อมะเร็งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น:
- พฤติกรรมสุขภาพ (เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์)
- อาหารและโภชนาการ
- การออกกำลังกาย
- ประวัติครอบครัว
คำแนะนำ
ไม่ว่าคุณจะมีส่วนสูงเท่าใด การป้องกันมะเร็งสามารถทำได้โดย:
* รักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
* ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
* หลีกเลี่ยงสารที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์
* เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ
การศึกษานี้ มีความสัมพันธ์กับ การศึกษากลไกการป้องกันมะเร็งของสัตว์ในธรรมชาติ (
https://ppantip.com/topic/43195145) ซึ่งพบว่า ยิ่งเป็น
"สัตว์สายพันธุ์ขนาดใหญ่" ก็ยิ่งมีระบบป้องกันมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
"สัตว์สายพันธุ์ขนาดเล็ก" เช่น ช้าง ที่มียีน TP53 (ยีนที่ทำหน้าที่ต้านมะเร็ง) ถึง 20-40 ชุด ในขณะที่มนุษย์มีเพียง 1 ชุด หรือปลาฉลามที่ถึงแม้ไม่ได้มียีน TP53 เท่าช้าง แต่ก็มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งและกลไกการป้องกันความเสียหายของ DNA ที่พัฒนาขึ้นในกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อ
ทีนี้เราลองมาเปรียบเทียบระบบป้องกันมะเร็งของมนุษย์ กับ สัตว์ขนาดเล็ก ดูบ้างครับ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดร่างกายและความเสี่ยงมะเร็ง
- สัตว์ขนาดใหญ่ (รวมถึงมนุษย์):
- สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนเซลล์ในร่างกายมากกว่า ซึ่งตามหลักการควรเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง (เพราะมีโอกาสที่เซลล์จะกลายพันธุ์ได้มากขึ้น) แต่สัตว์ขนาดใหญ่ได้พัฒนากลไกป้องกันมะเร็งเพิ่มเติม เช่น การมีสำเนายีนที่ป้องกันมะเร็งมากกว่า
- สัตว์ขนาดเล็ก:
- สัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู หรือแมลง มีอายุขัยสั้นและมักไม่สะสมความเสียหายของเซลล์ในระยะยาว การกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งจึงมักไม่ส่งผลมากนักในช่วงอายุที่สั้นนี้
- พวกมันอาจไม่มีความจำเป็นต้องพัฒนากลไกป้องกันมะเร็งที่ซับซ้อนเหมือนสัตว์ขนาดใหญ่
2. อายุขัยและมะเร็ง
- สัตว์ที่มีอายุยืน เช่น มนุษย์ ต้องเผชิญกับความเสียหายสะสมในเซลล์และ DNA ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเมื่ออายุมากขึ้น
- สัตว์ที่มีอายุสั้นมักจะตายจากปัจจัยอื่นก่อนที่มะเร็งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ
3. ระบบป้องกันมะเร็ง
- มนุษย์
- ระบบภูมิคุ้มกัน: เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Natural Killer (NK) cells และ T-cells ทำหน้าที่กำจัดเซลล์ผิดปกติหรือเซลล์ที่กลายพันธุ์
- กลไกการซ่อมแซม DNA: มนุษย์มียีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม DNA จำนวนมาก เช่น BRCA1 และ BRCA2 ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เซลล์กลายพันธุ์จะนำไปสู่มะเร็ง
- กลไกเซลล์ตายตามธรรมชาติ (Apoptosis): เซลล์ที่ผิดปกติสามารถถูกทำลายได้ด้วยกระบวนการนี้ก่อนที่มันจะแบ่งตัวและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- สัตว์ขนาดเล็ก
- ระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เล็กอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์ในระดับพื้นฐาน แต่ไม่ได้พัฒนากลไกพิเศษสำหรับป้องกันมะเร็งในระยะยาว
- การวิวัฒนาการของสัตว์เล็กมุ่งเน้นที่การสืบพันธุ์อย่างรวดเร็วมากกว่าการป้องกันโรคในระยะยาว
นั่นหมายถึงว่า มนุษย์และสัตว์ได้วิวัฒนาการระบบป้องกันมะเร็งตามจำนวนเซลล์ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละยุค เพราะความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งย่อมมากขึ้นตามจำนวนเซลล์ที่มากขึ้นเช่นกัน แต่ระบบป้องกันมะเร็งจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของจำนวนเซลล์ของมนุษย์หรือสัตว์ในสายพันธุ์นั้นๆ ดังนั้น
การที่บางคนที่มีจำนวนเซลล์ที่เกินกว่าประสิทธิภาพของระบบป้องกันมะเร็งจะการันตีได้ จึงอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าเช่นนั้นเอง.
คนตัวสูง เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า คนตัวเตี้ย
หรืออาจจะพูดได้ว่า "คนที่ตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่า"
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้ไม่ได้เกิดจากส่วนสูงโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น เช่น:
1. จำนวนเซลล์ในร่างกาย
- คนที่มีส่วนสูงมากกว่ามักจะมีจำนวนเซลล์ในร่างกายมากกว่า ซึ่งเพิ่มโอกาสที่เซลล์บางส่วนจะเกิดการกลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- มะเร็งเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ ดังนั้นยิ่งมีจำนวนเซลล์มาก โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการนี้ก็เพิ่มขึ้น
2. ฮอร์โมนการเจริญเติบโต
- ระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต เช่น ฮอร์โมน IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1) มีบทบาทสำคัญในช่วงการเจริญเติบโต และอาจกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ ซึ่งในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
3. ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
- พันธุกรรมที่กำหนดความสูงอาจมีความสัมพันธ์กับยีนบางชนิดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร การออกกำลังกาย และการสัมผัสสารเคมี ก็อาจมีบทบาทร่วมด้วย
ประเภทของมะเร็งที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาบางชิ้นพบว่าคนตัวสูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งบางประเภท เช่น:
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งผิวหนัง (melanoma)
ข้อควรระวัง
แม้ว่าความสูงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง แต่ความเสี่ยงต่อมะเร็งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น:
- พฤติกรรมสุขภาพ (เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์)
- อาหารและโภชนาการ
- การออกกำลังกาย
- ประวัติครอบครัว
คำแนะนำ
ไม่ว่าคุณจะมีส่วนสูงเท่าใด การป้องกันมะเร็งสามารถทำได้โดย:
* รักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
* ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
* หลีกเลี่ยงสารที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์
* เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ
การศึกษานี้ มีความสัมพันธ์กับ การศึกษากลไกการป้องกันมะเร็งของสัตว์ในธรรมชาติ (https://ppantip.com/topic/43195145) ซึ่งพบว่า ยิ่งเป็น "สัตว์สายพันธุ์ขนาดใหญ่" ก็ยิ่งมีระบบป้องกันมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า "สัตว์สายพันธุ์ขนาดเล็ก" เช่น ช้าง ที่มียีน TP53 (ยีนที่ทำหน้าที่ต้านมะเร็ง) ถึง 20-40 ชุด ในขณะที่มนุษย์มีเพียง 1 ชุด หรือปลาฉลามที่ถึงแม้ไม่ได้มียีน TP53 เท่าช้าง แต่ก็มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งและกลไกการป้องกันความเสียหายของ DNA ที่พัฒนาขึ้นในกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อ
ทีนี้เราลองมาเปรียบเทียบระบบป้องกันมะเร็งของมนุษย์ กับ สัตว์ขนาดเล็ก ดูบ้างครับ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดร่างกายและความเสี่ยงมะเร็ง
- สัตว์ขนาดใหญ่ (รวมถึงมนุษย์):
- สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนเซลล์ในร่างกายมากกว่า ซึ่งตามหลักการควรเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง (เพราะมีโอกาสที่เซลล์จะกลายพันธุ์ได้มากขึ้น) แต่สัตว์ขนาดใหญ่ได้พัฒนากลไกป้องกันมะเร็งเพิ่มเติม เช่น การมีสำเนายีนที่ป้องกันมะเร็งมากกว่า
- สัตว์ขนาดเล็ก:
- สัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู หรือแมลง มีอายุขัยสั้นและมักไม่สะสมความเสียหายของเซลล์ในระยะยาว การกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งจึงมักไม่ส่งผลมากนักในช่วงอายุที่สั้นนี้
- พวกมันอาจไม่มีความจำเป็นต้องพัฒนากลไกป้องกันมะเร็งที่ซับซ้อนเหมือนสัตว์ขนาดใหญ่
2. อายุขัยและมะเร็ง
- สัตว์ที่มีอายุยืน เช่น มนุษย์ ต้องเผชิญกับความเสียหายสะสมในเซลล์และ DNA ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเมื่ออายุมากขึ้น
- สัตว์ที่มีอายุสั้นมักจะตายจากปัจจัยอื่นก่อนที่มะเร็งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ
3. ระบบป้องกันมะเร็ง
- มนุษย์
- ระบบภูมิคุ้มกัน: เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Natural Killer (NK) cells และ T-cells ทำหน้าที่กำจัดเซลล์ผิดปกติหรือเซลล์ที่กลายพันธุ์
- กลไกการซ่อมแซม DNA: มนุษย์มียีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม DNA จำนวนมาก เช่น BRCA1 และ BRCA2 ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เซลล์กลายพันธุ์จะนำไปสู่มะเร็ง
- กลไกเซลล์ตายตามธรรมชาติ (Apoptosis): เซลล์ที่ผิดปกติสามารถถูกทำลายได้ด้วยกระบวนการนี้ก่อนที่มันจะแบ่งตัวและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- สัตว์ขนาดเล็ก
- ระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เล็กอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์ในระดับพื้นฐาน แต่ไม่ได้พัฒนากลไกพิเศษสำหรับป้องกันมะเร็งในระยะยาว
- การวิวัฒนาการของสัตว์เล็กมุ่งเน้นที่การสืบพันธุ์อย่างรวดเร็วมากกว่าการป้องกันโรคในระยะยาว
นั่นหมายถึงว่า มนุษย์และสัตว์ได้วิวัฒนาการระบบป้องกันมะเร็งตามจำนวนเซลล์ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละยุค เพราะความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งย่อมมากขึ้นตามจำนวนเซลล์ที่มากขึ้นเช่นกัน แต่ระบบป้องกันมะเร็งจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของจำนวนเซลล์ของมนุษย์หรือสัตว์ในสายพันธุ์นั้นๆ ดังนั้น การที่บางคนที่มีจำนวนเซลล์ที่เกินกว่าประสิทธิภาพของระบบป้องกันมะเร็งจะการันตีได้ จึงอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าเช่นนั้นเอง.