จุลพงษ์ บี้ รองปลัดมท. เพิกถอนสิทธิที่ดินอัลไพน์ ส่งคืนให้วัด ขู่ ระวังเจอคุก หากยังเฉย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5004400
จุลพงษ์ บี้ รองปลัดมท. เพิกถอนสิทธิที่ดินอัลไพน์ ส่งคืนให้วัด ขู่ระวังเจอคุกหากยังเฉย เล็งตั้งกระทู้ถาม อนุทิน
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
จุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงว่า ตนขอเตือนไปยังนาย
ชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดมหาดไทย ที่รับผิดชอบกรณีที่ดินอัลไพน์ สั่งการเพิกถอนการขายที่ดินระหว่าง มูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดก ของนาง
เนื่อม ชำนาญชาติศักดา กับกลุ่มบริษัทอัลไพน์ ในฐานะผู้ซื้อโดยเร็ว โดยจะใช้วิธีตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเหมือนกรณีที่ดินเขากระโดงไม่ได้แล้ว เพราะอธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบันเคยให้สัมภาษณ์ว่ากรณีเขากระโดงไม่เหมือนกรณีที่ดินอัลไพน์ ซึ่งหมายความว่ากรณีเขากระโดงเป็นการออกโฉนดและเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ต่างจากกรณีที่ดินอัลไพน์เพราะเป็นเรื่องของการเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน
นาย
จุลพงษ์กล่าวว่า จากที่นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.รมว.มหาดไทย ออกมายอมรับว่า นาย
ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรมช.มหาดไทย เคยลงนามให้มหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย คือเห็นชอบการเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการโดยขายที่ดิน โดยมีการอ้างถึงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของธรณีสงฆ์จึงโอนขายเชิงพาณิชย์ไม่ได้ และนาย
ชาดาได้ลงนามไปตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2567 ก่อนที่จะพ้นตำแหน่งรมช.มหาดไทย อีกทั้งล่าสุดปลัดมหาดไทยยังให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของนาย
ชำนาญวิทย์ แต่ตอนนี้นาย
ชำนาญวิทย์ก็ยังไม่ออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งของอดีตรองปลัดมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งตนเป็นห่วงว่านาย
ชาญวิทย์กำลังสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดตามมาตรา 49 -54 เรื่องการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ปี 2539 ที่บัญญัติ“ ต้องเพิกถอนคำสั่งที่ออกมาเพื่อ เพราะมีการชักจูงโดยการให้ประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”ฃเพราะคำสั่งของอดีตรองปลัดมหาดไทยคนดังกล่าว ทางศาลอาญาทุจริตฯวินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นตามกฎหมายแล้วนาย
ชำนาญวิทย์ต้องยกเลิกคำสั่งที่มิชอบได้เองโดยไม่ต้องมีผู้ร้องหรือให้รัฐมนตรีสั่งการแต่อย่างใด
“
ผมขอเตือนไปยังนายชำนาญวิทย์ว่าท่านต้องรีบเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เพื่อให้ที่ดินที่เป็นธรณีสงฆ์ตามความเห็นของกรรมการกฤษฏีกา กลับมาเป็นของวัดธรรมิการามวรวิหาร ตามพินัยกรรมของยายเนื่อม และอาจจะรวมไปถึงปลัดมหาดไทยที่หากไม่ดำเนินการ โดยคิดว่าแม่นยำในข้อกฎหมาย และระเบียบราชการคงไม่มีใครทำท่านได้ ผมขอให้ดูกรณีอดีตรองปลัดมหาดไทยเป็นตัวอย่าง ที่ถูกลงโทษจำคุ2 ปี และหากนายชาญวิทย์ยังละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อาจเจอข้อหาดังกล่าวเช่นกัน ในส่วนของสภาฯ หากข้าราชการประจำไม่ขยับ คือไม่ทำอะไรเลยภายใน2-3 เดือนจากนี้ ผมจะตั้งกระทู้ถามนายอนุทิน ว่าสั่งให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติตามกฎหมายในกรณีที่ดินอัลไพน์อย่างไร” นาย
จุลพงษ์ กล่าว
ปชน. จี้รัฐ จัดการขอทานต่างด้าว พาเด็กเล็กเร่หากิน อาจเข้าข่ายค้ามนุษย์-กระทบท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5004261
สส.ปชน. จี้รัฐ จัดการขอทานต่างด้าว ย่านอโศก-นานา พาเด็กเล็กมาเรียกความสงสาร สงสัยเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือไม่ อาจเข้าข่ายค้ามนุษย์ กระทบการท่องเที่ยว แฉได้เงินวันละ 1-2 พัน ใช้ไอโฟน รุ่นใหม่
เวลา 10.00 น. วันที่ 17 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน แถลงกรณีเด็กขอทานต่างด้าว ย่านอโศก – นานา ว่า ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพราะมีจำนวนมาก โดยเรื่องนี้ทาง กทม.และกระทวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ และตนก็เคยลงพื้นที่หลายครั้งจากข้อร้องเรียนของประชาชน โดยได้พบว่าในพื้นที่พบว่ามีขอทานเด็กต่างด้าว ซึ่งมีการอุ้มเด็กอ่อน อายุประมาณ 1 เดือนมาเพื่อเรียกคะแนนสงสาร
และมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะภาวะเศรษฐกิจซึ่งหลายครั้งมีการแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีการแก้แบบผักชีโรยหน้า พอไปจับทีก็วิ่งหนีกันที ซึ่งไม่ค่อยปลอดภัยกับเด็กเล็กมากนักเพราะว่าคนที่วิ่งอาจจะเป็นผู้สูงอายุ อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหน้าแน่น
นาย
ภัณฑิล กล่าวต่อว่า ตนเคยไปสอบถามเด็กขอทานต่างด้าวส่วนใหญ่เป็นสัณชาติกัมพูชา โดยผู้สูงอายุอาจจะอ้างว่าเป็นย่า ยาย ป้า พาเด็กมาขอทาน แต่ไม่แน่ใจว่ามีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดหรือไม่ ซึ่งการพาเด็กพาขอทานถือว่าผิด พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ขอทาน หรือ พ.ร.บ.เรี่ยไร โดยพามาอยู่ตามแยกอโศก -นานา ใกล้กับบันไดรถไฟฟ้า อาจจะเป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่ และขอทานต่างด้าวเหล้านี้มีความผิดในการเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย อาจจะอยู่เดิน 3เดือรแล้ว และเรื่องนี้เทศกิจ ลงไปตรวจสอบหลายครั้ง เพราะไม่สามารถขายของบนทางเท้าได้
นอกจากนั้น ยังมีการร้องเรียนว่า ขอทานเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวถูกล้วงกระเป๋า โดยการฉุดกระชาก และใช้เด็กเล็กเป็นเครื่องมือ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่สามารถที่จะปฏิเสธหรือใช้กำลังกับเด็กได้ นอกจากนี้ ชาวมุสลิมก็ร้องเรียนมาว่าบางที่ขอทานเหล่านี้ใช้ผ้าคลุมหัว ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นมุสลิมจริงหรือไม่
นาย
ภัณฑิล กล่าวว่า ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและส่งกลับประเทศต้นทาง แต่ก็กลับมาอีก ดังนั้นอาจจะต้องมีการตรวจดีเอ็นเอว่าเป็น แม่ลูกกันจริงหรือไม่ รวมถึงเราต้องให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพราะเด็กอาจจะต้องได้การเข้าถึงด้านสาธาณณสุขและการศึกษา
ไม่ใช่มาอยู่ตอนกลางคืนบนท้องถนน เพราะเกิดความไม่ปลอดภัยกับตัวเด็ก และรมว.พัฒนาสังคมฯ ก็เคยพูดว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ต้องแก้ พ.ร.บ.เรี่ยไร ว่าคนให้อาจจะเข้าข่าย ส่งเสริมให้มีการค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่ถ้าหยุดการใหญ่คิดว่าขอทานคงจะน้อยลง และเขาเข้ามาทำเป็นอาชีพ เป้นขบวนการ
จึงขอให้ตรวจสอบด้วยว่าเป็นการค้ามนุษย์หรือไม่ เพราะวันหนึ่งได้เงิน 2,000-3,000 บาท ใช้โทรศัพท์ไอโฟน รุ่นใหม่กว่าเราอีก หากประชาชนช่วยกันตรวจสอบ ไม่ให้เงิน ก็จะทำให้เขาลำบากมากขึ้น ดังนั้นหน่วยงานต้องบูรณาการร่วมกันในการแก้ปัญหา
นาย
ภัณฑิล กล่าวต่อว่า เรื่องนี้จะกระทบต่อการเปิดกาสิโน ที่ท่าเรือคลองเตย เพราะเป็นยานที่เชื่อมต่อกัน มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งที่เรายังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เลย มีการเอาเด็กพวกนี้มาอย่างเป็นขบวนการ ในอนาคตเราจะจัดการอย่างไร หากมีทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาฟอกเงินอย่างเป็นทางการ
เรามีกฎหมายรองรับแล้วหรือยัง คิดถึงผลกระทบทางสังคมหรือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงการลงทุนของเอกชน ที่มีแหล่งที่ตั้งในเขตสุขุมวิท เขตวัฒนา เขตคลองเตย ก็มีข้อกังวลในเรื่องการเปิดบ่อนกาสิโนว่า จะมีการเก็บปากถุงหรือไม่ จากนักการเมือง และหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต
ไทยวืดแชมป์ครั้งแรก จีนหันเที่ยวญี่ปุ่นมากสุด หลัง 'ซิง ซิง' เอฟเฟ็กต์ ยอดวูบ 10%.
https://www.khaosod.co.th/economics/news_9592910
ไทยวืดแชมป์ครั้งแรก จีนหันเที่ยวญี่ปุ่นมากสุด หลัง ‘ซิง ซิง’ เอฟเฟ็กต์ ยอดวูบ 10% เตรียมจัดใหญ่ เฉลิมฉลอง 50 ปี ไทย-จีน กระตุ้นท่องเที่ยว
วันที่ 16 ม.ค. 2568 น.ส.ภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแผนและเป้าหมายตลาดปี 2568 หลังนางสรวงส์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยว ได้ยกระดับเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน และผลกระทบจากกรณีนักแสดงนายหวัง ซิง (ซิง ซิง) นักแสดงชาวจีน ที่หายไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา คาดจะกระทบเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนลดลง 10% ในช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ ททท.เตรียมแถลงการณ์เน้นย้ำความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวไม่ใช่เป้าหมายการหลอกลวงของขบวนการค้ามนุษย์ เพราะขบวนการหลอกลวงคนมาทำงานทำเป็นกระบวนการ ซึ่ง ททท.และรัฐบาลย้ำเสมอว่า นักท่องเที่ยวยังคงเที่ยวไทยได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นจากนี้ ททท.จะพยายามผลักดันกิจกรรมที่จะสนับสนุนการเฉลิมฉลอง 50 ปี ไทย-จีน ให้ยิ่งใหญ่และชัดเจนยิ่งขึ้น
น.ส.ภัทรอนงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดที่ ททท.จะกระตุ้นเพื่อเป็นตลาดที่จะสามารถชดเชยตลาดจีน ที่ปีนี้ตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 8 ล้านคน โดยตลาดเป้าหมายหลายตลาดที่จะเร่งกระตุ้น คือ ตลาดเกาหลี ที่เมื่อปี 2567 มีการฟื้นตัวชัดเจน มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าไทยประมาณ 1.8 ล้านคน
ดังนั้น ในปี 2568 เป้าหมายตลาดนักท่องเที่ยวเกาหลี จะตั้งไว้ที่ 2 ล้านคน ตลาดเกาหลีเป็นไปได้ไม่ยากเพราะมีเที่ยวบินบินตรงไปหลายพื้นที่นอกจากกรุงเทพฯ อาทิ เชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนตลาดญี่ปุ่นปี 2567 ตั้งเป้าไว้ที่ 8.9 ล้านคน แต่มีการฟื้นตัวกลับมา ทะลุ 1 ล้านคนไปแล้ว ดังนั้น จะมีการปรับเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น
สำหรับข้อมูลล่าสุดจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า จำนวนชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 6.98 ล้านคน ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเที่ยวไทยประมาณ 6.73 ล้านคน ซึ่งถือว่าไทยได้เสียแชมป์ประเทศที่จีนเดินทางท่องเที่ยวมากสุดให้ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
JJNY : จุลพงษ์บี้มท.เพิกถอนสิทธิอัลไพน์│ปชน.จี้รัฐจัดการขอทานต่างด้าว│ไทยวืดแชมป์ จีนหันเที่ยวญี่ปุ่น│จีนกุมขมับ! ตายแซง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5004400
จุลพงษ์ บี้ รองปลัดมท. เพิกถอนสิทธิที่ดินอัลไพน์ ส่งคืนให้วัด ขู่ระวังเจอคุกหากยังเฉย เล็งตั้งกระทู้ถาม อนุทิน
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 มกราคม ที่รัฐสภา นายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงว่า ตนขอเตือนไปยังนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดมหาดไทย ที่รับผิดชอบกรณีที่ดินอัลไพน์ สั่งการเพิกถอนการขายที่ดินระหว่าง มูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดก ของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา กับกลุ่มบริษัทอัลไพน์ ในฐานะผู้ซื้อโดยเร็ว โดยจะใช้วิธีตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเหมือนกรณีที่ดินเขากระโดงไม่ได้แล้ว เพราะอธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบันเคยให้สัมภาษณ์ว่ากรณีเขากระโดงไม่เหมือนกรณีที่ดินอัลไพน์ ซึ่งหมายความว่ากรณีเขากระโดงเป็นการออกโฉนดและเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ต่างจากกรณีที่ดินอัลไพน์เพราะเป็นเรื่องของการเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน
นายจุลพงษ์กล่าวว่า จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.รมว.มหาดไทย ออกมายอมรับว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรมช.มหาดไทย เคยลงนามให้มหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย คือเห็นชอบการเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการโดยขายที่ดิน โดยมีการอ้างถึงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของธรณีสงฆ์จึงโอนขายเชิงพาณิชย์ไม่ได้ และนายชาดาได้ลงนามไปตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2567 ก่อนที่จะพ้นตำแหน่งรมช.มหาดไทย อีกทั้งล่าสุดปลัดมหาดไทยยังให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของนายชำนาญวิทย์ แต่ตอนนี้นายชำนาญวิทย์ก็ยังไม่ออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งของอดีตรองปลัดมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งตนเป็นห่วงว่านายชาญวิทย์กำลังสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดตามมาตรา 49 -54 เรื่องการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ปี 2539 ที่บัญญัติ“ ต้องเพิกถอนคำสั่งที่ออกมาเพื่อ เพราะมีการชักจูงโดยการให้ประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”ฃเพราะคำสั่งของอดีตรองปลัดมหาดไทยคนดังกล่าว ทางศาลอาญาทุจริตฯวินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นตามกฎหมายแล้วนายชำนาญวิทย์ต้องยกเลิกคำสั่งที่มิชอบได้เองโดยไม่ต้องมีผู้ร้องหรือให้รัฐมนตรีสั่งการแต่อย่างใด
“ผมขอเตือนไปยังนายชำนาญวิทย์ว่าท่านต้องรีบเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เพื่อให้ที่ดินที่เป็นธรณีสงฆ์ตามความเห็นของกรรมการกฤษฏีกา กลับมาเป็นของวัดธรรมิการามวรวิหาร ตามพินัยกรรมของยายเนื่อม และอาจจะรวมไปถึงปลัดมหาดไทยที่หากไม่ดำเนินการ โดยคิดว่าแม่นยำในข้อกฎหมาย และระเบียบราชการคงไม่มีใครทำท่านได้ ผมขอให้ดูกรณีอดีตรองปลัดมหาดไทยเป็นตัวอย่าง ที่ถูกลงโทษจำคุ2 ปี และหากนายชาญวิทย์ยังละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อาจเจอข้อหาดังกล่าวเช่นกัน ในส่วนของสภาฯ หากข้าราชการประจำไม่ขยับ คือไม่ทำอะไรเลยภายใน2-3 เดือนจากนี้ ผมจะตั้งกระทู้ถามนายอนุทิน ว่าสั่งให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติตามกฎหมายในกรณีที่ดินอัลไพน์อย่างไร” นายจุลพงษ์ กล่าว
ปชน. จี้รัฐ จัดการขอทานต่างด้าว พาเด็กเล็กเร่หากิน อาจเข้าข่ายค้ามนุษย์-กระทบท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5004261
สส.ปชน. จี้รัฐ จัดการขอทานต่างด้าว ย่านอโศก-นานา พาเด็กเล็กมาเรียกความสงสาร สงสัยเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือไม่ อาจเข้าข่ายค้ามนุษย์ กระทบการท่องเที่ยว แฉได้เงินวันละ 1-2 พัน ใช้ไอโฟน รุ่นใหม่
เวลา 10.00 น. วันที่ 17 มกราคม ที่รัฐสภา นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน แถลงกรณีเด็กขอทานต่างด้าว ย่านอโศก – นานา ว่า ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพราะมีจำนวนมาก โดยเรื่องนี้ทาง กทม.และกระทวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ และตนก็เคยลงพื้นที่หลายครั้งจากข้อร้องเรียนของประชาชน โดยได้พบว่าในพื้นที่พบว่ามีขอทานเด็กต่างด้าว ซึ่งมีการอุ้มเด็กอ่อน อายุประมาณ 1 เดือนมาเพื่อเรียกคะแนนสงสาร
และมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะภาวะเศรษฐกิจซึ่งหลายครั้งมีการแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีการแก้แบบผักชีโรยหน้า พอไปจับทีก็วิ่งหนีกันที ซึ่งไม่ค่อยปลอดภัยกับเด็กเล็กมากนักเพราะว่าคนที่วิ่งอาจจะเป็นผู้สูงอายุ อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหน้าแน่น
นายภัณฑิล กล่าวต่อว่า ตนเคยไปสอบถามเด็กขอทานต่างด้าวส่วนใหญ่เป็นสัณชาติกัมพูชา โดยผู้สูงอายุอาจจะอ้างว่าเป็นย่า ยาย ป้า พาเด็กมาขอทาน แต่ไม่แน่ใจว่ามีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดหรือไม่ ซึ่งการพาเด็กพาขอทานถือว่าผิด พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ขอทาน หรือ พ.ร.บ.เรี่ยไร โดยพามาอยู่ตามแยกอโศก -นานา ใกล้กับบันไดรถไฟฟ้า อาจจะเป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่ และขอทานต่างด้าวเหล้านี้มีความผิดในการเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย อาจจะอยู่เดิน 3เดือรแล้ว และเรื่องนี้เทศกิจ ลงไปตรวจสอบหลายครั้ง เพราะไม่สามารถขายของบนทางเท้าได้
นอกจากนั้น ยังมีการร้องเรียนว่า ขอทานเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวถูกล้วงกระเป๋า โดยการฉุดกระชาก และใช้เด็กเล็กเป็นเครื่องมือ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่สามารถที่จะปฏิเสธหรือใช้กำลังกับเด็กได้ นอกจากนี้ ชาวมุสลิมก็ร้องเรียนมาว่าบางที่ขอทานเหล่านี้ใช้ผ้าคลุมหัว ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นมุสลิมจริงหรือไม่
นายภัณฑิล กล่าวว่า ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและส่งกลับประเทศต้นทาง แต่ก็กลับมาอีก ดังนั้นอาจจะต้องมีการตรวจดีเอ็นเอว่าเป็น แม่ลูกกันจริงหรือไม่ รวมถึงเราต้องให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพราะเด็กอาจจะต้องได้การเข้าถึงด้านสาธาณณสุขและการศึกษา
ไม่ใช่มาอยู่ตอนกลางคืนบนท้องถนน เพราะเกิดความไม่ปลอดภัยกับตัวเด็ก และรมว.พัฒนาสังคมฯ ก็เคยพูดว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ต้องแก้ พ.ร.บ.เรี่ยไร ว่าคนให้อาจจะเข้าข่าย ส่งเสริมให้มีการค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่ถ้าหยุดการใหญ่คิดว่าขอทานคงจะน้อยลง และเขาเข้ามาทำเป็นอาชีพ เป้นขบวนการ
จึงขอให้ตรวจสอบด้วยว่าเป็นการค้ามนุษย์หรือไม่ เพราะวันหนึ่งได้เงิน 2,000-3,000 บาท ใช้โทรศัพท์ไอโฟน รุ่นใหม่กว่าเราอีก หากประชาชนช่วยกันตรวจสอบ ไม่ให้เงิน ก็จะทำให้เขาลำบากมากขึ้น ดังนั้นหน่วยงานต้องบูรณาการร่วมกันในการแก้ปัญหา
นายภัณฑิล กล่าวต่อว่า เรื่องนี้จะกระทบต่อการเปิดกาสิโน ที่ท่าเรือคลองเตย เพราะเป็นยานที่เชื่อมต่อกัน มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งที่เรายังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เลย มีการเอาเด็กพวกนี้มาอย่างเป็นขบวนการ ในอนาคตเราจะจัดการอย่างไร หากมีทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาฟอกเงินอย่างเป็นทางการ
เรามีกฎหมายรองรับแล้วหรือยัง คิดถึงผลกระทบทางสังคมหรือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงการลงทุนของเอกชน ที่มีแหล่งที่ตั้งในเขตสุขุมวิท เขตวัฒนา เขตคลองเตย ก็มีข้อกังวลในเรื่องการเปิดบ่อนกาสิโนว่า จะมีการเก็บปากถุงหรือไม่ จากนักการเมือง และหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต
ไทยวืดแชมป์ครั้งแรก จีนหันเที่ยวญี่ปุ่นมากสุด หลัง 'ซิง ซิง' เอฟเฟ็กต์ ยอดวูบ 10%.
https://www.khaosod.co.th/economics/news_9592910
ไทยวืดแชมป์ครั้งแรก จีนหันเที่ยวญี่ปุ่นมากสุด หลัง ‘ซิง ซิง’ เอฟเฟ็กต์ ยอดวูบ 10% เตรียมจัดใหญ่ เฉลิมฉลอง 50 ปี ไทย-จีน กระตุ้นท่องเที่ยว
วันที่ 16 ม.ค. 2568 น.ส.ภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแผนและเป้าหมายตลาดปี 2568 หลังนางสรวงส์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยว ได้ยกระดับเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน และผลกระทบจากกรณีนักแสดงนายหวัง ซิง (ซิง ซิง) นักแสดงชาวจีน ที่หายไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา คาดจะกระทบเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนลดลง 10% ในช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ ททท.เตรียมแถลงการณ์เน้นย้ำความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวไม่ใช่เป้าหมายการหลอกลวงของขบวนการค้ามนุษย์ เพราะขบวนการหลอกลวงคนมาทำงานทำเป็นกระบวนการ ซึ่ง ททท.และรัฐบาลย้ำเสมอว่า นักท่องเที่ยวยังคงเที่ยวไทยได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นจากนี้ ททท.จะพยายามผลักดันกิจกรรมที่จะสนับสนุนการเฉลิมฉลอง 50 ปี ไทย-จีน ให้ยิ่งใหญ่และชัดเจนยิ่งขึ้น
น.ส.ภัทรอนงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดที่ ททท.จะกระตุ้นเพื่อเป็นตลาดที่จะสามารถชดเชยตลาดจีน ที่ปีนี้ตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 8 ล้านคน โดยตลาดเป้าหมายหลายตลาดที่จะเร่งกระตุ้น คือ ตลาดเกาหลี ที่เมื่อปี 2567 มีการฟื้นตัวชัดเจน มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าไทยประมาณ 1.8 ล้านคน
ดังนั้น ในปี 2568 เป้าหมายตลาดนักท่องเที่ยวเกาหลี จะตั้งไว้ที่ 2 ล้านคน ตลาดเกาหลีเป็นไปได้ไม่ยากเพราะมีเที่ยวบินบินตรงไปหลายพื้นที่นอกจากกรุงเทพฯ อาทิ เชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนตลาดญี่ปุ่นปี 2567 ตั้งเป้าไว้ที่ 8.9 ล้านคน แต่มีการฟื้นตัวกลับมา ทะลุ 1 ล้านคนไปแล้ว ดังนั้น จะมีการปรับเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น
สำหรับข้อมูลล่าสุดจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า จำนวนชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 6.98 ล้านคน ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเที่ยวไทยประมาณ 6.73 ล้านคน ซึ่งถือว่าไทยได้เสียแชมป์ประเทศที่จีนเดินทางท่องเที่ยวมากสุดให้ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก