ครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นศักราชใหม่ 2568 และเกือบได้เสียเงินแล้วครับ มูลค่าความเสียหายก็เกือบ ๆ หมื่นเหมือนกัน แถมเป็นเงินในอนาคตด้วย
วันนั้นผมนอนกลางวัน ใกล้บ่ายโมงเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมตื่นมารับสายแบบสะลึมสะลือ
เห็นเบอร์แว้บ ๆ ว่าน่าจะเป็นเบอร์มือถือ ปลายสายบอกว่าโปรโมชั่นเสริมที่เป็นประกันชีวิตที่ผูกไว้กับบัตรเครดิตใกล้หมดอายุแล้ว
เขาเหมือนจะหลุดว่าบัตรที่ผมถือเป็นบัตรของธนาคารสีทอง ผมที่ว่าสติสตังยังมาไม่ครบก็เถียงเค้าไปนะ
บอกว่าผมไม่ได้ถือบัตรนี้นะ เขาก็ตัดบทประมาณว่าช่างเถอะบัตรที่คุณถืออยู่นั้นแหละ
ผมก็พยายามคิดคำตอบให้ตัวเองว่า อาจเป็นตัวแทนบริษัทประกันที่ผูกไว้กับบัตรผมจริง ๆ
ทีนี้คุยไปคุยมาเขาถามหาที่อยู่จัดส่งเอกสาร ที่อยู่ที่เขามีในมือเป็นที่อยู่ที่เพิ่งอัปเดตตอนผมไปทำงานอยู่อีกที่หนึ่ง
ไม่ใช่ที่อยู่ในใบแจ้งหนี้ (ผมให้เขาออกบิลอิล็กทรอนิกส์) ผมก็บอกที่อยู่ใหม่ให้เขาไปนะ เออคนเรา
เขาแจงยอดที่ต้องมีโผล่มาในบิล แจ้งว่าไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เดี๋ยวเดือนต่อไปมันจะรีฟันด์แล้วยอดจะหายไป
ผมก็คิดตามนะ ถ้ามันจะโผล่มาเฉย ๆ แล้วหายไป มันต้องโผล่มาทำไม มันแค่แจงรายการมาในรอบบิลเดียวก็ได้
เพิ่มมาซักอีก 2 บรรทัดคงไม่เปลืองมั้ง
แต่ก็ไม่อะไร แต่ทีนี้มาถึงจุดที่ดึงสติผมได้ คือ เขาถามหาเลขบัตร ความหมายของผมคือคิดแค่อย่างเดียว
กุต้องเสียตังค์ใช่มั้ย ช่วงนี้ไม่มีตังค์อยู่ด้วย สติเลยมา ผมถามเขากลับว่าถ้ามีข้อมูลผมอยู่ในมือ ทำไมต้องถาม
เขาบอกว่ามันจะผิดกฎ PDPA อะไรของเขานั่นแหละ ผมเริ่มคิด ถ้าบอกว่ารีฟันด์ แล้วไม่รีฟันด์ คนที่เราจะต้องทะเลาะด้วยก็คงเป็นบริษัทแจ้งของบัตร
เสียเวลา ดีไม่ดีจะไม่มีบัตรใช้เอา
ผมเลยตัดบท บอกว่า ผมขอปรึกษาบริษัทบัตรก่อน เขาก็วางสายไป
แล้วผมก็โทรหา cc ของบัตรเลย เขาก็แนะนำดี ตอนนี้ผมจับต้นชนปลายได้หมดแล้ว
ตอนนี้ยอมรับแล้วว่าตัวเองโง่แล้ว มีอย่างที่ไหน ใช้บัตรมาก็นานไม่เคยได้ยินว่ามีพ่วงประกัน แล้วก็ฟังเค้าพูดจนจะจบ
ดีที่ช่วงนี้จน จะหยิบจับอะไรเลยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่งั้นได้เสียตังค์แน่ ๆ
เกือบได้เสียเงินในอนาคตให้มิจฉาชีพ ไม่เจอเองไม่รู้หรอกของจริง
วันนั้นผมนอนกลางวัน ใกล้บ่ายโมงเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมตื่นมารับสายแบบสะลึมสะลือ
เห็นเบอร์แว้บ ๆ ว่าน่าจะเป็นเบอร์มือถือ ปลายสายบอกว่าโปรโมชั่นเสริมที่เป็นประกันชีวิตที่ผูกไว้กับบัตรเครดิตใกล้หมดอายุแล้ว
เขาเหมือนจะหลุดว่าบัตรที่ผมถือเป็นบัตรของธนาคารสีทอง ผมที่ว่าสติสตังยังมาไม่ครบก็เถียงเค้าไปนะ
บอกว่าผมไม่ได้ถือบัตรนี้นะ เขาก็ตัดบทประมาณว่าช่างเถอะบัตรที่คุณถืออยู่นั้นแหละ
ผมก็พยายามคิดคำตอบให้ตัวเองว่า อาจเป็นตัวแทนบริษัทประกันที่ผูกไว้กับบัตรผมจริง ๆ
ทีนี้คุยไปคุยมาเขาถามหาที่อยู่จัดส่งเอกสาร ที่อยู่ที่เขามีในมือเป็นที่อยู่ที่เพิ่งอัปเดตตอนผมไปทำงานอยู่อีกที่หนึ่ง
ไม่ใช่ที่อยู่ในใบแจ้งหนี้ (ผมให้เขาออกบิลอิล็กทรอนิกส์) ผมก็บอกที่อยู่ใหม่ให้เขาไปนะ เออคนเรา
เขาแจงยอดที่ต้องมีโผล่มาในบิล แจ้งว่าไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เดี๋ยวเดือนต่อไปมันจะรีฟันด์แล้วยอดจะหายไป
ผมก็คิดตามนะ ถ้ามันจะโผล่มาเฉย ๆ แล้วหายไป มันต้องโผล่มาทำไม มันแค่แจงรายการมาในรอบบิลเดียวก็ได้
เพิ่มมาซักอีก 2 บรรทัดคงไม่เปลืองมั้ง
แต่ก็ไม่อะไร แต่ทีนี้มาถึงจุดที่ดึงสติผมได้ คือ เขาถามหาเลขบัตร ความหมายของผมคือคิดแค่อย่างเดียว
กุต้องเสียตังค์ใช่มั้ย ช่วงนี้ไม่มีตังค์อยู่ด้วย สติเลยมา ผมถามเขากลับว่าถ้ามีข้อมูลผมอยู่ในมือ ทำไมต้องถาม
เขาบอกว่ามันจะผิดกฎ PDPA อะไรของเขานั่นแหละ ผมเริ่มคิด ถ้าบอกว่ารีฟันด์ แล้วไม่รีฟันด์ คนที่เราจะต้องทะเลาะด้วยก็คงเป็นบริษัทแจ้งของบัตร
เสียเวลา ดีไม่ดีจะไม่มีบัตรใช้เอา
ผมเลยตัดบท บอกว่า ผมขอปรึกษาบริษัทบัตรก่อน เขาก็วางสายไป
แล้วผมก็โทรหา cc ของบัตรเลย เขาก็แนะนำดี ตอนนี้ผมจับต้นชนปลายได้หมดแล้ว
ตอนนี้ยอมรับแล้วว่าตัวเองโง่แล้ว มีอย่างที่ไหน ใช้บัตรมาก็นานไม่เคยได้ยินว่ามีพ่วงประกัน แล้วก็ฟังเค้าพูดจนจะจบ
ดีที่ช่วงนี้จน จะหยิบจับอะไรเลยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่งั้นได้เสียตังค์แน่ ๆ