การบริโภคผักและผลไม้วันละ 400 กรัม หรือเทียบเท่ากับ ผักสุก 6 ทัพพี และผลไม้ 2 ส่วน เป็นสิ่งสำคัญต่อการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก อย่างไรก็ตาม คนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถปฏิบัติได้ตามเกณฑ์
ข้อมูลสำรวจจากการสำรวจ พบว่า ประชากรที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ร้อยละ 52.3 มีความรู้ว่าต้องบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400 กรัม แต่มีคนไทยที่สามารถบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400 กรัม ได้ตามเกณฑ์เพียงร้อยละ 35.3
และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปีที่ 2560 พบว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ยังบริโภคผักและผลไม้น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจระดับโลกที่ชี้ให้เห็นว่าประชากรในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีพฤติกรรมการบริโภคผักผลไม้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมของคนไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้น
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการบริโภคผักและผลไม้ คือ “ความรอบรู้ทางด้านอาหาร” หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการที่ถูกต้อง หลายคนอาจมีความรู้พื้นฐาน เช่น รู้ว่าผักผลไม้ดีต่อสุขภาพ แต่กลับไม่เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากการขาดสารอาหารเหล่านี้ ทำให้ขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การบริโภคผักผลไม้วันละ 400 กรัม ฟังดูเป็นเรื่องง่ายแต่ในความเป็นจริง
อุปสรรคหลายประการทำให้การบริโภคในระดับที่เหมาะสมนั้นยากกว่าที่คิด เช่น
1. ค่าใช้จ่าย ผลไม้และผักบางชนิดมีราคาแพง ทำให้คนส่วนหนึ่งหลีกเลี่ยงการซื้อหรือหันไปเลือกอาหารที่มีราคาถูกกว่า เช่น อาหารแปรรูปหรือขนมขบเคี้ยวที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาถูกกว่า
2. ความสะดวกในการบริโภค ชีวิตที่เร่งรีบของคนในเมืองและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้หลายคนไม่สะดวกในการจัดเตรียมอาหารที่มีผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบ การเลือกอาหารจานด่วนที่สะดวกแต่ขาดสารอาหารที่เพียงพอจึงกลายเป็นทางเลือกหลัก
3. รสนิยมและวัฒนธรรมการกิน บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับรสชาติของผักและผลไม้ เติบโตมาในครอบครัวหรือสังคมที่เน้นบริโภคเนื้อสัตว์หรืออาหารที่ผ่านการปรุงแต่งรสชาติ การกินผักและผลไม้จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการส่งเสริมตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้ขาดทักษะในการเลือกและรับประทาน
อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่
รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้: ทำไมคนไทยยังบริโภคผักและผลไม้ไม่ถึง 400 กรัมต่อวัน
เครดิตภาพ: www.freepik.com
รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้: คนไทยบริโภคผักและผลไม้ไม่ถึง 400 กรัมต่อวัน
ข้อมูลสำรวจจากการสำรวจ พบว่า ประชากรที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ร้อยละ 52.3 มีความรู้ว่าต้องบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400 กรัม แต่มีคนไทยที่สามารถบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400 กรัม ได้ตามเกณฑ์เพียงร้อยละ 35.3
และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปีที่ 2560 พบว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ยังบริโภคผักและผลไม้น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจระดับโลกที่ชี้ให้เห็นว่าประชากรในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีพฤติกรรมการบริโภคผักผลไม้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมของคนไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้น
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการบริโภคผักและผลไม้ คือ “ความรอบรู้ทางด้านอาหาร” หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการที่ถูกต้อง หลายคนอาจมีความรู้พื้นฐาน เช่น รู้ว่าผักผลไม้ดีต่อสุขภาพ แต่กลับไม่เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากการขาดสารอาหารเหล่านี้ ทำให้ขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การบริโภคผักผลไม้วันละ 400 กรัม ฟังดูเป็นเรื่องง่ายแต่ในความเป็นจริง
อุปสรรคหลายประการทำให้การบริโภคในระดับที่เหมาะสมนั้นยากกว่าที่คิด เช่น
1. ค่าใช้จ่าย ผลไม้และผักบางชนิดมีราคาแพง ทำให้คนส่วนหนึ่งหลีกเลี่ยงการซื้อหรือหันไปเลือกอาหารที่มีราคาถูกกว่า เช่น อาหารแปรรูปหรือขนมขบเคี้ยวที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาถูกกว่า
2. ความสะดวกในการบริโภค ชีวิตที่เร่งรีบของคนในเมืองและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้หลายคนไม่สะดวกในการจัดเตรียมอาหารที่มีผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบ การเลือกอาหารจานด่วนที่สะดวกแต่ขาดสารอาหารที่เพียงพอจึงกลายเป็นทางเลือกหลัก
3. รสนิยมและวัฒนธรรมการกิน บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับรสชาติของผักและผลไม้ เติบโตมาในครอบครัวหรือสังคมที่เน้นบริโภคเนื้อสัตว์หรืออาหารที่ผ่านการปรุงแต่งรสชาติ การกินผักและผลไม้จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการส่งเสริมตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้ขาดทักษะในการเลือกและรับประทาน
อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่ รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้: ทำไมคนไทยยังบริโภคผักและผลไม้ไม่ถึง 400 กรัมต่อวัน
เครดิตภาพ: www.freepik.com